กำลังศรัทธา สู่พลังใจ
ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นเศษส่วนหนึ่งของบรรยากาศพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ซึ่งก็ได้เห็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยาก นั่นคือความพร้อมใจกันของประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จฯ จึงได้แนวคิดและเก็บมาสังเคราะห์ต่อในประเด็นของความศรัทธา
บ่ายวันที่ ๕ ผมเดินทางไปด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งจากต้นทางก็ไม่ค่อยเห็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่าไหร่ เท่าที่มองเห็นจะมีคนใส่เสื้อเหลืองราว ๆ 4 ใน 10 ส่วน แต่พอเริ่มเดินทางเข้าใกล้ที่หมายมากขึ้น ภาพรวมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป สีอื่นเริ่มหายไป เหลือแต่โทนสีเหลืองกับสีอื่น ๆ ของเจ้าหน้าที่
เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ อีกวันหนึ่งที่อากาศร้อนมาก แต่ภาพที่เราเห็นคือมีคนจำนวนมากมาทนร้อนทนแดดกันกลางถนน ภาพเหล่านี้ก็ดูเหมือนภาพธรรมดา อาจจะคิดไปได้ว่า งานสำคัญเช่นนี้เขาก็ทนร้อนกันได้ แต่เมื่อพบคิดทบทวนไป ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เราต้องทำดีขนาดไหน ถึงจะมีบารมีขนาดที่ว่ามีคนจำนวนมากมายขนาดนี้ ยอมทนลำบาก ทนร้อน ทนหิว ทนความอึดอัด และอื่น ๆ อีกสารพัดที่ต้องใช้ความอดทน ถ้าเทียบกับตัวเราตอนนี้นี่จะให้คนสักคน เขาออกจากบ้านมาเจอเรายังทำไม่ได้เลย จะให้มาทนแดดทนลำบากอย่างนี้คงไม่ไหว พอระลึกทบทวนได้แบบนี้ก็รู้ซึ้งในบารมีของในหลวง ร.๑๐ มากขึ้น และพิจารณาต่อไปอีกว่า การที่คนจำนวนมากสามารถทนลำบากได้ขนาดนี้ ก็เพราะเขามีกำลังใจที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ความร้อน ตลอดจนความไม่สบายต่าง ๆ กำลังใจที่มากผิดปกตินี้ เกิดจากความศรัทธาอย่างตั้งมั่น เชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์ เชื่อมั่นในความเป็นไทย เป็นความแนบแน่นมั่นคงในจิตใจของประชาชนชาวไทยส่วนมาก
ถ้าให้แต่ละคนมาทนตากแดดรอคนที่เขาไม่ได้รัก ไม่ได้ศรัทธา เขาจะทำกันไม่ได้หรอก พอใจไม่ศรัทธา มันก็ไม่มีกำลัง ไม่มีแรงจะพาร่างกายออกมา มันก็เป็นธรรมดาของคนที่ไม่ใส่ใจ จึงไม่มีพลังพิเศษ ไม่มีพลังใจที่เชื่อมถึงกัน แม้ในวันนั้นผมจะไม่สามารถเดินดูปริมาณผู้คนทั้งหมดได้ด้วยตา แต่ก็พอจะเห็นว่ามาก คือมากพอที่จะทำให้ผมเดินต่อเข้าไปยังส่วนที่ลึก ๆ ไม่ได้ คนมากมายมานั่งรอกันแน่นถนน ถึงแม้จะมีคนมาก ก็ยังมีการแสดงออกถึงน้ำใจที่มีให้กัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดูแลกันและกัน แบ่งปันน้ำ อาหาร ยา ที่นั่ง ที่หลบแดดแก่กันและกัน จะเห็นได้ว่างานพระราชพิธีครั้งนี้ เป็นงานแห่งการแบ่งปัน ตั้งแต่ประชาชนทั่วไปที่มารอรับเสด็จ จิตอาสา และเจ้าหน้าที่ในส่วนต่าง ๆ
กลับมาที่เรื่องของศรัทธาในมุมมองของผม เมื่อผมได้เจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ผมก็มักจะนำมาวิเคราะห์ต่อ พอทบทวนดูแล้ว ศรัทธาเป็นธรรมที่ผมค่อนข้างจะมองข้ามไป ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ ไม่ค่อยมีกลยุทธ์เรื่องศรัทธา แต่จะเน้นไปในด้านปัญญาเป็นหลัก เพราะมองว่า คนมีปัญญาก็คือคนที่ศรัทธานั่นแหละ แต่จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า ศรัทธานี่เขามีกำลังนะ มีกำลังขนาดนี้เลยนะ ขนาดที่ว่าเราไม่มีปัญญาจะทำได้นั่นแหละ ซึ่งในทางธรรม การใช้ศรัทธาในเบื้องต้นมันก็แน่นกว่า เพราะปัญญานี่มันฟุ้งพอสมควร แต่ศรัทธานี่จะไปทางแกร่ง แน่นใน ทำให้ภาพรวมชัดเจน ส่วนปัญญาคือความคม ความแม่นยำ ชัดเจน ฯลฯ กรณีเราช่วยคนในด้านเพิ่มศรัทธา เพิ่มกำลังใจ ก็จะทำให้เขาทรงตัวอยู่ได้นาน มีกำลังพอที่จะทนไปได้ระดับหนึ่ง ส่วนการใช้ปัญญานี่มันก็เสี่ยงสูงเหมือนกัน เพราะถ้าไม่แม่นโอกาสพลาดก็เยอะกว่า ขาดก็ไม่ดี เกินก็ไม่ดี สำคัญคือต้องมีความรู้จริงในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งยากสุดยากในการประมาณการใช้ปัญญาในการช่วยคน แม้ผลจะเป็นที่น่าพอใจสุด ๆ ก็ตามที แต่บางครั้งกลยุทธ์เชิงปัญญามันไปไม่ได้ บางคนเขาเป็นสายศรัทธา เขาก็ไม่รับคลื่นฝั่งปัญญาเท่าไหร่ ถ้ามองในมุมของตัวเอง ผมจะใช้ปัญญาแก้ปัญหาเป็นหลัก ไม่ค่อยได้ใช้ศรัทธาหรือกำลังใจในการผ่านปัญหาที่เข้ามาสักเท่าไรนัก
เรื่องตัวเองก็พอเอาตัวรอดไปได้ระดับหนึ่ง พอมันเป็นเรื่องตัวเองมันก็ง่ายกว่า เพราะมันรู้เห็นได้ชัด พอเป็นเรื่องคนอื่นนี่มันยากมาก แม้ในหลาย ๆ ครั้ง ฟังดูก็พอรู้นะว่าเขาติดอะไร แต่การจะลงดาบเลยทันทีในสภาพที่ศรัทธาไม่พอนี่มันเสียหายอยู่เยอะเหมือนกัน คือถ้าใช้ปัญญากับคนอินทรีย์พละสูงมันก็ง่าย แต่พอเจอคนอินทรีย์พละต่ำ ศรัทธาต่ำ กำลังใจน้อย ไม่เชื่อใจกัน มันก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเขาเปราะบางเกินไป ผมเคยเจอกรณีแบบนี้หลายครั้ง ส่วนมากจะพลาด ก็นึกว่าเขาแกร่ง แทงไปปุ๊ป!…เหลวเป็นเต้าหู้หลอดเลย หลัง ๆ เลยคิดเลยว่า พอ ๆ ถ้าไม่ศรัทธากันมากพอไม่เสี่ยงแล้ว ทีนี้พอมาเห็นปรากฏการณ์ในวันที่ ๕ ก็ตั้งใจใหม่ ว่าจริง ๆ เราไปพัฒนาด้านศรัทธาบ้างก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้ด้านปัญญาทั้งหมดเลย ศรัทธามาก่อนมันก็แกร่งดี ทนแดด ทนร้อน ทนหอก ทนดาบได้ดี มันก็น่าจะพัฒนาได้ไกลกว่า
แม้กับตัวเราเองก็ตาม การฝึกในด้านศรัทธา หรือเพิ่มกำลังใจ ก็จะทำให้ใจแกร่งขึ้น ทนขึ้น หนักแน่นขึ้นอีก ก็ไม่ได้เอาความแกร่งของใจไปใช้กับอะไรหรอก ก็ใช้กับกิเลสเรานั่นแหละ ส่วนที่ทนแดด ทนฝน ทนลำบากได้ อันนั้นกำไรทางโลก