การที่เราจะตัดสินใจช่วย แนะนำสิ่งใด ๆ ถ้ามันไม่เต็มรอบของมัน มันไม่สำเร็จหรอก บางทีพูดไปก็เสียของ ดีไม่ดี ตีความผิด หูเพี้ยน พาลจะบาดหมางกันอีกด้วย
วันนี้นั่งแท็กซี่เข้าบ้าน เพราะขนของเยอะ พอขึ้นไปคนขับเขาก็ทักว่าไปนั่งสมาธิมาหรอ? เราก็ตอบว่าไปเรียนพระไตรปิฎกมา เขาก็สนใจ
ก็คุยกันประเด็นเกี่ยวกับว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ก็ตอบตามที่เขาถาม แนะนำในประเด็นที่เขาสนใจ รู้สึกว่ามันลื่น ไปได้สวย พอเขาไม่ถามก็สงบตามปกติของเราไป ไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะพูดอะไร
แต่ก่อนก็เคยคิดอยู่ว่าพูดมันก็ดี แต่จริง ๆ มันต้องดูจังหวะให้ออก ไม่ใช่ว่าเข้าใจว่าตัวเองมีของดีแล้วปล่อยหมด มันก็ต้องประมาณหน่อย
แต่ก่อนก็เคยเจอแต่แท็กซี่ เอาแต่พูด ไม่ฟัง แต่คนนี้เขาฟัง ก็เลยไปได้ดี สุดท้ายพอถึงบ้านก็เอาเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับการจัดค่ายให้เขา เสนอไปแล้วเขาดูสนใจน่ะนะ สรุปครั้งนี้ก็เป็นการแบ่งปันโดยไม่ได้มีการยัดเยียดใดใดเลย ก็เลยเป็นสุขเบา ๆ ต้อนรับเช้าวันใหม่
…เวลาที่จะให้ข้อมูล ผมไม่ได้ประเมินจากแค่ที่เขาถาม แต่ประเมินจากสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาเป็นด้วย พี่แท็กซี่คนนี้เขาเป็นคนตั้งใจทำดี เขาแขวนบัตรประชาชนจิตอาสาไว้หน้ารถ และเล่าเรื่องออกมาด้วยความยินดีในการเสียสละของเขา ผมก็ประเมินข้อมูลแล้วมันก็น่าจะพอได้ ก็เห็นพี่เขาใฝ่ดี ก็เลยลองบอก และแนะนำได้มากขึ้น
เขาก็ทำดีของเขามาเป็นทุน เราก็มีความรู้ที่เราศึกษามาพอที่จะให้ พอรอบมันลงตัว มันก็ไปด้วยกันได้ดี แต่ถ้ารอบไม่ถึงแล้วฝืนไปนะ จากประสบการณ์มีแต่บาดหมาง เหินห่าง ก็คงจะอย่างที่อาจารย์หมอเขียวสอนในค่ายล่าสุด
ยอมให้เขาห่างเรา x เมตร ดีกว่า พูดไปแล้ว แนะนำไปแล้ว บอกไปแล้ว เขาห่างเราไปอีก x+y+z+… เมตร สรุปก็นิ่งไว้เป็นหลักนั่นแหละนะ ดูให้ดี บางทีวิบากก็หลอกเราเหมือนกัน ให้เราประเมินผิดว่าเขาน่าจะเข้าใจ แต่จริง ๆ เขาไม่สามารถเข้าใจได้
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรไป มันก็ต้องดูความเจริญว่าเต็มรอบหรือยัง ทำกุศลมาดีไหม ศรัทธากันมากพอไหม มีศีลไหม มันก็ต้องดูกันดี ๆ เพราะถ้าพลาดแล้ว นอกจากช่วยไม่ได้ ยังได้ศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
ไม่สนุกเลยล่ะ…