มัน เป็ด มาก

บางครั้งในชีิวิตของเราก็จำเป็นต้องเลือกทางสักทางที่น่าจะดูดีที่สุด แต่ถ้าเกิดมันดีหรือเหมือนจะดี หรือดีพอๆกันทุกทางล่ะ จะเลือกยังไงดี…

คำตอบของผมอาจจะเป็น เลือกทั้งหมดนั่นแหละ…

การเลือกทำหรือเลือกเป็นหลายๆอย่างนั้น มักจะเป็นอะไรที่ไม่ชัดเจน ไม่เฉพาะทาง ไม่เก่งไปสักอย่าง หรือที่เขาเรียกกันว่า เป็ด … เหมือนทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรได้ดีสักอย่าง แน่นอนว่าผมก็เป็นคนแบบเป็ดๆนั่นแหละ

มันเป็ดมากบทความตอนนี้คิดจะเขียนขึ้นมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักที วันนี้โอกาสเหมาะ อากาศดี ก็เลยได้เขียนและบรรยายความเป็ดให้เป็นที่เข้าใจกัน ความเป็ดของแต่ละคนนั้นอาจจะแตกต่างกันออกไป ตามสิ่งแวดล้อม แต่ที่แน่ๆ มันไม่ได้เด่นสักอย่าง ซึ่งผมเองก็เป็นเป็ดอีกตัวหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในสังคมนี้

การเก่งเฉพาะทางหรือเฉพาะอย่าง คือสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก มันเข้าใจง่าย มันดำเนินชีวิตง่าย มันทำให้ชีวิตไปถึงเป้าหมายได้ง่ายเพราะมันชัดเจนในแนวทาง เว้นแต่ว่ามันน่าเบื่อเท่านั้นเอง…

ในบทความตอนนี้เราจะมาบรรยายความเป็ดกับการทำงานกัน

ถ้าจนถึงตอนนี้ยังนึกถึงความเป็ดไม่ออกก็ให้นึกถึงเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังชั่น fax ,print ,scan ,phone อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แต่ก็ทำได้แค่พอถูไถ เหมาะกับสถานที่ที่อาจจะเล็กนิดหน่อย หรือบริษัทที่งบไม่เยอะต้องการประหยัดอะไรแบบนี้

งานก็เหมือนกัน สำหรับบริษัทที่เริ่มต้นใหม่หรือมีขนาดไม่ใหญ่ก็มักจะอยากได้คนที่ทำได้หลายอย่าง ซึ่งต่างกับ บริษัทใหญ่ๆที่แบ่งแผนกชัดเจนจึงต้องการคนเฉพาะทางนั่นเอง และนี่คือกลไกง่ายๆ จากมุมมองง่ายๆของผมที่มองสังคมการทำงาน แน่นอนว่ามันคือสังคมการทำงาน เราคือฟันเฟืองที่ทำให้กิจการขับเคลื่อนไป ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็ดหรือไม่เป็ด ก็ขอแค่ให้มันเหมาะกับสถานที่หรือองค์กรที่เป็นอยู่ก็พอ

เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง

บางครั้งเมื่อองค์กรมีการปรับเปลี่ยนขนาด เป็ดบางตัวก็อาจจะเดือดร้อนก็ได้ เพราะความไม่ชัดเจนหรือไม่เฉพาะทางนั่น เป็ดบางตัวอาจจะได้ยกระดับเป็นผู้บริหารเพราะรู้หลายอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง ซึ่งนั่นแหละคือความเป็ด ผู้บริหารไม่ว่าจะเล็กกลางใหญ่จำเป็นต้องรู้ให้กว้าง แต่ไม่ต้องรู้ให้ลึก เพราะรู้ลึกก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำไป

ดังนั้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่าเป็นเป็ด จึงจำเป็นต้องเพิ่มความสามารถในการบริหารให้มากขึ้นนั่นเอง เพราะเราคงจะไปเก่งสู้คนที่เก่งเฉพาะทางได้ ซึ่งการเลือกเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างในชีวิตมันก็ต้องใช้เวลา และเราจึงจำเป็นต้องรู้ตัวให้ชัดว่าเป็นเป็ดแบบไหน เป็ดบ้านๆที่รอถูกเชือด (เป็ดกินเงินเดือน) เป็ดป่าที่หากินเองตามธรรมชาติ (เป็ด freelance)  ลูกเป็ดขี้เหร่ ที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นหงส์ (เป็ดโดนดอง) ซึ่งเราอาจจะนิยามอะไรอย่างไรก็ได้เพื่อมองให้เห็นความเป็นตัวเราเอง และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดในความเป็ด คือรู้ว่าตนนั้นเป็นเป็ดแบบไหนและขนาดไหน…

บทความแบบเป็ดๆ คงเกริ่นกันไว้เท่านี้ ซึ่งอาจจะมีบทความเพิ่มขึ้นเรื่อยในอนาคตตามแต่ที่ผมจะจินตนาการได้

สวัสดี

ทำไมถึงต้อง MonkiezGrove ?

