ในวันที่แดดหายาก

จากข้อมูลที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต ดูเหมือนพายุคาจิกิ จะผ่านพ้นไปแล้ว คงเหลือแต่ผลกระทบที่ธรรมชาติได้แสดงผลแห่งความเป็นไปในสังคมให้ได้เห็น

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามองแบบโลก ๆ ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากการจัดการผังเมืองที่ไม่ได้เตรียมรับปัญหาเหล่านี้ ก็อย่างที่รู้กัน เมืองไทยเป็นประเทศที่ภัยพิบัติน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ประชาชนชาวไทยจนกระทั่งภาครัฐก็ยังไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร

ผมเองก็เช่นกัน มีปัญหาในชีวิตอยู่บ้าง แม้ปัญหาที่ผมเจอจะเป็นปัญหาที่เล็กมากเหมือนฝุ่นเมื่อเทียบกับสิ่งที่ชาวบ้านเขาเจอกัน

ปัญหาของผมก็คือ แดดมันไม่มี ก็เลยไม่ได้ซักผ้าเสียที เพราะซักไปมันก็จะเหม็นอับ ก็เลยเก็บไว้ก่อน อันนี้มันก็เกิดจากการที่เราจัดการไม่ดี แดดไม่มีก็เป็นปัญหาหนึ่ง แต่ปัญหาที่เป็นปัญหามากกว่าคือเราไม่แก้ปัญหา เรากลับรอให้แดดมันมา ซึ่งมันก็เป็นวิธีแก้ปัญหาทางหนึ่งนั่นแหละ แต่มันช้า มันนาน

สุดท้ายก็ทบทวนว่ามันมีทางออกอะไรบ้าง ก็มีซักแล้วเอามาผึ่งพัดลม หรือไม่ก็หาผงซักฟอกสูตรที่เหมาะกับการตากในร่ม หรือตากผ้าหน้าฝน ก็ได้ยินโฆษณาว่าเขามีผลิตมาเหมือนกัน เขาก็คงจะผลิตมาแก้ปัญหาแบบนี้แหละ เราก็ลองดู ถ้าลองแล้วได้ผลดี ก็ดี ถ้าลองแล้วไม่ดีก็เลิก หรือถ้ามีสิ่งใดที่มีองค์ประกอบดีกว่าก็เอา

แน่นอนว่าแดดคือสิ่งที่มีค่าในหน้าฝน เพราะพืชจะเจริญเติบโตได้ต้องมีแสงแดดเป็นองค์ประกอบ ถ้าได้ทั้งฝนตกแดดออก นี่ก็น่าจะโตไว พืชก็ใช้ประโยชน์จากฝนตกแดดออกนี่แหละ เป็นปัจจัยในการพัฒนาของมัน เราเองก็น่าจะใช้ทั้งฝนตกและแดดออกให้เจริญเช่นกัน แม้ปัญหาน้อย ๆ ในชีวิตก็หัดเอามาตรวจตัวเอง ตรวจทั้งกิเลส ตรวจทั้งความยึดมั่นถือมั่น ก็ตรวจใจกันไป

พายุโพดุล-คาจิกิ ท่วมต่อเนื่อง

ดูข่าวพายุช่วงนี้ แม้ดูเผิน ๆ ว่า พายุเหล่านี้จะไม่แรงมาก แต่ผลกระทบเยอะมาก น้ำท่วมกันหลายพื้นที่ ที่สวนผมก็ได้ผลกระทบเหมือนกัน คือถนนในพื้นที่เป็นโคลน ทำให้เดินทางเข้าออกโดยรถไม่ได้ แต่ก็ยังเดินออกไปทำธุระใกล้ ๆ ได้

เรียกว่าได้รับผลกระทบน้อยมาก เมื่อเทียบกับที่ชาวบ้านเขาโดน ผมเองไม่เคยเจอประสบการณ์น้ำท่วมบ้าน แต่ก็มีญาติที่น้ำท่วมบ้านและเคยบุกเข้าไปช่วยกันอพยพคนมาแล้ว เรียกว่าทุลักทุเลมาก และใช้พลังงานมาก

