ลาภลอย ภัยมืดที่พาทุกข์พาหลง

การที่คนเราได้ลาภ สักการะ ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ บริวาร ฯลฯ ใด ๆ มาก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามโลกธรรม แต่แม้มันจะเป็นไปอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก

เราย่อมกล่าวถึงลาภสักการะและชื่อเสียงว่า เป็นอันตรายแม้แก่ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ“(ภิกขุสูตร,16/580)

ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภสักการะและชื่อเสียง เกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฯ” (ปักกันตสูตร,16/586)

ที่ยกมานั้นเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องลาภสักการะ แม้เกิดในคนดีที่สุดอย่างพระอรหันต์ก็เป็นภัยได้ แล้วเกิดในคนชั่วที่สุดไฉนจะไม่เกิดภัย

นั่นหมายความว่าลาภสักการะมันเป็นภัยสำหรับทุกคนนั่นแหละ จะดีจะเลวก็เป็นภัย โดยเฉพาะลาภลอย พวกก้อนที่มาใหญ่ ๆ แบบไม่คิดไม่ฝัน ได้มาแบบไม่มีเหตุ แบบงง ๆ ลาภพวกนี้ยิ่งจะทำให้คนประมาท

เหมือนคนถูกหวย เขาได้มาเพราะเขาเชื่อว่าเขาโชคดี แต่ความจริงแล้วเขาก็เบิกบัญชีกุศลกรรมของเขามาเอง แต่ภาพมันออกมาเป็นลาภลอย เขาไม่ต้องพยายาม เขาคิดว่าเขาแค่ใช้ “โชค?” เขาเลยเกิดความประมาทในเรื่องของกรรม ถ้าคนเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับคือสิ่งที่ทำมา เขาจะไม่ประมาท แต่มันไม่ง่ายที่จะเข้าใจแบบนั้น วิบากจะลวงให้หลง ให้ประบาท ให้เข้าใจผิด ให้ไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ดังนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจึงไม่เล่นหวย เพราะมันก็แค่เบิกของที่เคยทำ เอามาใช้เท่านั้นเอง แถมไปเบิกโดยไม่ลงทุน มันก็เท่ากับกรรมดีหมดไปเรื่อย ๆ

เกริ่นมาพอสมควร มาเข้าเรื่องกัน ผมติดตามข่าวช่วยเหลือทีมหมูป่าติดถ้ำมาสักระยะ รู้สึกเห็นใจกับสภาพที่เกิดขึ้น ในส่วนของการช่วยเหลือกันนั้นก็ดี ก็ยกไว้ก่อน แต่ในส่วนที่จะให้ข้อสังเกตคือมันเกิดสภาพของดีที่ล้นทะลัก ดีที่เยอะเกินพอดี ดีที่เกิดโดยไม่มีเหตุอันสมควร

คือลาภสักการะที่ทีมหมูป่าได้ตอนนี้นี่เรียกว่ามหาศาล ได้มายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะขอลองวิจารณ์ว่าหมู่ป่านี่เป็นจำเลยสังคม เมื่อสังคมมันต่ำมันเสื่อม พอมันเกิดเหตุแบบนี้มันก็เกิดภาพที่มันน่าชมคือทุกคนช่วยเหลือกัน คนในสังคมทุกคนเขาก็อยากให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นในชีวิตนั่นแหละ แล้วนี่เป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่มันเกิด เขาก็พยายามทุ่มเทดีลงไป ยัดดีลงไปมหาศาล ยัดไปตั้งแต่ยังไม่เจอทีมหมูป่าเลยด้วยซ้ำ ว่าจะให้อย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าตัวเขายังไม่รู้เรื่องเลยว่าลาภนี้มันมารออยู่ที่ปากถ้ำแล้ว ผมมองว่านี่คือตัวอย่างหนึ่งของสภาพดีที่ล้น

ผมมานั่งระรึกเพิ่ม บ้านไหนเมืองไหนเขาก็ไม่เห็นจะมีเลยที่จะเอื้อเฟื้อผู้ประสบภัยแบบนี้ อย่างดีก็ให้ที่อยู่ให้การรักษาก็เยียวยากันไป แต่จะให้กันจนเรียกว่าผลิกชีวิตกันแบบนี้มันไม่มีนะ

นี่คือสภาพลาภลอยที่ทีมหมูป่ากำลังได้รับอยู่ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่ามันหนักมาก เยอะมาก อันนี้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่ามันเป็นผลกรรมที่เขาควรได้ แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เช่นกัน

