กำแพง
กำแพง…
ระหว่างนั่งรถผ่านไปในเมืองเชียงใหม่ ก็มองไปเห็นกำแพงเมืองเก่า เห็นรูปทรงที่แปลกตา ก็เลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย
ตอนสร้างกำแพงเขาก็คงจะสร้างตรง ๆ นั่นแหละ แต่พอนานวันไปผ่านเดือนผ่านปี อะไร ๆ ก็คงจะเปลี่ยนไป มันทำให้ผมนึกถึงธรรมะที่กำลังจะเสื่อมไป สมัยพุทธกาลนั้นอะไร ๆ ก็แข็งแรง แต่พอมายุคนี้ก็หย่อนยาน พอคิดอย่างนั้นมันก็นำมาระลึกให้เราไม่ประมาทได้
ในอีกนัยหนึ่ง แม้กำแพงนี้จะแข็ง แต่ก็มีความพริ้วไหวในรูปทรง มันก็เอามาเป็นกรรมฐานได้อีกมุมเหมือนกัน คือให้จิตใจแข็งแกร่งเหมือนหินนั่นแหละ แต่ก็ต้องมีศิลปะแววไหวพริ้วไหวไปตามกุศล
ความพยายาม…
ความพยายาม…
หลายวันก่อนระหว่างยืนรอรถเมล์ ก็มองไปเห็นขวดน้ำที่ถูกยัดไว้กับเสา
ก็คิดว่า คนทำนี่เขาดูพยายามดีนะ แถมมีความคิดแหวกแนวอีก คือจะไปยัดในเสาได้นี่มันก็คงจะต้องยัด ๆ เข้าไป ใช้แรงบ้าง แล้วคนทั่วไปนี่ถ้าเขาจะทิ้งเขาก็โยนทิ้งข้างทางหรือไม่ก็วางทิ้งไปเฉย ๆ เลย
ก็มาคิดต่อว่า ในโลกนี้ก็มีคนที่พยายามอยู่เสมอ คือมีความเพียร แต่ความเพียรนั้นมีทิศทางไปทางไหนก็อีกเรื่อง จะเพียรไปทางดีมันก็ดีมาก จะเพียรไปทางเลวมันก็เลวมาก ผมเคยได้ยินภาษาในพระไตรปิฎกประมาณว่า “มีความเพียรเลว” พอเห็นภาพนี้ก็…อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง คือพยายามทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
สุดท้ายก็คงได้แต่ย้อนมาทบทวนว่า ชีวิตที่เรากำลังดำเนินไปอยู่นั้น เราได้พยายามทำให้มันลำบาก มันยุ่งยากขึ้นกว่าเดิมรึเปล่า มันไปทางทิศไหน สัมมาหรือมิจฉา
ขายธรรมะปลอมก็ยังมีคนยินดีซื้อ
ยุคนี้เป็นยุคตลก เป็นยุคที่คนต้องควักเงินซื้อธรรมะ แล้วเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ซึ่งธรรมะกับทุนนิยมมันถูกรวบเข้ามารวมกันได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
ซึ่งมันกลับหัวกลับหางกับที่พระพุทธเจ้าสอนหมดเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนฟรี สอนให้เป็นคนมักน้อย กล้าจน ไม่โลภมาก แต่สังคมทุกวันนี้มีผู้อ้างตนว่าเป็นอาจารย์รู้นั่นรู้นี่แล้วเปิดคอร์สสอนเรียกเก็บเงินเก็บทองมากมาย จนเรียกได้ว่ามันคือพุทธพาณิชย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง (พวกที่แอบอ้างหลักคำสอนพุทธมาหากิน หาประโยชน์ใส่ตน โดยมีความโลภ โกรธ หลงเป็นแรงผลักดัน)
แต่ก่อนในสังคมเราก็จะมีพวกโน้มน้าวให้บริจาคแล้วสะกดจิตว่า รวย! รวย! รวย! แต่ตอนนี้มีพวกที่เหนือชั้นกว่านั้น คือเปิดคอร์สธรรมะหรือหลักสูตรทำให้มีความสุข พ้นทุกข์ …หรืออะไรก็ตามแต่จะตั้งชื่อ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งชื่อเสียง
เอาธรรมะมาเป็นสินค้ามันก็ผิดในตัวเองอยู่แล้ว มันทำให้ธรรมนั้น ๆ เปรอะเปื้อน ธรรมะและความผาสุกมันควรจะฟรีสิ มันควรจะเข้าถึงได้ทุกฐานะสิ