การช่วยเหลือกันในยามน้ำท่วมนี่เป็นอะไรที่ยากลำบากมาก เพราะเข้าถึงพื้นที่ได้ยาก และอันตรายมาก เพราะเราไม่เห็นว่ามีอะไรใต้น้ำ แถมยังอันตรายเรื่องกระแสไฟฟ้ารั่วอีก ทีเดียวถึงตายได้เลย ก็รู้สึกเห็นใจทั้งผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่ รวมทั้งจิตอาสาที่ทำงานในพื้นที่

ถ้ามีพายุเข้าอีกลูก ก็เรียกว่าต่อเนื่องกันถึง 3 ลูก ผมว่าบ้านเมืองนี่อัมพาตเลย แม้จะยังไม่มีผลกระทบถึงกรุงเทพมากนัก แต่ถ้าท่วมตรงไหน มันก็ทุกข์ตรงนั้นแหละ ทุกข์นี่มันน่ากลัวจริง ๆ คงต้องเร่งศีกษา และพาตนเองให้พ้นทุกข์ให้ไวที่สุด

ช่วงพายุเข้า

หลังจากผลของพายุโพดุล ก็มาต่อเนื่องกันกับพายุคาจิกิ เรียกว่าเปียกกันต่อเนื่องไม่ต้องพักเลย ซึ่งผมจะได้ว่ามีแดดออกอยู่หนึ่งวันระหว่างนั้น แล้วจนวันนี้ก็ไม่มีแดดอีกเลย ฟ้ามืดเปียกฝนกันตลอด

ฝนตกมันก็ดีตรงไม่ต้องรดน้ำต้นไม้ พอพายุเข้าก็เลยถือโอกาสปลูกต้นไม้ไปด้วยเลย เพราะต้นไม้จะได้ตั้งตัวได้ไว ไม่ต้องคอยรดน้ำ อันนี้ก็ข้อดี

แต่ถ้าฝนตกมากเกินไป มันก็ปลูกต้นไม้ได้ยาก เพราะมันเฉอะแฉะ จะว่าปลูกได้ไหม มันก็ปลูกได้ แต่มันลำบาก มันเละ มันหนัก ก็เลยต้องหาช่วงที่ฝนมันทิ้งช่วง ไม่ตก ให้พื้นแห้ง ๆ ขึ้นบ้าง นอกจากจะไม่แฉะแล้วยังปลอดภัยจากสัตว์มีพิษอีก ตั้งแต่มดไปถึงงูนั่นแหละ

เส้นขาวบนถนน – ศีลในชีวิต

วันก่อนขับรถลงอุโมง เขาก็มีเส้นขาวถี่ๆ บอกให้เรารู้ว่านี่มันเริ่มล้ำเส้นออกไปแล้ว เมื่อล้ำเส้นออกไปมันก็อาจจะไปเบียนเบียนหรือไปชนคนอื่นเขา สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้

ศีล ก็คล้าย ๆ กัน คือเป็นกรอบของการปฏิบัติ ศีลที่สูงขึ้นก็ล้อมกรอบให้มีการเบียดเบียนน้อยลง ในเบื้องต้นพุทธศาสนิกชนก็ปฏิบัติศีล ๕ กันให้ได้ก่อน พอมั่นคงในศีล ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสที่มายั่วยวนให้ผิดศีล ก็ค่อย ๆ เพิ่มศีลไปเรื่อย ๆ จะศีล ๘, ๑๐ หรืออธิศีลจากฐานเดิมในบางข้อบางประเด็นก็ได้ทั้งนั้น

ผมแปลกใจที่ชาวพุทธสมัยนี้ ไม่ค่อยคุยกันเรื่องศีล ซึ่งเป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติ ในเรื่องศีลก็มีรายละเอียด ถือแบบถูกก็มี ถือแบบผิดก็มี คือมีศีลแต่ความเห็นในการปฏิบัติมันผิด