ที่น่าเป็นห่วงคือสังคมตอนนี้มีสภาพของการเสพดีอย่างหมกมุ่น ผมขอวิจารณ์เช่นนี้ตรง ๆ จริง ๆ ก็เรียกได้ว่ารอมานานกว่ากระแสมันจะลงบ้าง คลื่นกิเลสนี่มันไม่ธรรมดานะ จะไปแตะไม่ได้ ความติดดีคนมีมากนี่แตะไม่ได้ คิดต่างไม่ได้เลย มันจะทะเลาะกันไปหมด จะอวยมันก็ยิ่งจะลอย มันจะฟูไปกันใหญ่ อัตตามันก็โตขึ้นอีก เป็นสถานการณ์ที่ได้แต่ดูเงียบ ๆ ไป

ส่วนตัวผมนี่เข้าใจมาก ๆ เลยเวลาลาภเยอะ ๆ แล้วมันเลี่ยงไม่ออกนี่มันทุกข์ยังไง คือมันมากเกินความจำเป็น เราไม่อยากได้ มันเป็นภาระ มันหนัก นี่ขนาดไม่อยากได้ลาภนั้นยังทุกข์ยังลำบากเลย

แล้วเกิดคนอยากได้ลาภลอยนี่มันยิ่งไปกันใหญ่ คือลาภลอยมาแล้วอยากได้ เข้าไปคว้า มันก็จะพาหลงเลยทีนี้ มันจะพลาดเสียคนกันก็ตรงนี้นี่แหละ (คือได้ลาภ แต่ไม่รู้เหตุเกิดของลาภ คือได้สิ่งดี แต่ไม่รู้ว่าทำดีอะไรถึงได้ลาภนี้ อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ว่าสิ่งที่ทำหรือเคยทำนั้นเป็นเหตุ)

ตอนนี้มีกระแสคืนความปกติสุขให้ทีมหมูป่า คือให้เขากลับเป็นเด็กธรรมดาตามวิถีของเขา ซึ่งตามแนวคิดผมก็เห็นด้วยนั่นแหละ แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นไปได้ยาก กระแสมันติดลมบนไปแล้ว นี่ขนาดช่วยออกมาได้แล้วยังมีข่าวทุกวัน มันจะเสพอะไรกันนักกันหนา ช่วยออกมาแล้วก็จบแล้วนี่ แต่คนเขาไม่จบไง เหมือนดูละครก็ไม่อยากให้จบ วนเสพสุขอยู่นั่นแหละ เสพดีที่จบไปแล้ว มันดีก็จริงที่คนช่วยกันแต่มันก็จบไปแล้วไง

ผมมองว่าตอนนี้สังคมกำลังกระหายความดีอยู่ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเกิดดีที่ไม่ประมาณ ล้นทะลักเกินอย่างเห็นได้ชัด ความซวยจึงตกอยู่ที่จำเลยสังคมอย่างทีมหมูป่า

ติดถ้ำก็ว่าซวยแล้ว ติดโลกธรรมนี่ซวยกว่าติดถ้ำอีกนะ…

กาฝากโลกธรรม

ประเด็นการโหนคนดีเพื่อล่าลาภยศสรรเสริญสุขนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เคสคลาสสิกที่สุดคือพระเทวทัตที่บวชมาเพื่อแข่งดีเอาชนะพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากการสร้างสำนักใหม่ ใช้การกลืนกินจากภายใน ห่มผ้าเหลือง ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า สุดท้ายก็เสนอเงื่อนไขแข่งดีเอาชนะพระพุทธเจ้า

จนมีภิกษุผู้หลงผิดหลายรูปตามพระเทวทัตไปด้วย ลำบากพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไปตามกลับ สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ …พระเทวทัตใช้การเกาะพระพุทธเจ้าดัง เพราะว่ามันง่าย มาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า จะพูดอะไรคนเขาก็ชอบ เขาก็ศรัทธา ถ้าไม่ใช่ปัญญาระดับพระพุทธเจ้าหรือระดับอริยสาวก ไม่มีทางรู้หรอกว่าพระเทวทัตชั่วอย่างไร ปุถุชนก็หลงตามพระเทวทัตกันได้ทั้งนั้น เพราะพระเทวทัตพูดแต่สิ่งที่ดี!