ส่วนตัวผม สำหรับคนที่ช่วยคนแล้วเก็บเงินผมไม่คบ จะไม่ไปเกี่ยวข้องใด ๆ หรือแม้จะใกล้ ๆ คล้าย ๆ ธรรมะ เช่นสอนให้คนพอเพียง สอนให้พึ่งตัวเองได้ แต่ก็ยังไปเก็บเงินเขา นี่มันย้อนแย้งนะ คนที่พึ่งตัวเองได้จะไปเก็บตังคนอื่นทำไม พึ่งตัวเองได้มันก็เหลือแต่แบ่งปันคนอื่นเท่านั้นแหละ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องไปเอาจากคนอื่นเลย นั่นแสดงว่าเขายังพึ่งตนไม่ได้ ยังพอเพียงไม่ได้ ยังต้องขายความรู้เพื่อแลกเอาเงินจากคนอื่นมาอยู่เพื่อดำรงชีวิตหรือดำเนินกิจการของตน
จะว่าแปลกก็แปลก เขาเอาธรรมะปลอมมาขายแพง ๆ ก็ยังมีคนซื้อ ก็ยังมีคนสนับสนุน ดีไม่ดียกให้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้รู้หรือนักปราชญ์อีก จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลก มันก็เป็นธรรมดาของกึ่งพุทธกาล มันก็บ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้แหละนะ
มรณสติประจำวัน
“ถ้าเราไม่เผาเขา เขาก็เผาเรา”
ผมมานั่งนึก ๆ ชีวิตก็น่าจะได้พบกับเหตุการณ์สองอย่างนี้แหละ แต่อย่างที่สองนี่เราจะไม่ได้พบแน่นอน เพราะตายไปแล้วมันไม่รู้แล้ว สรุปจึงเหลือแต่ความจริงที่ว่าถ้าเราไม่ชิงตายเสียก่อนเราก็คงจะได้เผาเขา
ก็นึกต่อไปว่า ทุกคนที่อยู่รอบตัว เขาจะจากเราไปอย่างไร แบบไหน เมื่อไหร่ คิดไปแล้วมันก็บันเทิงนะ แต่ถ้าคนกิเลสจัด ๆ จะหดหู่เศร้าหมอง ไม่อยากระลึกถึงการจากพราก ส่วนคนที่รู้สึกบันเทิง ยินดี ผ่องใสนี่น่าจะเป็นคนที่ล้างความยึดมั่นถือมั่นได้ หรือไม่ก็คนบ้าไปเลย
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเผาเรานี่มันไม่ต้องคิดเลย ไม่ต้องไปจินตนาการให้เสียเวลาว่าหลังตายแล้วจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าก่อนตายหรือระหว่างที่กำลังจะตายนี่แหละ คือจุดที่ควรพิจารณา
ผมมีกิจกรรมสนุก ๆ ที่ระลึกถึงประจำเวลาเดินทาง คือจะตายท่าไหน แบบไหน ตอนไหน เดิน ๆ อยู่แล้วมีคนมาปล้น แล้วโดนเขาแทงตายจะเป็นอย่างไร ดูข่าวเขาฆ่ากันแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเราโดนแล้วเราจะเป็นอย่างไร เราจะห่วงหาอะไรไหม เราจะโกรธแค้นเขาไหม ก็ปรุงไปเพลิน ๆ ระหว่างเดินทาง
ก็ตรวจใจเรื่อย ๆ ว่าเรายอมตายได้ทุกท่าทุกทางทุกนาทีไหม ถ้ามันมีกิเลส เดี๋ยวอาการก็ออกเอง ออกมาก็ตรวจหาความยึดมั่นถือมั่นนั้น แล้วก็ใช้ปัญญาคลายซะ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมสนุก ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาเดินทางในแต่ละวัน
ถ้าแค่ระลึกแล้วยังมีอาการหวั่นไหว แสดงว่าของจริงไม่รอดแน่นอน ก็พิจารณาทั้งตัวเราและคนอื่นนั่นแหละนะ ซึ่งมันจะได้ปัญญาเป็นผลมาเหมือนกัน คือจะลดความประมาทลงโดยลำดับ จะเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นสาระสำคัญของชีวิต แล้วจะค่อย ๆ ลดสิ่งไร้สาระลงไปตามปัญญาที่มีนั่นแหละ
หลงนานเท่าไหร่ หาทางกลับนานกว่านั้น
วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นกรรมและเวลาส่งผลในการหลงผิด ว่าคนที่เขาหลงผิดเนี่ย กว่าเขาจะสำนึกแล้วกลับมาปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่
ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เหมือนเราเปิดร้านของชำอยู่ข้างทาง มีคนขับรถมาถามทาง แต่แล้วเขาก็ขับไปผิดทาง ไปผิดแยก ไปตรงข้ามกับที่เราบอกเลย ทีนี้กว่าเขาจะกลับมาได้นี่ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ก็เท่าที่เขาขับหลงไปนั่นแหละ แต่ถึงจะรู้ตัวก็ใช่ว่าจะกลับได้ทันทีนะ ถ้าขับรถไปต่างจังหวัดแล้วขับผิดทาง กว่าจะเจอยูเทินนี่ก็ต้องไปต่อหลายกิโลเมตรเลย
กลับมาที่ตัวอย่างใกล้ตัว อย่างที่เห็นกันว่าผมจะเผยแพร่ธรรมะที่พาไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุข แล้วที่นี้มีคนมาอ่านแล้วเขาไม่เชื่อ เรื่องอื่นเขาอาจจะเคยศรัทธา เคยเชื่อ แต่เรื่องนี้เขาไม่เอา เขาก็ไปนู่นเลย ไปมีแฟน ไปแต่งงาน ก็ปฏิบัติตรงข้ามกันเลย มีแฟนว่าหลงไกลแล้ว แต่งงานนี่ไกลลิบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงา ถ้ายังหลงอยู่ มันก็จะไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ มีลูกมีหลาน ไกลออกไปอีก ทีนี้จะกลับมามันไม่ง่ายแล้ว ชีวิตมันมีภาระแล้ว แค่ผัวเมียก็เป็นภาระหนักแล้ว มีลูกมีหลานนี่ยิ่งหนักหนา จะกลับมาปฏิบัติแบบตัวเบา ๆ นี่ไม่ได้แล้ว จะมีกำแพง มีอุปสรรคขวางกั้น นานเท่าไหร่น่ะหรอ? ก็นานเท่าที่ทำมา และหนักเท่าที่ทำใจไว้ผิดนั่นแหละ
แต่คนที่เขาหลงแล้วมาเจอเรานี่ต่างกันนะ คนไม่เคยได้ฟังแล้วหลงมาก็มี นั่นเขารับวิบากมาแล้ว ต่างจากคนที่ฟังแล้วไปผิดทาง วิบากกรรมมันจะต่างกัน
อย่างใครตามอ่านบทความที่ผมพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องความรักเรื่องคนโสดแล้วชัดว่าโสดดีกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า แต่กลับไปทำตรงข้ามนั่นแหละ จะยิ่งช้า นาน ไกล ห่างเหิน ทุกข์สะสมหนักนาน แต่ถึงจะทุกข์แสนสาหัสแล้วสำนึกมันจะออกหรือหลุดพ้นไม่ได้ง่าย ๆ เพราะวิบากมันกันไว้ กันไว้เท่าไหร่ก็เท่าที่หลง หนักเท่าไหร่ก็เท่าที่ทำใจไว้ผิด รวมกับกรรมชั่วที่ทำมาด้วยกันกับคู่ครอง และวิบากกรรมเก่าที่เสริมเติมดอกเบี้ยเข้ามาให้ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน หลงไปปีสองปี อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นได้ทันที มันก็ต้องทนทุกข์ไปอีกปีสองปีหลังสำนึกผิดเป็นอย่างน้อยนั่นแหละ
เปรียบเทียบง่าย ๆ กับความเห็นที่หลายคนชอบยกมาว่ามีคู่ดีมันก็ดี จริง ๆ มันไม่ดี เพราะจับมือกันควงคู่ก็คือการพากันลงต่ำแล้ว ต่ำแค่ไหนก็แล้วแต่กิเลสจะนำพา ทีนี้ตอนกลับก็เหมือนกับต้องปีนขึ้นมาจากขุมนรกนั่นแหละคุณ ตอนแรกมันหลงไง นึกว่านรกเป็นแดนสวรรค์เขาก็จูงมือกันไป แล้วกว่าจะปีนกลับขึ้นมาจุดเดิมได้นะ คือจุดที่เป็นโสดนั่นแหละ ยากแสนสาหัสเลย เพราะคู่ก็คอยฉุดรั้งไว้ ลูกก็คอยฉุดรั้งไว้ สังคมก็คอยฉุดรั้งไว้ ให้วนเวียนทุกข์ในนรกคนคู่นั่นแหละ
อ่านถึงตรงนี้แล้ว ใครจะลองลงนรกไปศึกษาก็ไม่ว่ากัน
