ในระหว่างเรียนค่ายพระไตรปิฎกที่ผ่านมา ก็ได้ยินเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม กล่าวถึงการขอเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้าง ขอเอาหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งบ้าง ฯลฯ
ผมได้ฟังแล้วก็ประทับใจ เมื่อเห็นรอบของศรัทธาที่เจริญขึ้น มีความรักตั้งมั่นและหยั่งลงเป็นสภาพที่นิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหว ไม่ส่ายไปมา ทำให้ผมนึกถึงประโยคในบทสวดที่ว่า “สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” คือ ขอเอาสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
สงฆ์ในความหมายของศาสนาพุทธคือผู้ที่มุ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนเกิดมรรคผลลดจนถึงดับกิเลสได้จริง จะเป็นฆราวาสก็ได้ นักบวชก็ได้
โดยทั่วไปคนก็มักจะไม่ได้เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งหรอก เขาก็เอาผัวเอาเมียเอาลูก ไม่ก็ทรัพย์สินเงินทอง วัตถุข้าวของ เกียรติ ศักดิ์ศรี ฯลฯ เป็นที่พึ่ง แต่คนที่มีศรัทธามากมีปัญญามาก จะรู้เลยว่าเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้ มันไม่มั่นคงไม่แน่นอน แปรเปลี่ยนเป็นเหตุให้ทุกข์ได้เสมอ
เมื่อผมได้ยินว่าเขาเหล่านั้น ตั้งจิตเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้าง ขอเอาหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งบ้าง ฯลฯ ผมก็รู้เลยว่าเขาจะมุ่งไปสู่การพ้นทุกข์ในวันใดก็วันหนึ่งแน่นอน และจะเจริญมากขึ้นตามศรัทธาที่แนบแน่น ทุติยัมปิ(แม้ครั้งที่สอง…) ตะติยัมปิ(แม้ครั้งที่สาม…) แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หวั่นไหวต่อโลก เป็นศรัทธาที่ตั้งมั่น พากเพียรปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนเจริญไปถึงระดับที่ไม่มีวันหวนกลับจะไปเอาสิ่งอื่นใดนอกจากพุทธะ ธรรมะ สังฆะ มาเป็นที่พึ่งทางใจอีกต่อไป