หลายคนที่เคยดูหรืออ่านผ่านตา ผ่านไปผ่านมาหลายครั้ง คงเคยสงสัยว่าทำไมถึงตั้งชื่อ MonkiezGrove วันนี้จะมาเล่าที่มาที่ไปให้อ่านกันครับ

แรกเริ่มเดิมที…

เดิมทีตอนแรกเริ่มนั้นคิดชื่อไว้โดยมีตีมเล็กๆน้อยๆ คือ สัตว์ป่า และธรรมชาติ เพราะงานการ์ตูนส่วนใหญ่ของผมจะออกไปทางแนวนั้น และตอนนั้นตัวละครเด่นๆของผมเลยก็คือ ไข่ลิง ( ตัวละครลิง สีน้ำตาล ) และไข่ลิงก็ถือเป็นแรงบัลดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผมได้เริ่มวาดการ์ตูนกันเลยทีเดียว

เริ่มแรกในตอนนี้จะต้องตั้งชื่อกลุ่ม ก้อน องค์กรขึ้นมาแล้วนั้น มันก็ต้องมีสักชื่อ ผมเองคิดอยู่นานมากๆ คิดแล้วคิดอีก กรองแล้วกรองอีก จนได้คำมาสองคำ นั่นคือ Monkey(ลิง)  กับ Forest (ป่า)  ซึ่งทั้งสองคำนั้น…ผมคิดว่า

Monkey(ลิง) คือตัวแทนของตัวละครที่สนุกสนาน “ลิงมันไม่อยู่นิ่ง มันชอบวิ่งกระโดดไปมา” คือท่อนหนึ่งของเพลงสมัยเด็กๆที่คุ้นเคย มันบ่งบอกว่านอกจากลิงจะเป็นสัตว์ที่ดูสนุกสนานกับกิจกรรมของมันแล้ว มันยังไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลาอีกด้วย ผมจึงจับเอาจุดนี้ของลิงนี่แหละ มาใส่เป็นชื่อ

Forest (ป่า) เมื่อมีลิงก็ต้องมีป่า ป่าอาจจะใหญ่ไปสำหรับลิงน้อยๆของผม และดูเหมือนว่ามันจะออกเสียงยาก ไปนิดหน่อย MonkeyForest มันออกจะเป็นแนวสารคดีเกินไป ก็เลยเปลี่ยนคำว่า Forest (ป่า) มาเป็น Grove ซึ่งแปลว่า หมู่ไม้ กลุ่มไม้เล็กๆ หรือแปลว่าสวนผลไม้ พอเห็นคำนี้ก็ถูกใจเลยครับ เพราะมันไม่ใหญ่จนเกินไป เป็นมุมเล็กๆมุมหนึ่งที่ผมคิดว่ามันน่าจะพอดีเลยแหละ จนมาถึง…

Monkeygrove.com

เป็นเรื่องตลกที่แสนจะธรรมดา เมื่อคำที่เราคิดตั้งนานดันมีคนมาจดโดเมนไปก่อนหน้าเรา จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ชื่อที่วิเศษอะไรนักหรอกนะครับ แต่ัมันก็ตรงตัวดี และดูแล้วน่าจะเข้าใจง่าย ผมเองซื้อต่อโดเมนไม่เป็นและ คิดว่ายังมีทางออกนั่นคือ เปลี่ยนชื่อของเราสักสองสามตัวมันคงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ เพราะเราก็เป็นกลุ่มกิจการที่เริ่มต้นใหม่

เมื่อหาและคิดดูแล้วว่าจะเปลี่ยนตัวไหน ก็ลองมามองๆและทดสอบดูจนได้ Monkeygrove มาเป็น MonkiezGrove คำนี้คงจะไม่มีความหมายอะไร แต่สำหรับคนไทยแล้ว จะ monkey หรือ monkiez ก็คงจะคล้ายๆกัน หมายถึงการมองหรือฟังแบบหยาบๆนะครับ แน่นอนว่าอาจจะทำให้ผู้ที่สนใจเกิดความสับสนได้ แต่ผมมองว่ามันเอาไปเล่นอะไรได้อีกเยอะเลย

สุดท้ายด้วยความที่ยอมเปลี่ยนดีกว่ายอมซื้อ ก็เลยจดโดเมน monkiezgrove.com และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ครับ และแน่นอนว่าจนวันนี้ก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อนี้เลยครับ มันชอบและชินไปเสียแล้ว

สวัสดี

กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม?