กรรมจะคัดคนด้วยเหตุปัจจัยของมันเอง
จากที่ผมสังเกตมาหลายปี ตั้งแต่ศึกษาธรรมะมา หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป มีบางคนจากไป มีบางคนเข้ามา สังคมรอบตัวของผมเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมไม่ได้เลือกว่าจะให้ใครเข้ามาหรือจะให้ใครจากไป มันเป็นไปของมันเอง เขาเลือกที่จะเข้ามาของเขาเอง และเขาก็เลือกที่จะเดินจากไปเอง
ผมเชื่อว่ายิ่งผมตั้งมั่นในทางธรรมมากยิ่งขึ้น การผลัดเปลี่ยนของคนก็จะไวมากขึ้นเท่านั้น คนที่ไม่จริงจังจะหายไป คนที่จริงจังจะเข้ามาตามระดับของธรรมะที่ผมมี
ผมเคยคิดเสียดาย คนที่จากไปนะ แต่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอย่างเดิมแล้ว เพราะเข้าใจว่าความจริงมันเป็นแบบนั้น ปัจจุบันคือสิ่งที่แสดงความจริงให้เราเห็น ว่าคนเรามีเส้นทางของแต่ละคน
ถ้าเราศึกษาธรรมจนมีความรู้ถึงระดับหนึ่งที่พอจะแบ่งปันได้ เราก็จะพยายามนำความรู้นั้นไปช่วยคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เราจะช่วยเขาได้ เราจะช่วยได้ก็เฉพาะแต่คนที่ยอมให้เราช่วยเท่านั้น ซึ่งเรียกว่าน้อยคน บอกกันตรง ๆ ว่าจนถึงวันนี้ ผมยังไม่สามารถช่วยใครได้เท่าที่ผมเคยหวังไว้สักคน
นั่นทำให้ผมรู้ว่า ในอนาคตผมก็ต้องเจอกับคนที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านเลยไปเหมือนในอดีต ในวงโคจรแห่งพุทธะ ผู้ที่สามารถเกาะกระแสได้ และร่วมกันเดินทางไปในเส้นทางแห่งการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์นี้ ก็คงจะมีแต่ผู้ที่จริงจังเท่านั้น
คนโสด กับคนที่ประพฤติตนเป็นโสด ไม่เหมือนกันนะ
ถ้าคนโสดเฉย ๆ นี่มันไม่แน่ชัดเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าปลายทางจะยังโสดอยู่หรือจะหลงไปมีคู่
แต่คนที่ประพฤติตนเป็นโสด นี่ปลายทางคือมุ่งไปสู่ความโสดอย่างผาสุกแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าการอยู่เป็นโสดนั้นดีกว่ามีคู่เป็นไหน ๆ ส่วนจะล้มลุกคลุกคลานพ่ายแพ้ให้กับกิเลสตกหลุมพรางคนคู่ไป นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
การจะบอกว่าคนโสดมีบุญ หรืออะไรต่อมิอะไรนั้น มันต้องมีความประพฤติที่เป็นไปเพื่อความโสดด้วย มันถึงจะเรียกว่าคนมีบุญได้ ส่วนโสดไปวัน ๆ โสดรอเสพ โสดโหยหวน โสดพวกนี้เรียกโสดมีบาป คือยังมีกิเลสอยู่ ยังมีอุปาทานยึดว่า การมีคู่ครองนั้นดี
สรุปจะโสดแบบพ้นทุกข์ต้องสร้างองค์ประกอบเพื่อให้ตัวเองได้โสด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักไฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง.(พุทฺธ) ขุ. สุ. ๒๕/๔๙๔., ขุ. มหา. ๒๙/๑๘๖.“
ความอยากมีคู่คือความเห็นแก่ตัว
เช้านี้ผีกวีเข้าสิง ตื่นมาพร้อมกลอนมากมาย หล่นหายไปเยอะทีเดียว เก็บมาได้บางส่วน (ของพวกนี้ไม่รีบจดนี่หายจริง ๆ นะ) แล้วก็มาแต่งต่อให้จบ
เรื่อง : ความอยากมีคู่คือความเห็นแก่ตัว
อยากมีคู่สุดชั่วน่ากลัวนัก
อ้างตามหลักอ้างตามโลกอ้างศักดิ์ศรี
