วันก่อนผมเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตระหนักถึงภัยอันน่ากลัว คือผมเดินไปสะดุดกระดานรองเขียนที่วางไว้ที่พื้น กระดานนั้นมันมีสีน้ำตาลเหมือนสีพื้น แม้มันจะสูงกว่าพื้นไม่มากนัก แต่มันก็ไม่ใช่พื้น และเราก็ไม่ทันสังเกต เราไปเห็นว่ามันเป็นพื้น สุดท้ายก็เลยสะดุดมัน
ก็ทำให้คิดว่า บนเส้นทางธรรมนี่ก็เป็นเส้นทางที่น่ากลัวเหมือนกัน ประมาทไม่ได้ และประมาทใครก็ไม่ได้ คนที่ไม่มีสติจะไม่ทันสังเกตความแตกต่าง คนไม่มีปัญญาจะไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร
คนที่หันมาปฏิบัติธรรมแรก ๆ ส่วนมากจะมีความอ่อนน้อม เพราะรู้ตัวว่ายังไม่เก่ง แต่พออยู่นานเข้า ศึกษาและปฏิบัตินานเข้า ก็จะเริ่มเก่งและอัตตาก็จะเริ่มโต พออัตตาโตสายตามันก็จะเริ่มสั้น เริ่มมองเห็นไม่ชัด เห็นได้แต่ใกล้ ๆ คือเห็นสำคัญแต่ตัวตนของตนเอง แต่มักไม่เห็นความสำคัญในผู้อื่น
พอมองไม่ชัด มันก็เผลอ ก็พลาด ก็เลยเกิดเป็นสภาพชนตอ ทีนี้พออัตตาจัดแล้วชนตอ มันจะไม่รู้ตัวว่าชนตอ รู้แต่เจ็บ รู้แต่ทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าชนอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ชนไปแล้ว
หายนะอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม คือการเพ่งโทษกันในหมู่คนดี กรรมเหล่านั้นจะให้ผลเช่น หลง เสื่อม เจ็บ ตาย ฯลฯ ซึ่งจะมีความรุนแรงไปตามตัวแปรคือบุคคลที่ไปเพ่งโทษ เรื่องที่ไปเพ่งโทษ และระยะเวลาที่ยังไม่ได้แก้ความเห็นผิดนั้น ๆ
ผมเคยเห็นผู้ที่ทำกรรมนี้มาแล้ว คือทำดีมาแทบตาย สุดท้ายชนตอ แล้วตอใหญ่ด้วย แต่ตัวเองไม่เห็น ไม่สำคัญว่านั่นคือตอ ชนทีเดียวตายเลย
ผมจึงต้องคอยตรวจสอบและระวังตัวเองให้มาก ไม่ให้สบประมาทใคร ไม่ให้เพ่งโทษใคร ไม่ให้อัตตาครอบงำจนสายตาสั้นหรือตาบอดมองไม่เห็นตอนั้น เพราะทันทีที่ผมพลาด ชีวิตผมก็คงจะล่มจมและฉิบหายด้วยผลแห่งกรรมนั้น ๆ
แม้จนถึงปัจจุบัน ผมก็ยังต้องตรวจจิตตัวเองซ้ำแล้วซ่ำเล่าว่ายังดีอยู่ไหม ยังมีความเห็นที่ถูกตรงสู่การพ้นทุกข์อยู่ไหม หรือมันเบี้ยว มันเอนออก เราตรวจสอบกับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาให้ความเห็นอย่างไร เขายังเห็นว่าเรายังดีอยู่ไหม ก็ต้องตรวจทั้งตนเองและให้ผู้อื่นตรวจ
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วได้ผลที่ถูกตรงนั้นน่ากลัวเหมือนอสรพิษ ที่ว่าน่ากลัวไม่ได้หมายความว่าท่านเหล่านั้นจะมาทำร้ายเรา แต่น่ากลัวเพราะถ้าเราจะพลาดไปคิดพูดทำไม่ดีต่อท่าน นั่นหมายถึงเราได้สร้างความฉิบหายในระดับที่เรียกว่าโดนงูพิษกัดก็ยังน้อยไปให้ชีวิตของเรานั่นเอง