บางครั้งเราจะได้พบ ได้เห็น ได้ยินได้ฟัง คนเขาพูด เล่า บอก เราก็อาจจะรู้สึกคล้อยตาม หรือเชื่อใจเขาก็เป็นได้ อุปาทานมันจะเริ่มตั้งแต่ตรงนี้ ตั้งแต่มีจิตยินดีนั่นแหละ
คนส่วนมากเมื่อได้เชื่ออะไร แล้วก็จะเริ่มเข้าไปยึดว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ โดยไม่ได้ตรวจสอบไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน เรียกว่าสติกระเจิงไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
การไม่รีบปักใจเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งควรจะตรวจสอบก่อนว่าสิ่งที่เขาเป็นนั้น เป็นจริงตามสิ่งที่เขาพูดหรือไม่
เช่นมีคนบอกว่าหวังดีกับเรา จะช่วยเรา แต่ไปคบหากับคนที่เคยทำร้ายเรา โกงเงินเรา แล้วยังหนีเราไปอีก แล้วก็บอกว่าจะไม่คบกับเพื่อนของเรา ที่เขาก็ยังดีกับเราในปัจจุบัน
…ยกตัวอย่างมาแบบนี้นี่มันจะใช่คนดีจริงหรือ? แต่เขาก็วาทะศิลป์ดีนะ พูดจาโน้มน้าว ยกเหตุผล ดูน่าฟัง ฟังไปก็เออจริง ๆ ไปตามเขา ที่เขาว่ามามันก็ดี มันก็ถูกตามเนื้อหาที่เขายกมา
แต่พอดูองค์ประกอบอื่น ๆ แล้ว กลับไม่เข้ากัน เขาไปคบคนชั่ว คนที่นิสัยขี้โลภ หลอกลวง ตลบแตลง บ้าอำนาจ เขายินดีที่จะคบหาคนแบบนั้นด้วยนะ แล้วพอเรากลับมาตรวจสอบคนดีที่เราคบหามายาวนานและพิสูจน์ด้วยการกระทำที่เสียสละแบ่งปันด้วยใจที่ผาสุกแล้ว คนดีกลับไม่คบหากับคนคนนั้น ไม่ยินดี ไม่ส่งเสริม
คนชั่วคนดีไม่คบ เช่นเดียวกัน คนที่ดีคนชั่วเขาก็ไม่คบเหมือนกัน คนธาตุเดียวกันย่อมไหลไปรวมกัน
เราอาจจะเคยพลาดพลังเสียทีให้กับคนที่บอกว่าตนดี ตนจริงใจ แต่สุดท้ายก็หักหลังเราเหมือนเคย ๆ ซึ่งการไม่รีบปักใจเชื่อแล้ววางใจเพื่อศึกษากันนี่แหละ จะทำให้เราไม่ผิดหวัง ไม่ทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การจะรู้ว่าใครดีจริง ไม่ใช่รู้กันได้ง่าย ในเวลาสั้น ๆ เช่นเดือนสองเดือนนี่ไม่รู้กันหรอก มันต้องคบหาใกล้ชิดรู้จักกันเป็นเวลายาวนานนนนนน ถึงจะพอรู้ แต่กระนั้นก็ยังมีหมายเหตุด้วยว่า คนมีปัญญาจึงรู้ได้ คนไม่มีปัญญาไม่รู้
… ก็จบลงตามเวรตามกรรมกันไปอย่างนี้แหละ