เช่นเดียวกันในสมัยนี้ มีนักบวชที่บวชเพื่อแสวงหาลาภสักการะ ใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าหาโลกธรรม มันก็ทำได้ เพราะชาวไทยส่วนใหญ่ศรัทธาพระพุทธเจ้า พอห่มผ้าเหลืองปุ๊ป พอพูดตามพระพุทธเจ้าปั๊ปเขาก็ศรัทธา หลงว่านักบวชนั้นเป็นของจริง ก็แห่ไปเคารพบูชาโดยไม่ตรวจสอบ ไปหลงเคารพศรัทธาเพียงเพราะเขาพูดเรื่อง&พูดตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ในอดีตเราก็มีบทเรียนกันมาตั้งหลายครั้งว่า นักบวชที่อาศัยผ้าเหลืองหาโลกธรรมก็มีเยอะ สุดท้ายก็ความแตก จับได้สึกไป ยังเสนอหน้าในสังคมก็มี ไอ้ที่เขาจับได้แต่ยังหน้าด้านอยู่ก็มี

นับประสาอะไรกับฆราวาสที่ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้ามาหากิน เอามาสร้างสำนักแสวงหาโลกธรรมให้ตัวเอง ให้ได้ลาภสักการะบริวาร มันมีมากมายอยู่แล้ว ความจริงมันยังไม่เปิดเผยว่าชั่ว คนก็ดูกันไม่ออก ก็แอบเสพกันไป สะสมความชั่วกันไป วันหนึ่งคนเขาจับได้ก็พังกันไป แถกันไป หน้าด้านอยู่กันไป

เช่นเดียวกันกับการเอาความดีของคนอื่นไปหากิน ไม่ต้องถึงระดับพระพุทธเจ้าหรอก เอาแค่ระดับครูบาอาจารย์หรือคนดีที่น่าเคารพบูชาทั้งหลายในสังคม ก็มักจะโดนพวกกาฝากโลกธรรมเข้ามาหาผลประโยชน์ มีทุกกลุ่มคนดีนั่นแหละ ไปตรวจสอบกันดูได้ พวกที่เข้ามาเพื่อมาเอาคุณความดีบางอย่าง บ้างก็แอบเกาะกินไปอย่างนั้น บ้างก็อยากดังเองก็แยกวงออกไป สร้างสำนักของตัวเอง

ก็ดู ๆ กันไป ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ไปหลงชื่นชนคนพาลนี่ฉิบหายยาวเลยนะ ผูกภพผูกชาติไปกับเขาอีกนานเลย ส่วนตัวผมถ้าไม่แน่ใจว่าใครดีจริง ผมไม่รีบตัดสินใจตามนะ มันต้องคบคุ้น ใช้เวลาศึกษากันนาน ๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าคนนี้แหละของจริง ผมถึงจะตาม

ไอ้ที่แบบทำดีเอาหน้าล่าโลกธรรมผมก็เห็นมาเยอะ สมัยศึกษาธรรมะแรก ๆ นี่เรียกว่าเมาเลย โอ้โห มีแต่คนดี คนเก่งเต็มไปหมด แต่พอศึกษาไปทำไมมันเริ่มเห็นความชั่ว อ้าวคนนั้นก็ดีไม่แท้ คนโน้นก็ดีไม่แท้ มีแต่ของปลอมทั้งนั้น เอาธรรมะมาหากิน เอามาหาลาภสักการะบริวารทั้งนั้น ดีนะที่ผมไม่หลงตามคนพวกนี้ไปเพียงเพราะเขาพูดธรรมะและสรรเสริญพระพุทธเจ้า …หลงตามพวกกาฝากศาสนาไปนี่ฉิบหายเลย

ช่วงเวลาพิเศษ

ผมสังเกตปรากฏการณ์บางอย่างมาตั้งแต่กลางเดือนก่อน คือความชั่วจะพังไว ความดีจะทวีคูณ ความจริงจะเปิดเผย

ตั้งแต่กรณีเสื้อสีดำ ที่มีการฉวยขึ้นราคากันจนเกินงาม แต่ไม่นานนักก็มีคนมาแจกกันเต็มบ้านเต็มเมือง จนถึงนำมาขายกันราคาถูกๆ คนเก็งกำไรก็คงจะขาดทุนกันไปไม่มากก็น้อย