แต่ลึก ๆ ผมก็ไม่แปลกใจหรอก ยุคนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ เหมือนพยายามขับรถในกรอบในเส้น แต่ไม่ได้แก้นิสัยใจร้อนโมโหร้ายขับรถโดยประมาท ถือศีลผิดก็เช่นกัน มีศีลแต่ไม่ได้ใช้องค์ประกอบของศีลในการปฏิบัติธรรมให้เจริญ

[39] เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

diary-0039-เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

39.เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หลังจากทิ้งไปนานมาก ประมาณครึ่งปีได้ สุดท้ายก็กลับมาทำสวนใหม่ ที่หายไปก็ไม่ได้ไปไหนไกล ไปบำเพ็ญบุญกุศล ทำโรงทานอยู่แถวสนามหลวงนั่นแหละ

พอกลับมานี่งานหนักเลย เหมือนเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะว่าเริ่มงานแรกคืองานปรับที่ใหม่ ก็จ้างรถขุดมาถม ถาง รื้อ กลบ ฯลฯ เหมือนสร้างเอกสารใหม่ มีหน้าเปล่า ๆ ยังไงอย่างงั้น

ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาก็ขลุกอยู่กับการพัฒนาที่แข่งกับหญ้า เพราะถ้าเขาเคลียที่แล้วเราช้า หญ้าก็จะโต งานก็จะหนักขึ้นไปอีก อะไรทำได้ก็ทำไปก่อน ให้ได้ภาพรวมแล้วค่อยกลับมาเน้นเป็นจุด ๆ

กลับมาครั้งนี้ไฟฟ้าที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง ต้องกลับมาสู่ยุคเทียนไขกันอีกครั้ง ก็ใช้เทียนไปได้ไม่กี่วันหรอก ก็รื้อหญ้า เอาแผ่นโซล่าเซลล์ไปวาง ก็กลับมาใช้ไฟใหม่ได้แล้ว

ก็ทำให้นึกถึงตอนที่มาอยู่ที่นี่แรก ๆ สมัยนั้นใช้เทียนเป็นเดือนเลยทีเดียว ก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก แต่มันจะตัดโลกทิ้งไปเลย มันจะออกแนวฤๅษีเกินไปสักหน่อย อย่างน้อยมีไฟฟ้าใช้ก็ได้รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองบ้าง เผื่อจะสังเคราะห์อะไรที่มีประโยชน์ขึ้นมาได้ ก็คงจะดีเหมือนกัน

มาถึงตอนนี้ ชีวิตเริ่มปกติแล้ว กิจกรรมประจำวันก็ทำไปตามที่วางแผนไว้ ไม่มีอะไรต้องคิดมากเหมือนช่วงกลับมาใหม่ ๆ แล้ว ค่อยเป็นค่อยไปครับ

เป้าหมายในชีวิต

ตั้งแต่ได้ศึกษาธรรมะมา เป้าหมายอันมากมายที่เคยมีในชีวิตก็ค่อย ๆ ลดลงจนเหลือชัดเจนอยู่อย่างเดียว

แต่การจะถึงเป้าหมายนั้น มีเส้นทางที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าในทุกเส้นทางนั้นจะมีมรรคเป็นองค์ประกอบ เมื่อผมได้สรุปเส้นทางในชีวิต ก็พบว่าเหลือแค่สองทางเท่านั้น คือ บวชกับไม่บวช

ผมเป็นคนที่มีองค์ประกอบที่พร้อมสำหรับการบวช คือไม่มีภาระอะไรต้องห่วง ไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบ สามารถตัดสินใจด้วยตนเองในทันที ครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่เลือกการบวชด้วยเหตุผลที่ว่า

ผมต้องการจะใช้ความสามารถและความรู้ที่ได้เรียนมา ช่วย “สืบสานเศรษฐกิจพอเพียง” เสียก่อน