อ้างเหตุผลปนกลเล่ห์เห่ราคี
ดูสุนทรีย์ชี้ชักนำคนคู่เอย
แท้ที่จริงกิเลสชั่วตัวซ่อนอยู่
ทำไม่รู้ทำไม่เห็นเล่นทำเฉย
ธรรมชาติบ้างหน้าที่บ้างทำตามเคย
ท้ายลงเอยบำเรอตนด้วยอัตตา
เพราะความอยากมีคู่คือความพร่อง
ต้องสนองกองความใคร่ด้วยตัณหา
จึงสร้างเล่ห์วางค่ายกลสร้างบ่วงมา
เติมอัตตานั่นแหละความเห็นแก่ตัว
เกิดเป็นคนอย่ามัวหลงพิกลนัก
จะทุกข์หนักทุกข์เพราะรักหาเมียผัว
คล้องบ่วงเวรผูกบ่วงกรรมตรึงรัดตัว
มีแต่ชั่วทนทุกข์นานนิรันดร์เอย
……
สมัยเรียนนี่วิชาภาษาไทยผมน่าจะไม่เกินเกรด 2 เรียกได้ว่าไม่สนใจเรียนเลย เป็นวิชาที่ยุ่งยากจริง ๆ ทุกวันนี้แต่งกลอนแล้วตัน ๆ เหมือนกัน นึกคำไม่ออก ถูกบ้างผิดบ้าง เริ่มสำนึกผิดซะแล้ว :)
ปัญญาแห่งธรรม คือรางวัลของนักบำเพ็ญ
“ปัญญาแห่งธรรม คือรางวัลของนักบำเพ็ญ”
เป็นประโยคที่ได้ยินจากครูบาอาจารย์เมื่อไม่นานมานี้ และเป็นประโยคที่ตรงจริตผมที่สุด
สำหรับผมแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุขนั้นไร้ค่าเมื่อเทียบกับปัญญา ทุกครั้งที่ผมได้รับอะไรมา ผมก็จะสังเกตว่านั้นคืออะไร มีน้ำหนัก มีกำลังเท่าไหร่ จะใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม พวกโลกธรรมนี่รับมาแล้วก็ต้องประมาณการใช้ให้ดี ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นภัยเหมือนกัน แต่ปัญญานั้นต่างกัน เมื่อได้รับมาแล้วมีแต่สุข ทั้งแตกฉานในเรื่องโลกทั้งสว่างไสวในทางธรรม
ผมเองได้รับผลของการทำดีมาโดยลำดับ ในส่วนลาภสักการะทั่วไปผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่จะดีใจเมื่อได้ปัญญาใหม่ ๆ
บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองดีใจเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ การได้ปัญญาเพิ่มขึ้นมา เหมือนกับผมได้อาวุธใหม่ที่เอาไว้จัดการกับกิเลสของตัวเอง และยังสามารถใช้อาวุธนั้นช่วยผู้อื่นได้ด้วย หากว่าเขาต้องการ
ตั้งแต่พิมพ์บทความเผยแพร่ประสบการณ์มาจนวันนี้ คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือตัวผมเองนี่แหละ เพราะยิ่งให้มันยิ่งได้รับ ยิ่งแบ่งปันไปเท่าไหร่มันยิ่งได้มา บางครั้งได้มาเป็นชุดใหญ่ ๆ ยิ่งกว่าถูกหวย จะร้อยล้านพันล้าน…ฯลฯ ก็เอามาแลกปัญญานี้ไม่ได้ มันได้มายากมาก ผมต้องทำดีมากพอมันถึงจะได้
พอได้ปัญญาเพิ่มมามันก็ดีสิ ตัวเองก็ทุกข์น้อยลง แถมยังมีปัญญาในการอธิบายธรรมะให้ละเอียดลึกซึ้งได้มากยิ่งขึ้น มันก็เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น
ผมก็เลยตั้งหน้าตั้งตาจะทำความดีมากยิ่งขึ้น เท่าที่จะมีปัญญาเข้าถึงความดีนั้น ๆ ซึ่งมันก็คงจะพัฒนาไปโดยลำดับละนะ แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อที่จะอยากได้ปัญญาเป็นรางวัลหรอกนะ ที่ทำดีเพราะมีปัญญาเห็นว่าการทำดีมันให้ผลดีมันก็แค่นั้น ส่วนปัญหาแห่งธรรมที่จะได้มานั้นก็คือรางวัลไง ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ได้ทำดีมันก็ดีถมเถแล้ว