กินฉี่ตัวเอง…ดีจริงหรือ?

ล่าสุดได้อ่านข้อมูลที่เพจทางการแพทย์นำเสนอมา ก็มีข้อมูลทั่วไปที่ยกมาเพื่อให้น้ำหนักว่าการกินฉี่ หรือใช้น้ำปัสสาวะนั้นเป็นโทษอย่างไร

ซึ่งก็ยกมาตามเหตุผลและความรู้ที่ท่านเหล่านั้นได้ศึกษามา โดยเนื้อหาทั้งหมดสรุปลงตรงที่ว่า “การดื่มน้ำปัสสาวะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี” คล้าย ๆ กับคำประกาศิต แต่จริง ๆ ก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นเท่านั้น ยังไม่ได้มีผลงานวิจัยอะไรออกมาชัดเจนว่าการดื่มน้ำปัสสาวะหรือการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรค มีผลเสียเช่นไร? เท่าไหร่? อย่างไร? เป็นเพียงสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นจากการรวบรวมข้อมูล แต่ไม่ได้นำเสนอผลงานวิจัย ใด ๆ ขึ้นมาอ้างอิงข้อสรุปนั้น ๆ

ซึ่งค้านแย้งกับความจริง ที่มีคนตัวเป็น ๆ จริง ที่ได้ทดลองใช้น้ำปัสสาวะบำบัดจริง ๆ ไม่ใช่เพียงคิดเอา นึกเอา สมมุติเอา จินตนาการเอา จับแพะชนแกะเอา คือเอาตัวเองนี่แหละ มาเป็นหนูลองยาเลย

แล้วผลมันเป็นอย่างไร? ผลของคนที่ใช้น้ำปัสสาวะจำนวนมากนั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จนถึงขั้นหายจากโรคหรือความเจ็บป่วยนั้น ๆ โดยใช้น้ำปัสสาวะบำบัดร่วมกับหลักการรักษาสุขภาพแบบปรับสมดุลร่างกายด้วยหลักวิธียา 9 เม็ด (แพทย์วิถีธรรม) หรือหลักการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมอื่น ๆ

จนถึงขั้นมีการเก็บรวบรวมข้อมูล มานำเสนอได้ว่า “ผู้ใช้” น้ำปัสสาวะรักษาโรคมีผลอย่างไร ซึ่งผลของการเก็บข้อมูลวิจัยชิ้นนี้สรุปได้ว่า ผู้ใชน้ำปัสสาวะส่วนใหญ่ ยินดีพอใจในผล และมีสุขภาพร่างกาย , บาดแผล , ฯลฯ ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คือ การใช้น้ำปัสสาวะบำบัดเป็นประโยชน์ต่อตัวเขานั่นเอง

ทีนี้เวลาเราจะศึกษาเรื่องใด ๆ มันก็ควรจะต้องศึกษาจาก “ผู้ใช้” หรือ “กลุ่มตัวอย่าง” ซึ่งในเรื่องของปัสสาวะบำบัดนี้ ก็ต้องเก็บข้อมูลจากผู้ที่ได้ทดลองใช้น้ำปัสสาวะบำบัด จึงจะได้ข้อมูลที่ถ้วนเรา ไม่ใช่ว่าเอาข้อมูลต่าง ๆ มาประติดประต่อแล้วสรุปความได้ อันนั้นเรียกสมมุติฐาน เช่นว่า ฉันได้ยินว่าน้ำปัสสาวะ มีสารนั้นสารนี้ ในเหตุกาณ์ไม่ดีมีน้ำปัสสาวะเป็นเหตุร่วมด้วยเช่นนี้ ส่องกล้องดูแล้วมีเชื้อโรคแบบนั้นแบบนี้ ฉันจึงสรุปว่าน้ำปัสสาวะมีโทษ อันนี้เป็นการคาดเดา ไม่ใช่ข้อสรุป ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

เพราะมันมีข้อมูลอีกฝั่งที่เขานำเสนอขั้วตรงข้ามเลย คือใช้น้ำปัสสาวะแล้วมีกำลัง ดื่มแล้วมีแรง สดชื่น หายโรค เอามารักษาแผล แผลก็หายไว พอมีความเห็นต่าง มันก็ต้องพิสูจน์ ทีนี้ทางผู้ใช้เขาก็พิสูจน์จบไปแล้วไง เขาก็เอาตัวมาทดลองกันหลายพันหลายหมื่น ก็ได้ผลดี ใครจะสนใจจะมาวิจัยก็ติดต่อใช้กลุ่มตัวอย่างนี้ได้ เพราะจากที่ดู ๆ แล้วหลายคนก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลกัน ไม่ได้ปิดบังหรือเขินอายอะไร แม้มันจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะน่ารังเกียจในสังคมก็ตามที