ผมเองไม่ได้ใส่ใจกับปริญญาและความรู้ที่ได้ศึกษามา จะทิ้งก็ได้ไม่มีปัญหา แต่จากที่ทบทวนดูว่าทำไมชาตินี้ต้องเกิดมาได้เรียนแบบนั้น มันไม่มีหรอก เบิกกุศลมาให้เรียนตั้งหลายแสนแล้วทิ้งไปเฉย ๆ ฟ้าเขาก็คงให้มาเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำกุศลต่อละน่า ถ้าจะให้ฝึกทิ้ง ทิ้งแค่นี้มันก็น้อยไปหน่อย ไม่สะใจ

สรุปคือผมประเมินว่า ฟ้าเขาให้อุปกรณ์ทำความดีมาแล้ว เราจะทิ้งไปหรือจะเอาไปใช้ประโยชน์ และปัจจัยหลักก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียงทุกวันนี้มีแต่คนตอแหล ทำหลอกในหลวง เป็นคำที่ก้องอยู่ในหัวผมเรื่อยมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเฝ้าสังเกตคนที่เขาบอกว่าทำเศรษฐกิจพอเพียง และพบว่านั่นมันตอแหลจริง ๆ

เพราะเขาทำแล้วไม่ได้ลดความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้ลดกิเลส ทำเศรษฐกิจพอเพียงไม่ลดกิเลสมันจะพอเพียงได้ไง มันก็โลภไปเรื่อย ๆ สิ ไม่โลภเอาวัตถุ ก็โลภเอาโลกธรรม หรือไม่ก็เอาอัตตา ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า แบบนี้แย่แน่ ๆ มีแต่เปลือก แก่นไม่มีเลย

เศรษฐกิจพอเพียงในความเห็นของผม ต้องเริ่มจากลดกิเลสให้ได้ก่อน ส่วนปลูกพืชปลูกผัก หรืออะไรอื่น ๆ นั้นไว้พัฒนาทีหลัง เพราะถ้าไม่ศึกษาการลดกิเลสให้ได้จริง ทำอะไรไปสักพักเดี๋ยวกิเลสก็โต แรก ๆ ก็อาจจะสร้างภาพพอเพียงได้อยู่ แต่นานไปมันฟุ้งเฟ้อแน่ ๆ

อีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าควรจะทำให้เศรษฐกิจพอเพียงนั้นปรับใช้ได้ในทุกฐานะอาชีพ เพราะเดิมทีผมมีพื้นฐานเป็นคนเมือง ถ้าผมจะศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง ผมก็ต้องศึกษาเพื่อให้ได้ความรู้มาปรับใช้กับคนเมืองด้วย

ดังนั้นผมจึงไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นเกษตรกร ผมไม่เน้นผลผลิต ผมเน้นการศึกษาเรียนรู้ว่าทำอย่างไร เราจึงจะลดกิจกรรมที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ลดความโลภโกรธหลงที่ต้นเหตุได้ ซึ่งจากที่ผมประเมินดูแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครทำในหัวข้อนี้ชัดเจนนัก ก็เลยคิดว่าจะลองทำดูก่อน ลองเอาภาระในเรื่องนี้ดู ผมคิดว่ามันเป็นกุศลนะ เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทำ และเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากเหมือนกัน

ชาตินี้ก็คิดว่าจะทำสิ่งนี้ไป ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ตามความสามารถ ตามบารมี ถ้ามันตันนักก็เลิก จะว่าหนีไปบวชก็ใช่ เพราะบารมีไม่พอไง ชาติหน้าค่อยมาฝึกทำใหม่ ถ้าอยู่ในสถานะนักบวชก็คงจะพอทำได้ แต่ไม่คล่องเท่าฆราวาสหรอก มันยืดหยุ่นกว่า ส่งเสริมได้ง่ายกว่า ผมขอสรุปตามความเห็นของผมเลยว่า ถ้าผมทำเรื่องนี้ ฆราวาสจะเจริญได้ง่ายกว่า

