“ปัญญาแห่งธรรม คือรางวัลของนักบำเพ็ญ”
เป็นประโยคที่ได้ยินจากครูบาอาจารย์เมื่อไม่นานมานี้ และเป็นประโยคที่ตรงจริตผมที่สุด
สำหรับผมแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุขนั้นไร้ค่าเมื่อเทียบกับปัญญา ทุกครั้งที่ผมได้รับอะไรมา ผมก็จะสังเกตว่านั้นคืออะไร มีน้ำหนัก มีกำลังเท่าไหร่ จะใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม พวกโลกธรรมนี่รับมาแล้วก็ต้องประมาณการใช้ให้ดี ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นภัยเหมือนกัน แต่ปัญญานั้นต่างกัน เมื่อได้รับมาแล้วมีแต่สุข ทั้งแตกฉานในเรื่องโลกทั้งสว่างไสวในทางธรรม
ผมเองได้รับผลของการทำดีมาโดยลำดับ ในส่วนลาภสักการะทั่วไปผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่จะดีใจเมื่อได้ปัญญาใหม่ ๆ
บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองดีใจเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ การได้ปัญญาเพิ่มขึ้นมา เหมือนกับผมได้อาวุธใหม่ที่เอาไว้จัดการกับกิเลสของตัวเอง และยังสามารถใช้อาวุธนั้นช่วยผู้อื่นได้ด้วย หากว่าเขาต้องการ
ตั้งแต่พิมพ์บทความเผยแพร่ประสบการณ์มาจนวันนี้ คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือตัวผมเองนี่แหละ เพราะยิ่งให้มันยิ่งได้รับ ยิ่งแบ่งปันไปเท่าไหร่มันยิ่งได้มา บางครั้งได้มาเป็นชุดใหญ่ ๆ ยิ่งกว่าถูกหวย จะร้อยล้านพันล้าน…ฯลฯ ก็เอามาแลกปัญญานี้ไม่ได้ มันได้มายากมาก ผมต้องทำดีมากพอมันถึงจะได้
พอได้ปัญญาเพิ่มมามันก็ดีสิ ตัวเองก็ทุกข์น้อยลง แถมยังมีปัญญาในการอธิบายธรรมะให้ละเอียดลึกซึ้งได้มากยิ่งขึ้น มันก็เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น
ผมก็เลยตั้งหน้าตั้งตาจะทำความดีมากยิ่งขึ้น เท่าที่จะมีปัญญาเข้าถึงความดีนั้น ๆ ซึ่งมันก็คงจะพัฒนาไปโดยลำดับละนะ แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อที่จะอยากได้ปัญญาเป็นรางวัลหรอกนะ ที่ทำดีเพราะมีปัญญาเห็นว่าการทำดีมันให้ผลดีมันก็แค่นั้น ส่วนปัญหาแห่งธรรมที่จะได้มานั้นก็คือรางวัลไง ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ได้ทำดีมันก็ดีถมเถแล้ว