คนชั่วที่คิดว่าตนเองทำดีนี่แหละ ชั่วที่สุด

วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นที่ว่าแบบไหนจะชั่วกว่ากัน คือคนชั่ว กับคนดีที่แอบชั่ว ก็สรุปกันออกมาได้ว่าคนดีที่แอบชั่วนี่แหละร้ายลึกชั่วช้าหนักนาน… เพราะคนชั่วทั่วไปนี่มันพอจะป้องกันได้ง่ายนะ แก้ไขได้ง่าย หรือคนที่รู้ว่าตัวเองชั่วก็สามารถที่จะเจริญได้เช่นกัน

แต่คนชั่วที่คิดว่าตัวเองดีนี่มันไม่มีทางไปเลยนะ มืดแปดด้าน มันจะเมาดีลวง ๆ ที่ตนเองทำอยู่นั่นแหละ แถมยังเอาดีสอดไส้ชั่วไปหลอกกันเองอีก ในวิบาก ๑๑ ประการที่เพ่งโทษพระอริยะมีอยู่ข้อหนึ่งคือ หลงว่าบรรลุธรรม เอาแบบโลก ๆ คือหลงว่าตัวเองดี ตัวเองมีดี ตัวเองกำลังทำดี คือเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด พูด ทำอยู่นั้นดี….ทั้งที่จริงมันชั่ว

แล้วจะแก้ได้ยังไง ก็ต้องอาศัยคำติจากคนดีนี่แหละ เขาติมาเราก็ฟังแล้วนำไปแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาดไป แต่คนที่หลงว่าตนดีนั้นไม่ค่อยจะยอมฟังใครเขาติหรอก ก็ตัวเองคิดว่าตนดีตนถูก แล้วมันจะไปฟังใครอีกละ เขาติมาก็ว่าเขาผิดหมดนั่นแหละ ตัวเองถูกอยู่คนเดียว เพราะตนเองเป็นคนดี ดีไม่ดีไปด่าเขากลับอีก …เอาเข้าไปคนดี(ปลอม ๆ )

คนดีที่ดีแท้จะเห็นความชั่วในตนเองแล้วมุ่งล้างความชั่วนั้นให้หมด และจะเห็นชั่วที่ลึกและละเอียดขึ้นตามกำลังที่มี คือจะเห็นแบบที่คนอื่นไม่เห็น คนอื่นเขาไม่เห็นว่าชั่ว แต่เรารู้ชัด ๆ เลยว่าทำแบบนี้มันชั่ว มันเบียดเบียน มันไม่เป็นประโยชน์ตนเองและผู้อื่น

จะรู้ได้อย่างไร? ก็ตามระดับของศีลนั้นแหละ ถ้าศึกษาศีลตามลำดับจะรู้เองว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้หรอก เพราะเรื่องแบบนี้คิดเอาก็ไม่ได้ ฟังเอาก็ไม่เข้าใจ ทำหน้างง ไอ้ที่เขาพูดมานี่มันชั่วยังไงหนอ…

จึงสรุปว่าคนที่ยังเห็นว่าตนเองชั่วอยู่ ยังผิดพลาด ยังต้องแก้ไขอยู่ ก็ยังดีกว่าคนที่หลงว่าตนเองเป็นคนดี ดึงดันทำแต่ความดีแบบที่ตนเองเข้าใจโดยไม่ฟังคำติของใครเลย

อหิริกมูลกสูตร สู่บทความ ซื้อกิน ฆ่า ค้าขาย เสมอกัน

อหิริกมูลกสูตร

เป็นที่มาของบทความนี้ ผมคิดอยู่นานมากว่าจะพิมพ์เรื่องนี้ดีไหม เพราะถ้าตีความตามพระสูตรนี้ จะเรียกว่าแทบจะกวาดทิ้งคนที่เขาว่าตนเองเป็นคนดีทั้งแผนดินทิ้งเลยทีเดียว

ผมเคยศึกษาธรรมะของหลายสำนักด้วยการอ่านและพิจารณาสาวกของสำนักเหล่านั้นว่ามีลักษณะอย่างไร หลายท่านดูเหมือนจะพยากรตัวเองว่าเป็นพระอริยะกันได้ง่าย ๆ เพียงแค่ผ่านข้อกำหนดบางอย่างที่เจ้าสำนักกำหนดมา ซึ่งถ้าเจอกับ “อหิริกมูลกสูตร” ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านทั้งหลายที่กำลังประมาณตนผิด

พระสูตรนี้ใช้การเทียบหิริต่อหิริ โอตตัปปะต่อโอตตัปปะ ปัญญาต่อปัญญา เป็นตัวเชคว่าเราเจริญจริงไหม เราหลุดพ้นจริงไหม ถ้าเราเจริญจริง เราจะไม่คบค้าสมาคมกับคนที่ผิดศีลแน่ๆ

เป็นพระสูตรที่ไม่ได้เกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์โดยตรง แต่สามารถเอามาเทียบได้กับทุกกิจกรรมในชีวิต

ลึก ๆ แล้วผมก็รู้สึกลำบากใจเหมือนกันที่จะสรุปอย่างในบทความ แต่สัจจะเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น เราก็ต้องน้อมเข้ามาทำใจในใจว่าจริงไหมที่เรายังทำสิ่งที่ไม่สมควรอยู่

ที่หนักกว่าเรื่องการกินเนื้อสัตว์ คือคนที่ยังคบค้าสมาคมกับคนที่เห็นผิด ซึ่งจะไปตรงกับ อนุตตริยสูตร ที่ว่าการพบเห็นที่ผิด คือการได้พบครูบาอาจารย์ที่ผิด ฟังธรรมที่ผิด เป็นของเลว มันเลยทำให้ความเห็นผิดเพี้ยนตามไปด้วย

ปัจจุบันผมเลือกคบคนมาก จะให้ผมไปร่วมกิจกรรม หรือจะเรียกว่าสังฆกรรมอะไรมั่วๆ ผมไม่อยากไป เพราะไม่ต้องการคบคุ้น ไม่ต้องการเสียเวลา แถมยังมีโอกาสทำให้คนเข้าใจผิดว่าเราไปคบหาคนผิดอีก

ในเบื้องต้นผมก็ดูคนด้วยศีลนี่แหละ คัดกันตรงนี้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาความเห็นของเขา ว่าเขาพูดให้คนลดกิเลสหรือพูดให้คนเพิ่มกิเลส แล้วก็ค่อยศึกษาไป ไม่รีบปักใจเชื่อ จนกว่าจะได้ลองทำตามแล้วเกิดผลคือกิเลสลดอย่างที่เขาว่าจริง จึงจะเชื่อ เพราะทำได้จริงนั่นเอง

ซื้อกิน ฆ่า ค้าขาย เสมอกัน