พิมพ์มาถึงตรงนี้ก็ลืมบอกไปว่าเป้าหมายคืออะไร เป้าหมายในชีวิตผมก็เลิกโง่บริบูรณ์ละนะ ส่วนผมจะฝึกปฏิบัติในเส้นทางไหนก็ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ อ่านดูอาจจะเป็นเรื่องใหม่ แต่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ 3-4 ปีก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแค่ไม่เคยได้บอกได้กล่าวกับใครเลยเท่านั้นเอง

เอาภาระในงานศาสนา

จากบทความ : สืบสานศาสนานานเท่านาน …

เข้ากับเรื่องที่ผมโพสไปก่อนหน้านี้พอดี (ลองอ่านโพสก่อนหน้านี้และบทความที่แนบมานี้ก่อนเข้าเรื่องครับ)

ใช่! ผมรู้ตัวว่ามีความรู้ รู้ตัวว่ามีบารมีโดดเด่นมาในเรื่องของความรัก เรื่องคนคู่ แต่ผมไม่ทำให้มันชัดเจน เพราะลึก ๆ แล้วผมรู้ว่าโลกธรรมเรื่องนี้มันหนักมาก ตัวผมเอง ออกจะไปทางไม่เอาภาระศาสนา ผมรู้สึกว่าสภาพของผมเหมือนคนที่มีคลังแสงที่เพียบพร้อม แต่ไม่คิดจะใช้

และงานตรงนี้ยังไม่มีคนทำ ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่มีเวลามาไขเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ เมื่อบ่ายวันนี้ ผมตั้งใจแล้วว่าจะรับงานในหมวดนี้ เป็นหมวดที่ผมมั่นใจที่สุด แม้จะเป็นแรงน้อย ๆ ที่พยายามจะช่วย ผมก็จะพยายามทำ

คำของพ่อครูกระแทกใจผมมาก เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมถูกถ้อยคำบางคำของครูบาอาจารย์กระแทกใจจนต้องลุกขึ้นมาพิมพ์บทความ มันเจ็บอยู่ข้างใน เหมือนคนที่รู้ทั้งรู้ว่าทำได้แต่ไม่ทำ ท่านไม่ได้พูดกับผมโดยตรงหรอก แต่ผมฟังแล้วรู้ด้วยตัวของผมเอง ว่าต้องทำ มาถึงตอนนี้ก็เหมือนโดนถีบเป็นครั้งที่สอง

แต่ครั้งนี้ผมก้าวมาก่อนจะโดน ผมตัดสินใจด้วยตัวเองก่อนที่จะมาเห็นโพสนี้ เหมือนกับผมได้ก้าวกระโดดก่อนที่พื้นจะถล่ม

ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วหมั่นไส้จนอยากจะอ้วกก็ขออภัย นี่มันก็เหมือนอวดเหลือเกิน เหมือนสำคัญตัวผิด แต่ผมขอยืนยันว่าผมมั่นใจนะ เรื่องความรักเรื่องคนคู่นี่เป็นเรื่องที่ผมใช้เวลาศึกษาเยอะที่สุดที่ผ่านมาในชาตินี้แล้ว จะมาพิสูจน์กันก็ได้ แต่อย่าเพิ่งตีทิ้งผมเลย ก็ลองศึกษากันดูไปเรื่อย ๆ หรือท่านใดคิดว่ามีภูมิมากกว่าในเรื่องนี้ จะเพิ่มความรู้ให้ผม ผมก็ยินดีรับฟัง แต่ถ้าผมจะถามกลับหลังฟังเพื่อให้คลายสงสัยในความเห็นนั้น ๆ สักหน่อย ก็ขอโอกาสไว้ ณ ที่นี้ด้วย ผมเชื่อว่ามี! คนที่สูงกว่าผมมีอยู่ แต่แค่ตอนนี้ท่านเหล่านั้นยังไม่แสดงตัวเท่านั้นเอง (ส่วนท่านที่แสดงตัวแล้วก็ยกไว้)

นี่ผมพิมพ์ขนาดนี้ ก็เหมือนเอาหัวมาวางพาดไว้บนเขียงแล้ว ถ้าพลาดผมก็โดนลงมีด ไม่ใช่จากคนอื่นหรอก จากวิบากกรรมผมเองนี่แหละ ถ้าผมไม่มั่นใจว่าจะทำได้จริง ผมไม่พิมพ์ให้ตัวเองตายเล่น ๆ หรอก