วันนี้มีเรื่องให้คิดถึงคำถามนี้ขึ้นมา อาจจะเพราะไม่ได้วาดรูปมาก็นานแล้ว ก็เลยนึกย้อนไปถึงวันที่มีคำถามนี้เกิดขึ้น…

กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม?

กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม? เป็นคำถามที่มีลูกค้าถามตอนที่ผมไปเปิดร้านขายโปสการ์ดมังกีซ์โกรฟในงานปล่อยแสง ที่หอศิลป์แถวๆสยาม ตอนนั้นผมจำได้คับคล้ายคับคลาว่าจะตอบไปประมาณว่าวาดรูปหนึ่งไม่นาน แต่คิดนาน

มาถึงวันนี้ดูเหมือนจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมลืมตอบไปด้วย…นั่นคือกว่าจะคิดจะวาดก็นานเหมือนกัน..

วันก่อนมีลูกค้าถามถึงลายใหม่จะมีเมื่อไหร่ แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถาม แต่ผมเองไม่ค่อยได้นึกถึงคำตอบที่แน่นอนเท่าไหร่ จนกระทั่งนึกไปถึงคำถามที่ว่า กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม? นั่นเอง

เมื่อสองความรู้สึกนี้มาบรรจบกัน “จะมีลายใหม่เมื่อไหร่ + วาดรูปหนึ่งใช้เวลานานไหม” ก็ทำให้มีคำตอบที่เหมาะสมสำหรับคำถามว่ากว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม? นั่นคือนานมาก… เพราะกว่าจะมีโปสการ์ดออกมาใบหนึ่ง ต้องใช้เวลาขบคิดจินตนาการไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าคิดแล้วออกมาเลย แต่ต้องคิดต้องวาดรูปในอากาศ ร่างภาพในความคิด ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะออกมาเป็นภาพต้นแบบ และปรับแก้ภาพในหัวอีกนับเดือนกว่าจะออกมาเป็นภาพร่างโดยใช้ดินสอ

กว่าจากภาพดินสอจะถูกวาดเป็นโปสการ์ดอย่างที่เห็นนั้น ไม่ได้มีขั้นตอนต่อเนื่องกันอย่างที่คิด เพราะว่าหลังจากร่างแบบแรกแล้ว ผมจะปล่อยให้่มันตกผลึก “มัน” ในที่นี้คือความคิดและจินตนาการ ซึ่งบางทีก็มีการปรับแก้อีกที และบางทีก็วาดใหม่ยกเลิกรูปเดิมทิ้งไปเลยก็มี

และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนั่นคือการวาด แต่ปัญหาคือเมื่อไหร่จะวาด น่าจะเป็นคำถามที่ชัดเจน มันยากมากที่จะบอกว่าเมื่อไหร่จะวาด เหมือนการวาดงานครั้งหนึ่งนั้นต้องใช้สมาธิและความตั้งใจสูงมากๆ ผมมักจะล็อควันเวลาไว้ก่อนจะวาดจริง จะไม่ไปไหนหรือไม่ทำธุระอะไรทั้งนั้น ทั้งๆที่เป็นงานวาดโปสการ์ดการ์ตูน แต่ก็จำเป็นต้องใช้สมาธิและอารมณ์ในการสร้างสรรค์รูปออกมา เพราะว่าโปสการ์ดรูปหนึ่งผมจะวาดครั้งเดียว หมายถึงให้งานจบ ณ ตรงนั้นเลย จะไม่มีแก้นั่นแก้นี่เยอะนัก เพราะทุกอย่างต้องพร้อมก่อนจะวาดแล้ว ทั้งภาพในหัว ทั้งสมาธิ ซึ่งตรงนี้แหละที่จะทำให้มันมาบรรจบกันได้ยาก ความพอดี ที่จะเกิดโปสการ์ดได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าอยากทำก็จะทำได้ (ซึ่งจริงๆก็อาจจะทำได้ แต่คงไม่ได้ดีเท่าที่ใจคิด)

เพราะฉะนั้น การที่มีโปสการ์ดมังกีซ์โกรฟใบใหม่ออกมานั่นหมายถึงผมว่างพอที่จะมีสมาธิและความสร้างสรรค์ ที่มากพอที่จะสร้างผลงานดีๆออกมาได้

ผลงานของผมในมังกีซ์โกรฟ ติดตามชมได้ที่ monkiezgrove.com

สวัสดี

ความสุขจากการขายของ

หลายวันก่อนในห้องเรียนวิชาเกี่ยวกับ SME ได้มีอาจารย์พิเศษมาสอนให้หัวข้อเกี่ยวกับกฏหมายครับ ซึ่งน่าสนใจมากๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจนั้นไม่ใช่ข้อกฏหมาย แต่เป็นประสบการณ์ที่อาจารย์ได้มาเล่าให้ฟังครับ ซึ่งปกติเขาก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำครับ แต่มีความรู้ด้านกฏหมายรวมกับประสบการณ์ทางธุรกิจที่มากมาย จึงเป็นโอกาสที่เราได้มาเจอกัน

บทเรียนในห้องที่น่าสนใจ

เนื้่อหาที่เล่านั้นมีมากมายหลายหลาก การแบ่งปันประสบการณ์ในการเผชิญปัญหา ทางแก้ สิ่งที่ได้รับ มีอยู่ช่วงหนึ่งแกพูดถึงความรู้สึกถึงการประสบความสำเร็จ และมีความสุขเมื่อได้ทำธุรกิจ ซึ่งแต่ก่อนจะมาทำธุรกิจแกได้ทำงานเกี่ยวกับกฏหมาย ซึ่งก็มีรายได้มากอยู่แล้ว แต่มีเหตุการณ์ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนไปทำธุรกิจครับ

โดยแกได้เล่าว่า การทำธุรกิจนั้นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อก็มีความสุข คนขาย ขายของได้เงินก็มีความสุข คนซื้อได้ของตามที่หวังก็มีความสุข ผมฟังเนื้อหาเหล่านี้แล้วก็กลับมานึกถึงตัวเองว่าผมเคยมีความรู้สึกเหล่านี้บ้างไหม แล้วมันผ่านมานานแล้วแค่ไหน

เรื่องราวที่ย้อนไปถึงอดีต

ความรู้สึกยินดีและความสุขของผมเริ่มที่มังกีซ์โกรฟ มันเป็นวันที่แดดตอนบ่ายไม่ร้อนจนเกินไป ผมลองไปขายโปสการ์ดที่จตุจักรโดยตั้งแผงง่ายๆ ที่กางออกแล้วขายได้ทันที ซึ่งผมจำได้เลยว่าลูกค้าคนแรกของผมเป็นผู้หญิงวัยกลางคนหน่อยๆ ซื้อโปสการ์ดของผมไปสองใบ สมัยนั้นยังไม่มีชุดการ์ดและแบบการ์ดให้เลือกมากมายเหมือนตอนนี้ แต่ผมเองก็ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ มันมีความสุขมากๆ

การขายงานศิลปะหรืองานฝีมือนั้น ต่างจากงานรับจ้างต่างๆที่ผมเคยทำมา งานที่มาจ้างผมทำ คือเขาต้องการในแบบของเขาจึงมาจ้างผมทำ แต่การขายงานศิลปะคือผมทำขึ้นมาก่อนแล้วเขาสนใจ เขาจึงซื้อ ความรู้สึกที่มีคนซื้อผลงานของเราโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน..สำหรับศิลปินด้อยประสบการณ์อย่างผม ถือว่าเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มจนยากจะลืม

ปัจจุบันผมไม่ค่อยมีเวลาหรือมีความคิดไปขายตามสถานที่ต่างๆแล้วเพราะเวลาและโอกาสนั้นไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่ จึงขายเฉพาะสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ซึ่งผมก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่มีรายการสั่งซื้อเข้ามา จำนวนการสั่งหรือรายได้คงไม่สำคัญเท่า การที่ผลงานของผมนั้นได้อยู่ในมือของคนที่ชอบและเห็นคุณค่าของมัน..

