วิธีดูว่ามิตรที่มีนั้นกำลังพาเราไปไหน

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “คนที่ประมาทก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว” เช่นกัน หากเราใช้ชีวิตประมาท ไม่รู้ว่าชีวิตกำลังดำเนินไปทางไหน มันก็กำหนดทางตายของเราไปแล้วนั่นเอง

การมีสติในชีวิตประจำวันนั้นไม่เพียงพอที่จะกันนรกอยู่ เพราะหากไม่มีศีลเป็นตัวกำหนดขอบเขตดีชั่วแล้ว สติที่มีนั้น ก็เอาไปทำชั่วได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนประกาศจะแต่งงาน ก็จะมีคนมากมายเข้าไปยินดี อวยพร ฯลฯ เขามีสติตอนอวยพรไหม? ถ้าถามเขา เขาก็คงว่ามีกัน แต่ทำไมถึงพูดให้คนยินดีในทางผิด การมีคู่นี่คือไปนรกชัด ๆ อยู่แล้ว คนเขายังไปยินดีอวยพรกัน

แต่คนมีศีลเขาจะไม่ไปยินดีด้วย เพราะรู้แน่ชัดว่าคนมีคู่กำลังจับมือกันไปนรก มันจะทำใจยินดีได้อย่างไร มันมีอะไรดี? มันไม่เห็นมีอะไรดีให้ไปสรรเสริญเลย มีแต่ความเสื่อมความต่ำ มีแต่ความทุกข์

มิตรที่ยินดีเมื่อเราทำไม่ดี นั่นแหละคือมิตรที่จะผลักดันเราไปนรก ส่วนมิตรที่ไม่ยินดีเมื่อเราทำไม่ดี นั่นแหละคือมิตรที่จะช่วยให้เราพ้นนรก

ถ้าคนที่กำลังจะไปทำชั่ว เช่นไปแต่งงาน มีมิตรชั่วมาก ๆ เขาก็จะเสริมพลังให้กับกิเลส ให้กับความหลง ให้ยินดีในการครองคู่ ให้ยินดีในการสร้างครอบครัว แม้จะมีมิตรดีอยู่ ก็อาจจะสู้พลังของกิเลสไม่ได้ เพราะเจ้าตัวก็อยากได้อยากเสพ แถมมีคนยุยงให้ได้เสพสมใจกัน มันก็ไปกันใหญ่

เรื่องคู่นั้น ผมถือเป็น check point หนึ่งของความเจริญในทางพุทธศาสนา ถ้าใครผ่านได้จะสบายไปหลายขุม(นรก) เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการท่องเที่ยวในนรก ตัดเรื่องคู่ได้ จะมีพลังทำความดีอีกมหาศาล

เวลาผมประเมินคนที่เขาสอนศาสนาทั่วไป ผมก็ใช้ตรงนี้นี่แหละเป็นตัววัด ว่าความเห็นของเขายังยินดีในการมีคู่หรือไม่ยินดี ถ้ายังไม่ผ่านมันจะมีช่องไว้ให้ตัวเองแอบเสพอยู่ มันจะเห็นได้ คนไปศึกษาก็ยังรับรู้ได้ว่าเขายังเห็นว่าการมีคู่นั้นมีข้อดีอยู่ นั่นแสดงว่าเขายังไม่ผ่าน เราก็รู้ว่า อ๋อ ฐานเขายังไม่ถึงตรงนี้