ที่พิมพ์ไว้ก็ไม่ใช่อะไร จะออกศึกมันก็ต้องลั่นกรองรบสักหน่อย พอเป็นพิธี คนเขาสนใจเขาจะได้เข้ามาศึกษา คนไหนไม่สนเขาจะได้หลบ

กรอบหลัก ๆ ของผมคือ การกระชากหน้ากากให้เห็นหน้าจริงของกิเลสในความรักโลกีย์ เท่าที่ผมจะมีความรู้ความสามารถ

[38] การผสมดินสำหรับเพาะเมล็ด

diary-0038-การผสมดินเพาะเมล็ด

38. การผสมดินสำหรับเพาะเมล็ด

ดินที่ใช้เพาะเมล็ดนั้นมีผลค่อนข้างมาก สำหรับการเพาะเมล็ด

จากที่ผมได้ทดลองมา เมล็ดชุดเดียวกัน แต่เพาะลงในดินที่ผสมสูตรต่างกัน อัตราการงอกก็ต่างกัน

จากตัวอย่างนี้ คือการเพาะเมล็ดมะเขือเทศ ในตอนแรกนั้นใช้ดินผสมทรายอย่างเดียว กว่าเมล็ดจะงอกก็ใช้เวลาเป็นสิบวัน

ต่อมาทดลองผสมดินเพาะใหม่ ใส่ขุยมะพร้าวไปเพิ่ม ใส่ใบกระถินผสมไปเพิ่ม เมล็ดชุดเดิมกลับงอกได้ใน 5 วัน แถมอัตราการงอกดูเหมือนจะสูงกว่าสองเท่าด้วย

อุณหภูมิกับความชื้นมีผลมากในการงอกของเมล็ด อย่างล่าสุดผมทดลองเพาะเมล็ดฟักทอง ซึ่งได้ผลคือวันต่อมา ต้นกล้าก็งอกออกมาแล้ว ต่างจากการหยอดเมล็ดฟักทองในแปลงผักโดยตรง แบบนั้นกว่าจะขึ้นก็เป็นสัปดาห์ แต่ข้อดีของการหยอดในแปลงเลยคือได้โตต่อเนื่อง

พืชผักบางชนิดก็ไม่เหมาะที่จะหยอดในแปลงทันที แยกมาเพาะเมล็ด ค่อย ๆ ดูแลต้นกล้าจะเหมาะกว่า

ในส่วนดินผสมสำหรับปลูกนั้น ผมก็คงจะทดลองไปเรื่อย ๆ โดยหลัก ๆ ก็จะหาวัสดุที่ทำให้ดินร่วนซุย เก็บความชื้นได้ดี ไม่มีธาตุอาหารที่เกินความจำเป็น ส่วนที่เหลือก็ควบคุมความร้อนและความชื้นให้เหมาะก็พอ

[35] หินลับมีด

diary-0035-หินลับมีด

35. หินลับมีด

วันก่อนระหว่างขุดดิน ก็ขุดไปกระทบหินก้อนหนึ่งแตก เผยให้เห็นเนื้อหินที่เต็มไปด้วยทรายข้างใน น่าจะเป็นที่เขาเรียกว่าหินทราย

ก็เลยถือแล้วคิด ๆ ดูว่าจะเอามาทำอะไรได้ หินชนิดนี้มีอยู่เต็มที่ แต่ก็ไม่ค่อยได้สนใจมันสักเท่าไรนัก สรุปก็คิดออกว่าจะเอามาลองลับมีด ลับขวานดู