สวัสดี

To do list กับการควบคุมชีวิต

เหมือนว่าตอนนี้วิถีชีิวิตของผมจะหลุดไปจากที่เคยพอสมควร ช่วงสามเดือนมานี่ไม่ได้เขียน To do list หรือรายการสิ่งที่จะทำในแต่ละวันเหมือนก่อน ทำให้บางวันนั้นดูว่างเปล่าเกินจะจินตนาการ

ผมเป็นคนที่ชอบวางแผนในแต่ละวัน ซึ่งก็มักจะทำตามแผนที่วางไว้อย่างหลวมๆ คือมีแนวทางในแต่ละวันนะ แต่จะเสร็จไม่เสร็จนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆมากมาย เพราะบางทีก็ไม่ได้ว่างทั้งวัน หรือมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาเสมอๆ ทำให้ทำตาม To do list ไม่ได้ ซึ่งช่วงหลังๆก็เลยไม่ได้เขียนเหมือนเคย

ปัจจุบันได้ค้นพบแล้วว่าถ้าผมไม่เขียน To do list ไว้บ้าง ชีวิตในแต่ละวันก็มีโอกาสล่องลอยไปตามลมฟ้าอากาศได้มากพอสมควรเลย ความขยันที่เคยมีเมื่อก่อนถูกพัดพาให้ไกลออกไปด้วยลมเย็นๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ซึ่งตอนนี้ผมพยายามตั้งสติและกลับมาเป็นตัวเองอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง เพราะนอกจากงานที่กองสุมมากมายแล้วยังมีเรื่องเรียนซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้อยู่อีกด้วย

ใครมีอาการแบบผมแนะนำให้วางแผนชีวิตโดยเขียน To do list ไว้บ้างนะครับ แม้ว่าจะเป็นระยะสั้นแต่ก็ดีกว่าเราไม่ได้วางแผนอะไรเลย

สวัสดี

ปริมาณงานตามพื้นที่หน้าจอ

เวลาที่ผมมีงานหรือมีโปรเจคเข้ามา ก็มักจะบันทึกงานไว้หน้า Desktop ครับ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำอย่างไรนะ แต่ผมชอบไว้ตรงนี้ มันเห็นง่ายดี

แต่เวลามีหลายๆงานเข้ามารุมล้อมกัน บางทีมันก็จะเคลียไม่ค่อยทัน นั่นคืองานมันซ้อนกันหลายงานนั่นแหละครับ ทีนี้พองานเยอะๆเข้าชักจะกินที่ของหน้าจอไปเรื่อยๆละซิ สิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผมจำเป็นต้องรีบเคลียงานนะ!!

เมื่องานชักจะเยอะ หน้าจอก็เริ่มรกไปเรื่อยๆ
เมื่องานชักจะเยอะ หน้าจอก็เริ่มรกไปเรื่อยๆ

จริงๆเรื่องงานถ้ามันง่ายขนาดคิดก็เสร็จนี่มันคงจะไม่ยากลำบากชีวิตอะไรนัก เพราะงานของผมมักจะขึ้นกับลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งหัวหน้าผมก็คือผมเอง ดังนั้นคนที่ตัดสินใจให้งานผ่านก็เหลือแค่ลูกค้าครับ ซึ่งบางทีอาจจะต้องมีรอตรวจงานกันนิดหน่อยก่อนจะส่งมอบงานสุดท้ายไป

ซึ่งบางทีพอชนกันหลายๆงาน มันก็ติดอยู่หน้าจอหลายงานครับ บางทีก็ทำให้สับสนอยู่เหมือนกัน ซึ่งนิสัยผมจะยังไม่เคลียงานที่ยังไม่เสร็จครับ คือจะปล่อยไว้หน้าจออย่างนั้นจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ซึ่งอย่างทีรู้ๆกัน งานวีดีโอ งานอนิเมชั่น มันไฟด์ Output ค่อนข้างจะเยอะ บางทีถ้าไฟด์มันเยอะนักผมก็จะเอาไปเก็บในแฟ้มครับ ซึ่งก็อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ตอนเรียกใช้ละนะ…

หลังจากจัดการงานที่สุมอยู่เสร็จ หน้าจอก็โล่ง
หลังจากจัดการงานที่สุมอยู่เสร็จ หน้าจอก็โล่ง