นั่นเพราะเขาข้ามอุปาทานของปัสสาวะไปแล้ว มองเห็นคุณและโทษของปัสสาวะตามจริง ตามความเป็นจริง คือมันใช้แล้วหายโรค เขาก็เอาชีวิตของเขาที่ใช้อยู่ ดำรงอยู่นี่เป็นตัวรับประกัน ว่ามันจริงนะ มันดีนะ

ทีนี้คนไม่ใช้ก็ไม่รู้ คนไม่มีความรู้ก็ไม่ใช้ ยังไงมันก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก เรื่องนี้ผมเห็นว่ายังไงก็สรุปไม่ลง ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ได้แต่ให้ความเห็นกันไปกันมา คนว่าดีก็ใช้ไป คนว่าไม่ดีก็ไม่ใช้ มันก็เรื่องของใครของใครที่จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับตนตามความรู้ที่ตนมี รู้ผิดก็ไม่หายทุกข์ ไม่หายโรค รู้ถูกก็หายทุกข์ หายโรค ก็เก็บข้อมูลวิจัยด้วยความจริงในชีวิตกันไปว่าแบบไหนมันพ้นทุกข์

งานวิจัยน้ำปัสสาวะรักษาโรค

ช่วงนี้สังคมก็จะค่อนข้างร้อนแรงเรื่องการใช้น้ำปัสสาวะ ไม่น่าเชื่อว่ายาดีที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษขนาดนี้ จะได้รับความสนใจและตรวจสอบกันในสังคมเป็นวงกว้าง ถึงขนาดหลายต่อหลายรายการได้เชิญ อาจารย์หมอเขียว และจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมผู้มีประสบการณ์ในด้านการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดโรคไปออกรายการ

เมื่อสังคมสงสัยเรื่องน้ำปัสสาวะ

น้ำปัสสาวะโดยทั่วไปแล้ว เราจะมองว่าเป็นของเสีย เมื่อคนที่ไม่มีความรู้ ได้กระทบกับความรู้ใหม่ ก็จะเกิดความสงสัย เกิดคำถาม หรือแม้แต่เกิดข้อสรุปตามที่ตนได้คิดไปว่าน้ำปัสสาวะ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แม้ว่าเสียงส่วนมากในสังคมจะค่อนข้าง อี๋ ๆ (คือไม่เอานั่นแหละ) แต่ถึงกระนั้น สังคมก็ยังให้ความสนใจในประเด็นเรื่องการรักษาโรคด้วยน้ำปัสสาวะเหล่านี้ หลักฐานก็คือ มันเป็นข่าวมาหลายวันแล้ว และยังเพิ่มดีกรีการขยี้เข้าไปอีก คือในวันนี้ก็มีรายการสดด้วย เรียกว่าร้อนแรงเลยทีเดียว ผมยังไม่ได้ดูเพราะอินเตอร์เน็ตไม่อำนวย แต่จากที่ได้ฟังสหายสรุปมา ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก

เมื่อน้ำปัสสาวะบำบัดไม่ใช่ความเชื่อส่วนบุคคุล

ในความเป็นจริงแล้ว การใช้น้ำปัสสาวะก็ไม่ใช่เรื่องที่เดือดร้อนใคร และมีผลดี คือใช้แล้วรักษาโรคได้ดี มีผู้ทดลองจำนวนมาก มีหลักฐานในพระไตรปิฎกอ้างอิงไว้ พระพุทธเจ้าท่านให้ใช้น้ำมูตรเน่าเป็นยา เมื่อภิกษุถามว่าต้องรับประเคนไหม ท่านก็บอกว่าไม่ต้อง นั่นหมายถึงก็ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองนั่นแหละ รักษาโรคได้เลย ไม่ต้องใช้ของคนอื่นหรือมีขั้นตอนอะไรให้ลำบาก แต่เมื่อมีคนใช้น้ำปัสสาวะเข้ามาก ๆ จนเป็นกลุ่มใหญ่ มีความเห็นต่างที่ไปกระทบคนอีกกลุ่ม ก็เลยมีกระทู้คำถามขึ้นมา จนกระทั่งตอนนี้ น้ำปัสสาวะรักษาโรคกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไปแล้ว

งานวิจัยน้ำปัสสาวะรักษาโรคอยู่ไหน?

ในประเด็นของงานวิจัย เป็นเรื่องที่ถามถึงกันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงแค่เรากดค้นหาในกูเกิ้ล เราก็จะเจองานวิจัยที่ถูกเผยแพร่อยู่บ้าง นั่นคือจริง  ๆ มันมีงานวิจัยอยู่แล้ว แต่ขนาดหรือลักษณะงานวิจัยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สรุปคือมันมีงานวิจัยนั่นแหละ แต่เขาไม่แสวงหากันไง ชาวสมาชิกผู้ใช้น้ำปัสสาวะนั่นแหละคือความจริง แต่ละคนก็เป็นตัวอย่างของงานวิจัย เป็นผลที่ได้จากการวิจัย กินจริง ทาจริง หยอดจริง ฯลฯ แล้วก็หายโรคด้วยน้ำปัสสาวะบำบัดกันจริง ๆ เพราะมันมีมวลไง มีข้อมูล มีผล แต่ทีนี้การรวบรวมข้อมูลของการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดแล้วมาเผยแพร่นี่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำค่อนข้างยาก