เมื่อทดลองก็พบว่าสามารถใช้ลับมีดได้ อาจจะไม่ได้ละเอียด แต่ก็สามารถใช้งานหยาบได้ดีเช่นลับมีดบิ่น หรือส่วนใบที่มีรอยแตก เพราะบางทีรอยพวกนั้นจะกินเนื้อหินลับมีดที่ใช้อยู่ปกติค่อนข้างมาก แต่ใช้หินทรายนี่จะใช้เท่าไหร่ก็ได้ จะให้สึกหรอไปเท่าไหร่ก็ได้ ไม่เปลืองเงิน

ก็เลยสรุปความได้ว่า ถ้าจะลับหยาบ ๆ ก็ลับกับหินทรายนี่แหละดี แล้วค่อยไปลับแบบละเอียดกับหินลับมีดที่ซื้อมาอีกที จะได้ยืดอายุหินลับมีดออกไปนาน ๆ แม้มันจะไม่ได้แพงอะไรนักหนา แต่ก็ช่วยประหยัดและใช้ของให้เหมาะกับงานได้ดีขึ้น

[34] หนูกับกระรอก

diary-0034-หนูกับกระรอก

34. หนูกับกระรอก

วันก่อนระหว่างนั่งอยู่ในบ้าน ก็เห็นกระรอกวิ่งไปมา เห็นหางมันก็นึกถึงหนู

คือหางกระรอกนี่มันจะมีขนและฟู ๆ หางหนูไม่มีคน แต่ถ้าตัดหางออกไป หน้าตามันก็คล้าย ๆ กันอยู แต่ทำไมกระรอกมันดูไม่มีพิษภัย ส่วนหนูนี่เป็นสัตว์ที่ควรจะเอาไว้ไกล ๆ

ก็มานั่งคิด สรุปว่า โดยกายภาพมันไม่ได้ต่างกันนักหรอก แค่หางไม่ได้บ่งบอกว่ามันดีหรือไม่ดี ส่วนที่บอกว่ามันดีหรือไม่ดีคือการกระทำของมันต่างหาก

กระรอกนี่มันไม่เคยเบียดเบียนเรานะ มันก็อยู่ของมันไป ส่วนหนูนี่มีชีวิตเพื่อเบียดเบียน การเป็นอยู่ของหนูจะเน้นเบียดเบียนเพื่อดำรงชีวิต ไม่สามารถดำรงตนในธรรมชาติทั่วไปได้ แต่ต้องพึ่งพิงมนุษย์

เมื่อมาอยู่กับคนก็สร้างความเสียหายมากมาย ก็คงเช่นเดียวกับยุงตัวเมีย ที่เกิดมาเพื่อเบียดเบียนโดยตรง ต่างจากผีเสื้อ ที่ไม่ทำอันตรายใด ๆ ต่อเราเลย

โลกนี้ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัณฑิตเราควรเข้าใกล้ คนพาลเราควรห่างไกล คืออย่าไปยุ่งมาก ชีวิตมันจะวุ่นวาย ซึ่งจริง ๆ แล้วในโลกส่วนใหญ่ก็คนชั่วคนพาลนั่นแหละ บัณฑิตมีนิดเดียว มีแค่ฝุ่นปลายเล็บเมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน สรุปคือเราก็จะถูกเบียดเบียนจากคนพาลเหล่านี้เรื่อยไปเป็นธรรมดา เหมือนกับการที่เรามีบ้าน มีข้าวของเครื่องใช้ ก็จะต้องเผชิญกับหนูเป็นธรรมดา

ก็ทน ๆ อยู่กันไป ทำได้อย่างดีก็แค่ป้องกันมัน แต่หลายบ้านกันอย่างดีมันก็เจาะช่องเข้าได้อีก บางบ้านไม่ป้องกันอะไรเลย แต่ก็ไม่มีหนู ก็เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย

แต่หนูมันอยู่ไม่ได้ตลอดหรอก คนพาลก็เช่นกัน เขาจะทำชั่วได้เท่าที่เราเคยทำชั่วมา ไม่มีทางมากกว่านั้น ดังนั้นให้สบายใจได้ว่า ไม่ว่าหนูหรือคนพาลใด ๆ ” เธอไม่มีทางทำกับฉันได้มากกว่าที่ฉันเคยทำมาหรอก