สมการการกิน

เมื่อก่อนก็ยังหลงคิดว่าเนื้อสัตว์นั้นจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เมื่อศึกษาจนมาถึงตอนนี้ก็กลับพบว่ามันไม่ได้จำเป็นเลย

สมัยก่อน : อาหารเพื่อชีวิตที่แข็งแรง = ข้าว + ผัก + เนื้อสัตว์
ตอนนี้ : อาหารเพื่อชีวิตที่แข็งแรง = ข้าว + ผัก + ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ

ผมค้นพบว่า แค่กินถั่วแทนเนื้อสัตว์ ชีวิตก็สามารถดำรงอยู่ได้อย่างผาสุก มีแรง มีกำลังทำงานเป็นปกติ ดังนั้น เนื้อสัตว์จึงเป็นตัวแปรที่ชีวิตไม่จำเป็นต้องใช้

คนไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าไม่กินถั่วและธัญพืช จะอิ่มได้ไม่นาน แรงน้อย แต่ถ้ากินแต่พวกถั่วอบถั่วทอด ถั่วขนมถุง ๆ ทั้งหลายก็อยู่ไม่รอดเหมือนกัน อันนั้นได้คุณค่าน้อย บวกกับพิษจากการผลิตและการปรุงแต่งที่เยอะ โดยค่ารวม ๆ คือมีประโยชน์บ้าง มีโทษปานกลาง แต่ถ้าเป็นพวกถั่วนึ่ง ถั่วต้มนี่จะอิ่มท้องมีกำลังอยู่ได้นาน ยิ่งกินแบบไม่ใส่น้ำตาลยิ่งดี ถั่วที่ดี คือถั่วที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ฯลฯ หรือถั่วท้องถิ่นทั้งหลาย

การเลือกกินถั่วหรือเนื้อสัตว์ในด้านความต้องการโปรตีนของร่างกาย มีเหตุและผลไม่เหมือนกัน การกินถั่วเกษตรกรต้องเสียเหงื่อเสียแรง ส่วนการกินเนื้อสัตว์ สัตว์ต้องกลัว เจ็บปวด และเสียชีวิต และส่งเสริมกิจกรรมที่ผิดศีลไปในตัว ดังนั้นผลที่ได้จึงต่างกัน แม้จะเป็นธาตุโปรตีนเหมือนกัน แต่ผลจะไม่เหมือนกัน กรรม(การกระทำ)ต่างกันวิบากกรรม(ผลของการกระทำ)ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา

การใช้ชีวิตให้แข็งแรงผาสุกอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องศึกษาเหตุที่เกิดสืบเนื่องต่อกันมาและผลที่เกิดจากความแตกต่างของเหตุเหล่านั้น

ปฏิบัติธรรมกับการกิน

ถ้าใครสนใจทดลองดู ก็ลองดูวีดีโออันนี้กันก่อน จะเห็นหมาตัวสุดท้าย อดทนไม่กินเนื้อ น้ำลายยืด

คนก็เหมือนกัน ถ้ายังอยากกินเนื้อสัตว์อยู่ น้ำลายก็ออกเหมือนกัน ลองไปนั่งกินอาหาร เรากินผัก เขากินเนื้อสัตว์ เขาสั่งเนื้อสัตว์แพง ๆ มา อาการจะเป็นอย่างไร มองอยู่นั่น น้ำลายยืด ฯลฯ นี่แหละเขาเรียกกิเลส เรียกว่าอาการของกาม คือความอยากกิน อยากได้ อยากเสพ ทดลองกันดูก็ได้ 7 วัน 1 เดือน 1 ปี 1 ชาติ มีกิเลสอยู่อาการออกทั้งนั้น

ที่กายสังขาร คืออาการทางร่างกายต่าง ๆ ที่ปรากฏเพราะจิตยังสังขารอยู่ สรุปคือกิเลสยังมีอยู่ ไม่งั้นอาการมันไม่เกิดหรอก ของอื่น ๆ ก็เช่นกัน อาการอยากบุหรี่ เหล้า ฯลฯ อาการทั้งหลายที่ปรากฏ อาการหลอกของกิเลสทั้งนั้น มันเกิดจริง แต่มันไม่จริง มันปรุงมันปั้นขึ้นมาจากจิตอวิชชา

(สังขาร 3 ได้แก่ จิตสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร)