การที่เราจะได้เข้าถึง สงฆ์ ในพระพุทธศาสนาได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่ง สงฆ์ ในระดับสูง ๆ ด้วยแล้วยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าชีวิตหนึ่งเกิดมาจะเจอกันได้ง่าย ๆ และไม่ใช่ว่าจะได้เจอทุกคน
ยกตัวอย่างที่เรารู้จักกันคือวันมาฆบูชา วันที่ สงฆ์ 1,250 รูป ซึ่งเป็นพระอรหันต์ มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อีกทั้งยังเป็นภิกษุที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบวชให้ ดังนั้น การที่จะสามารถเข้าถึงงานระดับนี้ได้ จะต้องมี minimum requirement เท่าที่ผมจะพอเข้าใจได้คือ
1.เป็นพระอรหันต์
2.พระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้
3.ต้องมาทันวันงาน
จึงจะมีสิทธิ์ฟังธรรมระดับแก่นของพุทธด้วยตนเอง นี่มันยากขนาดไหนก็ไม่รู้จะจินตนาการหรือเปรียบเทียบยังไง ทำตัวเองให้เป็นพระอรหันต์ที่ว่ายากที่สุดในโลกแล้วยังไม่พอ ต้องได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้าด้วย แถมยังต้องเดินทางมาให้ทันด้วย
ผมเชื่อว่าแต่ละท่านเหล่านั้นอยู่ต่างที่ต่างถิ่นกัน ดังนั้นการจะเดินทางมาให้ถึงพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายนี่มันโคตรจะมหัศจรรย์ ต้องใช้ปัญญาขนาดไหน ต้องประมาณขนาดไหน ต้องมีญาณรับรู้ขนาดไหน อันนั้นก็ยกไว้ให้เป็นเรื่องอจินไตยไปแล้วกัน
การเข้าถึงเนื้อนาบุญนี่มันไม่ได้ง่ายเลยนะ คุณต้องปฏิบัติธรรมให้เจริญ ต้องมีความดีงาม ต้องมีกุศลกรรมเป็นแรงผลักดันเท่าไหร่ถึงจะได้สิ่งที่ดีเยี่ยมยอดที่สุดในโลกเหล่านั้น (การได้ฟังพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก)
ผมเชื่อว่าแม้แต่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า (พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์) นี่ก็ไม่ได้เข้าถึงง่ายสักเท่าไหร่หรอก คือถ้ามีดีไม่มากพอเนี่ย มันเข้าไม่ได้นะ เหมือนมีเงินค่าตั๋วไม่มากพอ ไม่มีเงินซื้อตั๋ว คุณก็เข้าไปชมการแสดงไม่ได้
กุศลไม่พอ ความดีไม่พอ ฟ้ามันจะกั้นไปหมดแหละ ดีไม่ดีเขาส่งให้ไปอยู่กับจุดที่เหมาะ ไปอยู่กับอสัตบุรุษ อยู่กับพระปลอม อยู่กับอลัชชี อยู่กับโจรผ้าเหลือง อยู่กับคนอื่น ๆ ไปตามกรรมตามวาระของคนนั้น ๆ
ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงเนื้อนาบุญ ยังไม่มีสิทธิ์เข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุด เพราะยังทำดีไม่มากพอนั่นเอง
สมัยนี้ดูเหมือนจะมีเนื้อนาบุญเยอะแยะไปหมดตามคำกล่าวอ้าง ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้หรอก คนนั้นคนนี้ก็มีเนื้อนาบุญของเขา ผมก็มีของผม มีนาบุญที่ผมเชื่อว่าลงทุนแล้วต้นธรรมของผมต้องเจริญงอกงามให้ผลเป็นที่น่าพอใจแน่นอน เพราะทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าที่ได้มาก็กินใช้ไม่หมดแล้ว ถ้าจะวัดกันจริง ๆ ก็ต้องตรวจสอบเทียบผล บุคคลต่อบุคคล หมู่กลุ่มต่อหมู่กลุ่ม อาจารย์ต่ออาจารย์ ก็เป็นเรื่องการศึกษาล่ะนะ ไม่ใช่เรื่องการเอาชนะอะไรกัน เพราะศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการศึกษาไปสู่ความเจริญ ดังนั้นเราก็ควรจะศึกษากันไว้บ้าง เพื่อแบ่งปันสิ่งดีแก่กัน ไม่ใช่เพื่อความมุ่งหมายเอาชนะกัน