พองานเสร็จทุกอย่างจะโล่งมากๆ ผมมักตั้งหน้าจอไว้ที่สีดำเพื่อเป็นการประหยัดไฟ (คิดว่าอย่างนั้นนะ) ถ้างานเสร็จเร็วเท่าไหร่หน้าจอก็ยิ่งจะโล่ง ไฟก็จะยิ่งประหยัด ปัจจุบันผมยังใช้จอ CRT อยู่เลยครับ เพราะมันสามารถซื้อจอใหญ่ได้ในราคาเล็กๆ แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจแล้วครับ คิดว่าถ้าจอนี้เสียอาจจะซื้อจอใหม่เป็น LCD หรือเทคโนโลยีอื่นที่ดีกว่าแทน เพราะจออันนี้ผมซื้อมาใช้ก็สี่ปีกว่าแล้วครับ (ซื้อจอมือสองมาใช้)

สวัสดี

พักหายใจ

กับเหตุการณ์ช่วงนี้ที่เกี่ยวกับตัวผมคงจะไม่มีอะไรมาก แต่ที่จะมาเล่ากันวันนี้ เป็นอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลาหนึ่ง ในวัน วันหนึ่ง เท่านั้นเอง

ตัวผมนั้นปกติจะตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดคอมพิวเตอร์ เปิดกาน้ำร้อน ชงชา แล้วดูอะไรๆที่เปลี่ยนแปลงในอินเตอร์เนท แล้วก็ค่อยทำงานกัน หลังจากทำงานนั้นผมจะค่อนข้างมีสมาธิพอสมควร แต่การมีสมาธินั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาของมันเอง

เพราะบางทีผมจดจ่ออยู่กับมันมากเกินเวลาที่สมควรทำให้มีการเมื่อยล้าปวดกล้ามเนื้อจนต้องลงมานอนบิดขี้เกียจกันทีเดียว ดังนั้นการจดจ่อมากเกินไปคงไม่เรียกว่าสมาธิสักทีเดียว คงจะเรียกว่าความหมกมุ่นมากว่า ถ้าใช้คำว่ามีสมาธินั่นหมายถึงผมคงต้องไปกินข้าวอาบน้ำ เดินเล่น แล้วกลับมาทำงานได้อย่างปกติเหมือนเดิม

แต่ปกติแล้วมันจะไม่เป็นเช่นนั้น เวลาที่ผมเดินไปที่อื่นผมก็จะคิดเรื่องอื่นๆ ในหัวมีอะไรตลอดเวลา ผมจำไม่ได้ว่าเวลาไหนผมไม่ได้คิด พอว่างสักหน่อยก็จะเอาอะไรออกมาคิด หรือไม่มีเรื่องคิดก็เปิดอินเตอร์เนทหาเรื่องใส่สมองมาคิดจนได้

เรื่องที่คิดมีทั้งมีสาระและไม่มีสาระบ้างปะปนกันไป แต่สำหรับผมมันมีประโยชน์มาก ความคิดหนึ่งๆเมื่อคิดไว้แล้ว ผ่านวันนานไปเราอาจจับมาต่อยอดกับความคิดปัจจุบันได้เรื่อย อาจเพราะเหตุนี้ผมเลยไม่ค่อยมีปัญหากับการคิดงานสักเท่าไร

วันนี้ตอนเย็นแม่กลับบ้านเร็วหน่อย ประมาณห้าโมงเย็นได้ ผมเปิดหน้าต่างไปทักทายแม่ และมองออกไปนอกหน้าต่าง อากาศเย็นกว่าให้ห้องมาก ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ผมอยู่ในห้องที่อากาศไม่ค่อยหมุนเวียนตลอด แม้ตอนนี้จะเอาพัดลมดูดอากาศข้างนอกเข้ามาบ้าง แต่มันก็ไม่เท่ากับเปิดหน้าต่างออกไปสูดอากาศแม้แต่น้อย

การเปิดหน้าต่างออกไปนั้นผมเพียงแค่ลุกและเอื้อมตัวไป มันใช้พลังงานและเวลาน้อยกว่าเดินไปห้องน้ำมากมาย แต่ผมกลับไม่ค่อยได้ทำมันเลย ผมเข้าห้องน้ำประมาณวันละ 20-30 ครั้งเพราะปริมาณน้ำชาที่กินเข้าไป และอาบน้ำบ่อย แต่ผมเปิดหน้าต่างวันละไม่ถึงหนึ่งครั้ง…

evening_outside

…หลังจากนี้คงต้องเปิดหน้าต่างเอาหัวออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง
…เพื่อ
…พักหายใจ

สวัสดี