งานวิจัยปัสสาวะบำบัดของแพทย์วิถีธรรม

ล่าสุดแพทย์วิถีธรรมก็มีผลงานวิจัยออกมา ซึ่งรองรับโดยสถาบันวิชชาราม บอกกันตรง ๆ ก็สถาบันในเครือข่ายแพทย์วิถีธรรมนั่นแหละ แต่ถูกกฏหมายนะ มีองค์กรรัฐรับรองถูกต้อง

งานวิจัยชิ้นนี้ก็มีขอบเขตในเชิงสำรวจ ในมุมที่ผมเคยทำวิจัยมาบ้าง ก็จะให้ความเห็นว่า มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของงานวิจัยเชิงสถิติหรือเชิงคุณภาพที่มากขึ้นต่อไป แต่ข้อมูลการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดที่เขาเก็บได้เบื้องต้นนี่แหละ มันก็เป็นประโยชน์แล้ว คนที่เห็นด้วยก็เอาไปทดลอง คนที่ไม่เห็นด้วยก็ประเด็นไปศึกษาค้นคว้าต่อได้ ไปสร้างงานวิจัยเลยว่าดื่มน้ำปัสสาวะแล้วเป็นโทษอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ดื่มแล้วอ้วกพุ่งนี่ไม่ไหวนะ มันต้องเพิ่มปัจจัยในหมวดความชังเข้าไปด้วย ถ้าชัง เกลียด ขนาด ไม่ชอบ นี่กินยังไงก็ไม่รอด ไม่ลงคอ แต่ถ้าไม่รักไม่ชังมัน ก็พอวัดผลได้บ้าง

เอาจริง ๆ สำหรับความเห็นผมนะ งานวิจัยส่วนใหญ่ก็ error ทั้งนั้นแหละ เพราะมันมีกิเลสเป็นตัวแปร กิเลสมี 16 อาการ ทำให้ผลงานวิจัยมัน error มันได้ผลออกมาก็จริง แต่มันไม่มีทางพ้น bias หรืออคติลำเอียงไปได้เลย อย่างเก่งก็ได้แค่ค่ารวม ๆ ความเห็นส่วนใหญ่ มีนัยสำคัญ ฯลฯ แล้วยังไง แล้วมันพ้นทุกข์ไหม

ความพ้นทุกข์นี่มันสำคัญกว่าผลวิจัยนะ ผลวิจัยมัน error ได้ แต่ความพ้นทุกข์นี่มันพ้นแล้วพ้นเลย มันสุขว่างเบาสบาย … แหม่ มันก็ดันออกไปนอกเรื่องไปหน่อย จะเข้าธรรมะทุกที เอาเป็นว่าโดยสรุปสำหรับผมก็เป็นเรื่องนานาจิตตัง ใครใช้ดีก็ใช้ไป ใครกินแล้วอ้วกออก มันทรมานก็ไม่ต้องใช้ บางคนมีวิบากกรรมต้องใช้ยาแพง ๆ วิธีแพง ๆ ยาที่เป็นพิษ มีผลทางลบต่อร่างกาย อะไรอย่างนั้น

โดยส่วนตัวแล้วหากว่าผมมีอาการไม่สบายแล้วคิดจะรักษา น้ำปัสสาวะ จะเป็นตัวเลือกต้น ๆ ในการรักษาอาการนั้น ถามว่าทำไมถึงเลือกใช้น้ำปัสสาวะบำบัดเป็นอันดับแรก ๆ นั่นก็เพราะมันหาได้ง่ายและไม่มีโทษยังไงล่ะ เรามีของดี แถมฟรี ไม่ต้องวิ่งหา ก็ใช้ไปก่อน ถ้ามันไม่ได้ผลยังไงก็ค่อยไปจ่ายเงินซื้อยาตามที่โลกเขาว่าดีก็ได้ เราก็ใช้ได้หมดนั่นแหละ ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่มันก็มีลำดับความสำคัญในความสำคัญอยู่ ก็เลือกกันไปตามที่ควร ที่ได้ผลจริง

สุดท้ายนี้ก็ฝากงานวิจัยของสถาบันวิชชารามไว้ เพราะผมเห็นว่าเขาตั้งใจทำกันจริง ๆ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าจิตใจที่ตั้งใจเกื้อกูลผองชนหรอกผมว่า ส่วนจะผิดจะุถูกก็ทดลองกันไป นำเสนอกันไป แล้วก็วางความยึดดีทิ้งไป คิดไม่ตรงกันก็วางแล้วแยกกันไปตามวิบากกรรม ไม่ต้องวิวาท ไม่ต้องทะเลาะกัน สบายดี จบ.

งานวิจัยน้ำปัสสาวะ