ส่วนความดีก็อย่างที่เห็น ชัด ๆ ก็ในสนามหลวง มีหลายคนสละเวลาแรงงานทุนทรัพย์ลดตัวลดตนมาทำดี และผมเชื่อว่าหลายคนก็คงไม่คิดว่าตนเองจะสามารถมีแรงทำดีได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่มีโอกาสเช่นนี้

หรือความจริงที่พูดกันว่ารักนักรักหนา แต่กลับนอนเฉย ๆ ไม่ทำประโยชน์อะไรให้กับตนเองและสังคมให้สมกับที่พูดว่ารักเลย

หรือแม้แต่สำนักของผู้ที่เรียกตัวเองว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ตอนเขามาร่วมบุญใหญ่กัน มาเปิดโรงบุญโรงทาน แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาสำนักเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่ประเมินจากองค์ประกอบแล้วถึงจะมาเปิดโรงทานกันทั้งปีก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร….ตกลงปฏิบัติธรรมไปแล้วมันใจดำกว่าชาวบ้านที่เขาขนข้าวของมาแจกกัน นี่มันปฏิบัติกันไปทางไหนละนั่น…(ให้นึกถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นตัวชี้วัดแล้วกัน)

ในช่วงนี้เราจะได้เห็นว่าอะไรจริง อะไรปลอม อะไรเป็นแค่น้ำลาย อะไรเป็นแค่การสร้างภาพ อะไรที่เป็นการแสวงหาผลประโยชน์

….แน่นอนว่าวันใดวันหนึ่งความไม่แท้จะต้องถูกเปิดเผย เพราะของไม่แท้มันก็ไม่ทน เดี๋ยววันหนึ่งก็เห็นผลว่าไม่ใช่ของดีจริง

เช่นเดียวกับตัวเรา เราแท้หรือเราไม่แท้ ดู ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้ เทียบกับคนที่เขาทุ่มเทดูก็ได้ มันก็วัดกันตรงนั้นได้แบบหยาบ ๆ แต่ข้างในจริง ๆ นั้นเป็นตัววัด คือพอเพียงได้จริงหรือเปล่า “มีความโลภน้อย” ได้จริงรึเปล่า ก็ตั้งจิตกันให้ดี ๆ เพราะถ้าชั่วมันจะเสื่อมหนัก แต่ถ้าดีมันจะเจริญไว

สถานการณ์นี้เป็นช่วงที่ชี้ให้เห็นได้ง่ายว่า ตนเองมีความเห็นความเข้าใจ(ทิฏฐิ) ไปทางไหน เป็นสัมมาหรือมิจฉา เพราะช่วงที่มีการทำดีกันมาก ๆ นี่แหละ จะคัดดี คัดชั่วได้ดีทีเดียว ก็ดูกันต่อไปยาว ๆ….

อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในความดี

บทความนี้จะพามาไขความลับของนรกคนดี ทำไมคนดีจึงอยู่ไม่เป็นสุข กินมังสวิรัติได้ดีแล้วชีวิตน่าจะมีความสุข อายุยืน เจ็บป่วยน้อย แต่ทำไมชีวิตของเรายังไม่สุขเสียที เห็นคนนั้นคนนี้กินเนื้อสัตว์ก็ยังรู้สึกทุกข์ใจขุ่นใจอยู่เรื่อย อยากให้เกิดดีดังใจหมาย อยากให้ทุกคนหันมากินมังสวิรัติ อยากให้คนอื่นได้เลิกเบียดเบียน พอเขาทำไม่ได้ก็ทุกข์ใจ

นี่แหละคือพลังของอัตตาที่จะมาทำลายความสุขของเรา ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องอัตตาไว้บ้างก็ยากที่จะพบกับความสุขแท้ เพราะอัตตานั้นเป็นกิเลสที่ละเอียด รู้ได้ยาก ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ชื่อแห่งความดี ความติดดี ติดสุข จนเราไม่สามารถที่จะล้างอัตตาได้ จนต้องทนทุกข์ไปอีกหลายต่อหลายชาติ นานตราบเท่าที่จะยินดีแบบอัตตานั้นไว้

อ่านต่อได้ที่บทความ : อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในความดี กรณีศึกษามังสวิรัติ ภาวะเมื่อผ่านพ้นจากความอยากกินเนื้อสัตว์
อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในความดี กรณีศึกษามังสวิรัติ ภาวะเมื่อผ่านพ้นจากความอยากกินเนื้อสัตว์

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat