ขึ้นอยู่กับวิธีใช้…

ผมสงสัยมานาน เวลาเห็นคนเขาตัดกระถิน ตัดกิ่งไม้แถวบ้าน เขาก็ใช้มีดตัดอ้อยธรรมดา ๆ นั่นแหละ ตัดทีเดียวขาด แต่ผมลองใช้ที่ผมมี ก็ตัดไม่ขาดแบบเขา ก็เลยไปหาซื้อมาเพิ่ม หนักบ้าง แพงบ้าง สุดท้ายก็ไม่ได้ดีขึ้น

ช่วงนี้มีโอกาสได้ลองใช้มีดตัดอ้อยของชาวบ้าน ก็พบว่า ปัญหามันไม่ใช่มีด ปัญหาคือวิธีใช้ของผมเอง มันมีจังหวะ มีน้ำหนัก การฟันที่ยังไม่เหมาะ ยังไม่ถูกหลักที่จะตัดให้ได้ตามเขา ผมก็เลยเอามีดเขาไปลองฝึกฟันจนเริ่มเข้าใจ ว่าอ๋อ มันเป็นแบบนี้ มันต้องใช้จังหวะแบบนี้

…จริง ๆ ธรรมะก็คล้าย ๆ กันนะ ผมก็เคยเห็นคนที่เขาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าบ้าง ของครูบาอาจารย์บ้าง เอามาใช้ แต่มันก็ทื่อ ๆ ไง คือฟังแล้วแข็งมาก พอเข้าใจเรื่องมีดตัดอ้อยมันก็เข้าใจขึ้น คือเขาจำ ๆ มาใช้ เขาหยิบมาใช้เลย เขาไม่รู้วิธี ไม่รู้จังหวะ ไม่รู้กระบวนการ

เหมือนกับครูบาอาจารย์ท่านใช้ขวานเหล็ก แล้วก็วางไว้ ทีนี้ลูกศิษย์ก็ไปหยิบมาใช้ แต่ลูกศิษย์นี่เหมือนเด็กอนุบาล แล้วไปหยิบขวานของผู้ใหญ่มาใช้ คือมันก็ใช้ได้ไปตามที่มันเป็นละนะ หรือจะเรียกว่าได้ใช้ก็ว่าได้ แต่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลมันไม่เท่ากัน คือภาพมันก็ทุลักทุเล แข็ง ไม่คม ผลคือตัดไม่ได้ ดีไม่ดีสับเอาขาตัวเองเข้าไปอีก

ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยได้เอาของครูบาอาจารย์มาใช้สักเท่าไรนัก จะปรุงใหม่มากกว่า เปรียบเช่น ถ้าท่านใช้ขวาน ผมก็ศึกษาแล้วเอามาตีขวานเล็กของผมเอง เอาให้มันสมฐานะ ให้สมแรง ไม่เกินแรง ถ้าเกินแรงมันฟาดไม่ไหว แถมมันไม่ใช่ธรรมที่เรามีในตนด้วย ไอ้การจะพูดสิ่งที่จำ ๆ มานี่บางทีมันก็เสี่ยงเข้าตัวเหมือนกัน จะพูดต้องตั้งสติและอ้างอิงด้วย ไม่งั้นพูดสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ได้แต่จำมา คนเขาเห็นท่า จะเหมือนเด็กอนุบาลถือขวานใหญ่เอา สภาพมันก็คงดูน่าเมตตามากกว่าน่าศรัทธานะ

ผมเชื่อว่ายุคนี้ต้องประมาณมาก มันไม่ mass ขนาดที่ว่าเอาธรรมะชุดหนึ่ง ประโยคหนึ่ง คำหนึ่งปล่อยออกไปแล้วมันจะได้ผลหรอก มันก็ได้ผลระดับหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่แม่นเท่าธรรมที่ประมาณแล้วได้แสดงออกไป

ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า ถ้าผมฝึกประมาณธรรมไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติธรรมมากยิ่งขึ้นเหมือนการฝึกใช้มีดตัดอ้อยนั่นเอง

ลาภลอย ภัยมืดที่พาทุกข์พาหลง

การที่คนเราได้ลาภ สักการะ ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ บริวาร ฯลฯ ใด ๆ มาก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามโลกธรรม แต่แม้มันจะเป็นไปอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก

เราย่อมกล่าวถึงลาภสักการะและชื่อเสียงว่า เป็นอันตรายแม้แก่ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ“(ภิกขุสูตร,16/580)

ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภสักการะและชื่อเสียง เกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฯ” (ปักกันตสูตร,16/586)

ที่ยกมานั้นเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องลาภสักการะ แม้เกิดในคนดีที่สุดอย่างพระอรหันต์ก็เป็นภัยได้ แล้วเกิดในคนชั่วที่สุดไฉนจะไม่เกิดภัย

นั่นหมายความว่าลาภสักการะมันเป็นภัยสำหรับทุกคนนั่นแหละ จะดีจะเลวก็เป็นภัย โดยเฉพาะลาภลอย พวกก้อนที่มาใหญ่ ๆ แบบไม่คิดไม่ฝัน ได้มาแบบไม่มีเหตุ แบบงง ๆ ลาภพวกนี้ยิ่งจะทำให้คนประมาท

เหมือนคนถูกหวย เขาได้มาเพราะเขาเชื่อว่าเขาโชคดี แต่ความจริงแล้วเขาก็เบิกบัญชีกุศลกรรมของเขามาเอง แต่ภาพมันออกมาเป็นลาภลอย เขาไม่ต้องพยายาม เขาคิดว่าเขาแค่ใช้ “โชค?” เขาเลยเกิดความประมาทในเรื่องของกรรม ถ้าคนเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับคือสิ่งที่ทำมา เขาจะไม่ประมาท แต่มันไม่ง่ายที่จะเข้าใจแบบนั้น วิบากจะลวงให้หลง ให้ประบาท ให้เข้าใจผิด ให้ไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ดังนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจึงไม่เล่นหวย เพราะมันก็แค่เบิกของที่เคยทำ เอามาใช้เท่านั้นเอง แถมไปเบิกโดยไม่ลงทุน มันก็เท่ากับกรรมดีหมดไปเรื่อย ๆ

เกริ่นมาพอสมควร มาเข้าเรื่องกัน ผมติดตามข่าวช่วยเหลือทีมหมูป่าติดถ้ำมาสักระยะ รู้สึกเห็นใจกับสภาพที่เกิดขึ้น ในส่วนของการช่วยเหลือกันนั้นก็ดี ก็ยกไว้ก่อน แต่ในส่วนที่จะให้ข้อสังเกตคือมันเกิดสภาพของดีที่ล้นทะลัก ดีที่เยอะเกินพอดี ดีที่เกิดโดยไม่มีเหตุอันสมควร

คือลาภสักการะที่ทีมหมูป่าได้ตอนนี้นี่เรียกว่ามหาศาล ได้มายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะขอลองวิจารณ์ว่าหมู่ป่านี่เป็นจำเลยสังคม เมื่อสังคมมันต่ำมันเสื่อม พอมันเกิดเหตุแบบนี้มันก็เกิดภาพที่มันน่าชมคือทุกคนช่วยเหลือกัน คนในสังคมทุกคนเขาก็อยากให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นในชีวิตนั่นแหละ แล้วนี่เป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่มันเกิด เขาก็พยายามทุ่มเทดีลงไป ยัดดีลงไปมหาศาล ยัดไปตั้งแต่ยังไม่เจอทีมหมูป่าเลยด้วยซ้ำ ว่าจะให้อย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าตัวเขายังไม่รู้เรื่องเลยว่าลาภนี้มันมารออยู่ที่ปากถ้ำแล้ว ผมมองว่านี่คือตัวอย่างหนึ่งของสภาพดีที่ล้น

ผมมานั่งระรึกเพิ่ม บ้านไหนเมืองไหนเขาก็ไม่เห็นจะมีเลยที่จะเอื้อเฟื้อผู้ประสบภัยแบบนี้ อย่างดีก็ให้ที่อยู่ให้การรักษาก็เยียวยากันไป แต่จะให้กันจนเรียกว่าผลิกชีวิตกันแบบนี้มันไม่มีนะ

นี่คือสภาพลาภลอยที่ทีมหมูป่ากำลังได้รับอยู่ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่ามันหนักมาก เยอะมาก อันนี้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่ามันเป็นผลกรรมที่เขาควรได้ แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เช่นกัน

ที่น่าเป็นห่วงคือสังคมตอนนี้มีสภาพของการเสพดีอย่างหมกมุ่น ผมขอวิจารณ์เช่นนี้ตรง ๆ จริง ๆ ก็เรียกได้ว่ารอมานานกว่ากระแสมันจะลงบ้าง คลื่นกิเลสนี่มันไม่ธรรมดานะ จะไปแตะไม่ได้ ความติดดีคนมีมากนี่แตะไม่ได้ คิดต่างไม่ได้เลย มันจะทะเลาะกันไปหมด จะอวยมันก็ยิ่งจะลอย มันจะฟูไปกันใหญ่ อัตตามันก็โตขึ้นอีก เป็นสถานการณ์ที่ได้แต่ดูเงียบ ๆ ไป

ส่วนตัวผมนี่เข้าใจมาก ๆ เลยเวลาลาภเยอะ ๆ แล้วมันเลี่ยงไม่ออกนี่มันทุกข์ยังไง คือมันมากเกินความจำเป็น เราไม่อยากได้ มันเป็นภาระ มันหนัก นี่ขนาดไม่อยากได้ลาภนั้นยังทุกข์ยังลำบากเลย

แล้วเกิดคนอยากได้ลาภลอยนี่มันยิ่งไปกันใหญ่ คือลาภลอยมาแล้วอยากได้ เข้าไปคว้า มันก็จะพาหลงเลยทีนี้ มันจะพลาดเสียคนกันก็ตรงนี้นี่แหละ (คือได้ลาภ แต่ไม่รู้เหตุเกิดของลาภ คือได้สิ่งดี แต่ไม่รู้ว่าทำดีอะไรถึงได้ลาภนี้ อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ว่าสิ่งที่ทำหรือเคยทำนั้นเป็นเหตุ)

ตอนนี้มีกระแสคืนความปกติสุขให้ทีมหมูป่า คือให้เขากลับเป็นเด็กธรรมดาตามวิถีของเขา ซึ่งตามแนวคิดผมก็เห็นด้วยนั่นแหละ แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นไปได้ยาก กระแสมันติดลมบนไปแล้ว นี่ขนาดช่วยออกมาได้แล้วยังมีข่าวทุกวัน มันจะเสพอะไรกันนักกันหนา ช่วยออกมาแล้วก็จบแล้วนี่ แต่คนเขาไม่จบไง เหมือนดูละครก็ไม่อยากให้จบ วนเสพสุขอยู่นั่นแหละ เสพดีที่จบไปแล้ว มันดีก็จริงที่คนช่วยกันแต่มันก็จบไปแล้วไง

ผมมองว่าตอนนี้สังคมกำลังกระหายความดีอยู่ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเกิดดีที่ไม่ประมาณ ล้นทะลักเกินอย่างเห็นได้ชัด ความซวยจึงตกอยู่ที่จำเลยสังคมอย่างทีมหมูป่า

ติดถ้ำก็ว่าซวยแล้ว ติดโลกธรรมนี่ซวยกว่าติดถ้ำอีกนะ…

การประสบความสำเร็จในชีวิต

อ่านกระทู้เกี่ยวกับความหมายของการประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมากก็หมายถึงการมีกินมีใช้อย่างมั่นคง ซึ่งในความหมายทางโลก คือ รวย นั่นแหละ

แต่ในมุมของผม ก็มีส่วนคล้ายกับเขาอยู่บ้าง คือมีกินมีใช้อย่างมั่นคง แต่ต่างกันตรงที่ผมจะปฏิบัติไปในทิศทางที่ “จน” คือเป็นคนจนที่มีกินมีใช้ไม่มีวันหมด(อาจจะขาดพร่องบ้างในบางช่วง แต่ค่ารวม ๆ โอเค) แต่แค่มีกินมีใช้ไม่มีวันหมดก็ไม่อาจเรียกได้เลยว่า ประสบความสำเร็จในชีวิต

ผมรู้สึกว่าความรวยด้วยทรัพย์ บริวาร(สามี ภรรยา ลูกหลาน ญาติมิตร สหาย) นั้นไม่มั่นคง อาจจะเพราะเป็นมุมมองที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก ความรวยต้องพยายามสร้าง บริวารต้องพยายามประคอง ผมว่ามันเหนื่อย สร้างความมั่นคงในความจนนี่มันง่ายกว่า จะเหนื่อยก็เหนื่อยแค่ใจ เพราะต้องปฏิบัติไปเพื่อการสละ ลด ละ เลิก สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จนพัฒนากลายเป็นคนจนที่กินน้อยใช้น้อยแต่ทำงานให้สังคมมาก สละออกมาก เอามาให้กับตัวน้อย ก็เป็นคนที่มีกำไร บุญกุศลที่ได้ทำ ก็ส่งผลให้มีกินมีใช้ไม่หมดตามผลกรรมของมันเอง

ลาภ สักการะ บริวาร ก็มีไว้เพียงเพื่อดำเนินกิจกรรมกุศล ไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างหรือรับมาจนล้น จนเป็นภัยแก่ตนเอง แต่คนในโลกส่วนใหญ่เขาไม่เป็นเช่นนั้น เขาไม่พอเพียง เขาต้องรวยมาก ๆ โด่งดังมาก ๆ มีตำแหน่งสูง ๆ มีบริวารเยอะ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องเสพอีกเท่าไหร่ถึงจะทุกข์จนพอใจ เพราะความจริงโลกธรรมนี่มันพาทุกข์นะ ได้มากก็ทุกข์ ได้น้อยก็ทุกข์ ถ้าปล่อยตัวปล่อยใจหมุนวนไปกับโลกธรรมนี่ยังไงมันก็ต้องทุกข์ สู้พยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลกธรรมไม่ได้ อันนั้นมั่นคงกว่า ยั่งยืนกว่า สุขกว่า

ส่วนในเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต ผมมองว่าถ้าเราสามารถเป็นคนที่ไม่ต้องประสบความสำเร็จอะไรเลย แม้เกิดเหตุการณ์ที่ทำอะไรไปก็ล้มเหลว ไม่เป็นที่นิยม พัง ไม่ยั่งยืน เจอแต่ปัญหาแล้วใจไม่ทุกข์ นี่ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ เพราะเป้าหมายในชีวิตผมคือฝึกใจไม่ให้ทุกข์ ถ้าใจเป็นสุขเมื่อได้ดั่งใจ เป็นที่นิยม สมหวัง เจริญรุ่งเรือง ฯลฯ มันจะไปยากอะไร มันไม่ต้องฝึกด้วยซ้ำ คนเขาก็เป็นกันไปทั่ว

ในวันนี้ก็ยังไม่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จตามที่หวังเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ยากและมันก็ไกล จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นมันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่มันก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่น่าตั้งจิตไว้พิชิตมัน

รับ …โดยไม่เฉไฉ แชเชือน บิดเบือน บดบัง

หนึ่งในกรรมฐานที่ผมระลึกได้เมื่อปีก่อนว่าควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง คือยอมให้ผู้อื่นเบียดเบียนให้ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เราฝึกไม่เบียดเบียนจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ คือปรับกลับไปมาระหว่างปล่อยวางกับลงมือได้ดีพอสมควร

หนึ่งในการยอมให้เบียดเบียน ก็คือการถูกติ ถูกวิจารณ์ ถูกด่า ถูกเข้าใจผิด ความเบียดเบียนเหล่านั้นคือสิ่งที่เข้ามาเบียดมาบี้ความยึดมั่นถือมั่นของเรา ซึ่งสิ่งที่เข้ามาจะเป็นธรรมะก็ได้อธรรมก็ได้ ก็จะฝึกปฏิบัติไปเพื่อการยอมให้ถูกสิ่งอื่น เข้ามาขยี้ความยึดมั่นถือมั่น

ผมตั้งใจว่าถ้ามีสิ่งใด ๆ เข้ามาก็จะยินดีรับโดยไม่ปัดป้อง คือยินดีให้มันเข้ามาถึงจิตกันตรง ๆ เลย กำลังจิต(เจโต)ที่มีก็จะไม่เอามาปิดกั้นไว้ ให้มันได้เผชิญความจริงกันแบบใส ๆ เลยว่ากระทบแล้ว มันยังไง มันรู้สึกยังไง มันไปยึดอะไร

เมื่อกระทบกับเหตุการณ์แล้วจะไม่พยายามไปกดให้มันสงบในทันที แต่จะเน้นไปในการพิจารณาเหตุของความขุ่นมัวที่ฟุ้งขึ้นมาในจิต ว่ามันติดมันหลงยึดอะไร แต่ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ถ้ามันจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น คงต้องกดแล้วเก็บไว้ก่อน

ผมเคยเห็นคนที่ถูกวิจารณ์แล้วเฉไฉ ปัดป้อง ติอย่างหนึ่งไปเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ติเรื่องหนึ่งไปยอมรับอีกเรื่องหนึ่ง ติปัจจุบันไปยอมรับอดีต ถ้าโดยส่วนตัวสมัยก่อนผมก็เคยเป็นอาการนั้น คือมันอยู่ภายใต้กิเลส เวลาโดนติ กิเลสมันจะพาเฉ ไม่พาซื่อ มันอาจจะเหมือนซื่อ แต่มันจะออกเป็นซื่อบื้อ คือติมาเสียของ ติมาไม่ได้ถูกนำไปแก้ปัญหา คือไม่ได้เอามาพิจารณาจนถึงเหตุเกิด ไม่ได้เอามาทำใจในใจไปถึงที่เกิด เพราะมันถูกบิดเบือนตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ขั้นตอนการฟังแล้ว มันเพี้ยนไปตั้งแต่ฟังแล้ว เพราะไม่มีปรโตโฆษะ สิ่งที่ฟังมันเลยบิดเบี้ยวไปจากสิ่งที่เขาพูด เพราะมันไม่ฟัง หรือฟังเขา 1/2 ฟังกิเลส 1/2 รวมกันเป็น 1 คือฟัง แต่ไม่ได้ฟังเขาทั้งหมด

ผมรู้เลยว่าถ้าเรายังไม่ยินดีรับคำติ ไม่ยินดีฟังความเห็นที่แตกต่าง เราก็จะเสียโอกาสในการพัฒนา คำติที่เขาติมามันก็เสียของ

ซึ่งผมก็เอามาประยุกต์กับตัวเองเมื่อจำเป็นต้องติคนอื่นเหมือนกัน คือดูว่าติเข้าหรือไม่ ถ้าไม่ก็เลิก เสียพลัง เสียเวลา กิเลสเขาครอบ อินทรีย์พละเขาอ่อน เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะการตินี่มันไม่ง่าย มันต้องปรุงเยอะ ต้องประมาณมาก

บางคนบอกยอมให้ติได้ แต่พอติไปแล้วไม่เข้า เฉไฉ ผมก็เลิก เมื่อผมเข้าใจดังนั้นว่าการตินี่มันไม่ได้มาง่าย ๆ ต้องทำดีมากพอ คนติเขาก็เสี่ยง และเสียพลัง จึงพยายามฝึกตัวเองให้กล้าหาญและแกร่งมากพอจะรับคำติโดยไม่เฉไฉ บิดเบือน ยอมรับความจริงในปัจจุบันเลยว่า เขาติเราที่นี่ เดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุอะไรก็ต้องไปตรวจตัวเองดูว่าตัวเองพร่องหรือผิดพลาดอะไรแล้วก็เอาไปแก้ไข ถ้าเขาติถูกเราก็ได้แก้ไข ติผิดก็ไม่เป็นไร ก็เอามาตรวจใจทวนไปว่าเรายอมให้เขาติได้หรือไม่ แม้จะถูกจะผิดก็ตามที

เพราะสิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับเรายอมให้คนอื่นเข้ามาเบียดเบียนบดขยี้ความยึดมั่นถือมั่นของเราหรือไม่ เท่านั้นเอง

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

อ่านข่าวบ้านเมืองวันนี้ก็ทำให้เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งขึ้น ในมุมที่ว่า จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีวีรบุรุษอะไรหรอก แต่พอมีคนชั่วมาก คนที่เขาทำดีแม้เพียงน้อยก็โดดเด่นขึ้นมาได้ทันที

คนโง่ก็ขยันโง่ คนชั่วก็ขยันชั่ว คนดีก็ขยันทำดีไป ระยะห่างมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในจังหวะที่เหมาะสม คนโง่ คนชั่ว คนดี มาบรรจบกัน จะเกิดสถานการณ์สร้างวีรบุรุษขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนกับเรากำลังเดินอยู่แล้วแผ่นดินมันข้าง ๆ มันยุบ มันก็เลยเหมือนเราสูงเด่นกว่าระดับแผ่นดินที่ยุบ จริง ๆ เราก็สูงเท่าเดิมนั่นแหละ

เหมือนคนดี เขาก็ดีเท่าดีที่เขาทำได้ แต่พอมีคนโง่คนชั่วมากระทบ มันจะมีการเปรียบเทียบโดยธรรมชาติ โลกจะเปรียบเทียบ โลกธรรมจะหมุนเวียน สรรเสริญและนินทาจะเกิดขึ้น เป็นสภาพไม่เรียบ ไม่เสมอกัน กลายเป็นฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้าย ฝ่ายหนึ่งเป็นวีรบุรุษ

ดังนั้นเราจึงไม่ควรจะไปโกรธ ขุ่นเคือง หมองใจกับคนโง่คนชั่ว เพราะเขาก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ของเขา คือแสดงความโง่ความชั่วให้โลกได้เห็น เพื่อขับให้ความดีโดดเด่นขึ้น ให้มันตัดกันแรงขึ้น(contrast)

พอผมเข้าใจเรื่องนี้เพิ่ม ก็เข้าใจอีกหลายเรื่องเพิ่มเลยนะ เราเข้าใจเลยว่าไอ้ที่เขาแสดงมิจฉาธรรมกันเป็นอันมากทุกวันนี้ เพื่อให้เราได้ฝึกทำใจไม่ให้โกรธ ขุ่นเคืองคับข้องใจ(1) เพื่อที่จะทำให้มันชัดเจนขึ้น(2) เขาก็กำลังใช้กรรมของเขา(3) มันก็เป็นไปตามธรรมดาของโลกที่จะต้องมีคนชั่วมากกว่าคนดีอยู่แล้ว(4) ดังนั้นธรรมที่แสดงอยู่โดยมาก แม้เป็นอธรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง(5)

สรุปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก ก็รับรู้ไปตามเรื่องตามราว ช่วยอะไรได้ก็ช่วย แต่อย่าไปช่วยให้เขาเกลียด เขาโกรธกันมากกว่าเดิม คือช่วยให้เขาเมตตากัน เข้าใจกัน อภัยกัน

เมื่อเราเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปเสียเวลาร่วมทำชั่วไปกับความชั่วที่มายั่วให้เราหลงโกรธ เกลียด ชัง แช่ง ดีที่เราทำก็จะยิ่งชัดขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผลของกรรมที่จะลิขิตสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

โลกธรรม …น่ากลัว

อ่านข่าวเมื่อเช้า “ยูทูบเบอร์อยากทำคลิประห่ำ ให้แฟนท้องยิง .50 ใส่อก ดับสลดต่อหน้าลูก

ทำให้เห็นภาพของคนในสมัยนี้ที่พยายามปั้นตัวตนให้เด่นให้ดัง บางครอบครัวปั้นกันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยความเป็นโลกีย์นั้นก็เหมือนจะดี เด่นดัง ก็มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขปลอม ๆ มาให้เสพ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นล้วนเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นโดยไร้ความหมาย…

โลกธรรมคือสิ่งที่หลอกคนให้หลงวนไป เป็นกิเลสอีกชุดหนึ่งที่เรียกว่ากว้างใหญ่ สร้างผลกระทบชัดเจนต่อตนเองและผู้อื่น อย่างเรื่องกามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนี่บางทีมันก็ไม่ได้ไปกระทบผู้อื่นโดยตรง แต่โลกธรรมนี่มันต้องมีผู้อื่นเป็นองค์ประกอบในการได้เสพ

ดังกรณีตัวอย่าง เป็นสภาพที่หลงโลกธรรมจนทำอะไรที่ไม่สมควรทำ เพียงเพื่อต้องการให้เด่นให้ดัง คืออยากได้สรรเสริญ แต่สิ่งที่แลกไปนั้นคือชีวิต

ซึ่งในความจริงแล้วสรรเสริญก็ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอะไร ได้มาก็เสียไป ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่โลกให้ โลกปรุงแต่งว่าสิ่งนั้นดี งาม เลิศ ฯลฯ แล้วเขาก็ยกมาให้เรา ถ้าเราไม่หลงก็จบไป จะปล่อยวางหรือจะใช้ประโยชน์ให้เกิดกุศลก็ได้

แต่ถ้าเขาให้สรรเสริญเรามา เราโพสคลิปวีดีโอลงไป โพสบทความลงไป โพสรูปภาพลงไป เขาชม เขาเชียร์แล้วเราไปยึดมาเป็นของเรา ดีใจ ฟูใจ สุขใจ กิเลสมันก็โต มันก็จะอยากเสพมากขึ้น อยากทำให้คนสรรเสริญมากขึ้น

อย่างในข่าวเขาก็อยากทำคลิปที่มันระห่ำ อยากเป็นคนกล้าท้าความตาย ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกโลกครอบงำ และในโลกอินเตอร์เน็ตก็ยังมีอีกมากมายที่เป็นเช่นนี้ เพียงแต่มีการแสดงออกต่างกัน บางคนไปทางอาหารการกินบ้าง บางคนไปทางการแสดงบ้าง บางคนไปทางโป๊เปลือยบ้าง ฯลฯ

ตัวชี้วัดหยาบ ๆ ว่ากิจกรรมที่แสดงออกนั้นดีจริงหรือไม่ ก็สังเกตดูว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างยั่งยืนหรือไม่ ทำให้คนโลภ โกรธ หลง มัวเมาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามันไปทางฝั่งไม่เป็นประโยชน์ เพิ่มโลภโกรธหลง ก็หยุด ก็เลิก

แต่ความจริง ถ้าเขาหลงมันจะเลิกไม่ได้ โลกธรรมจะมอมเมาว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี มหาโจรก็มีลูกน้องโจร ดังนั้นไม่ได้หมายความว่ามีคนเข้ามาสรรเสริญแล้วสิ่งที่ทำอยู่นั้นจะเป็นสิ่งดีเสมอไป โลกจะหลอก จะยั่วย้อมมอมเมา ให้คนหลงอยู่กับสิ่งลวงเหล่านั้น …ตลอดไป

ชีวิตคือการลงทุน

หลังจากได้เรียนบริหาร ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนมากขึ้น และหลังจากที่ได้รู้จักกับพุทธศาสนา ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่ให้ผลเป็นสุขมากขึ้น

เป็นธรรมดาของการลงทุนที่จะมีผู้ร่วมลงทุน มีกิจการที่จะลงทุน แต่ก่อนผมก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ คิดว่าการลงทุนกับการมีครอบครัวจะให้ผลเป็นสุข เป็นบวก ได้กำไร ฯลฯ แต่เมื่อได้ศึกษามากขึ้นก็พบว่าการอยู่เป็นครอบครัวนั้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ส่วนมากเป็นทุกข์ โดยค่ารวม ๆ ติดลบ

ลงทุนในกรอบแคบ ๆ ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย เหมือนการเอาความหวังไปฝากไว้กับคู่รัก ลูกหลาน มันก็ต้องผิดหวัง ต้องทุกข์ ต้องหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

และใช่ว่าธุรกิจครอบครัวจะไปได้ดี การไว้ใจญาติ บางทีก็ให้ผลเสียอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่การจะใช้ชีวิตคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรเลือกหน่วยลงทุนที่ให้ความเจริญสูงสุด/เวลา คือเลือกกลุ่มที่ปฏิบัติดี พากันลดโลภ โกรธ หลง แล้วไปลงทุน ลงแรงร่วมกับเขา

ผมไม่เชื่อว่าถ้าผมยังดำเนินกิจกรรมไปตามโลก ไปเป็นพนักงาน หัวหน้า ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ฯลฯ แล้วผมจะรอดพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะจากที่ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด คนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จรุ่งเรืองใหญ่โต ก็ไม่เห็นจะพ้นทุกข์ เป็นสุขกันตรงไหน ดูเผิน ๆ เปลือกเขาก็สวยดี แต่ใส้ในก็ไม่เห็นน่าดูกันสักคน

ผมก็เลือกที่จะไม่เดินทางนั้น ก็เลือกมาดำเนินชีวิตทางธรรมดีกว่า ในเบื้องต้นเป็นฆราวาส(ผู้ครองเรือน) ก็มีอาชีพจิตอาสาให้ทำ เงินไม่ได้หรอก แต่เขาไม่ปล่อยให้อดตายแน่ ๆ และรับประกันได้ว่าจะมีงานทำตลอดชีวิต ไม่มีวันตกงาน งานฟรีมีให้ทำเยอะมาก เลือกสาขาได้ตามที่ถนัดเลย

แต่ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสของเราออกบางส่วนก่อนมันจะไม่คิดแบบนี้นะ มันจะมุ่งไปทางโลก แสวงหาวัตถุลาภยศมาบำเรอตัวเองอย่างเดียวเลย ถ้าให้มาทำจิตอาสาไม่มีเงินเดือนนี่มันไม่เอาเพราะมันไม่ได้เสพดั่งใจ ถ้าทำงานหาเงินนี่อยากได้อะไรก็ไปซื้อ แต่ถ้ามาใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี่มันต้องสังวรระวัง และต้องอดทนอดกลั่นต่อความอยากมาก มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ตรงนี้แหละมันเริ่มจะมีทิศทางไปสู่ความเจริญแล้ว เพราะเรากินน้อยใช้น้อย ทุนที่ลงไปก็ต่ำ เราทำงานมาก ทำดีมาก กำไรเราก็เยอะ รับรองว่าชีวิตทำงานฟรีกินใช้ไม่มีหมด ยังทำไม่ได้ชัด ๆ หรอกนะ แต่ดูจากครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างเอา ที่เหลือก็แค่ทำตามให้ได้

และตอนนี้ก็ทำไม่ได้เต็มตัวหรอก เป็นได้แค่ครึ่งตัว อีกครึ่งตัวก็ต้องให้เป็นไปตามวิบากกรรม แต่ผมเชื่อนะว่าการลงทุนทางธรรมนี่แหละคุ้มค่าที่สุด เอาปริญญาบริหารเป็นประกันเลยเอ้า…

การคบคุ้น สู่ความสุข/ทุกข์

สมัยก่อน ตอนที่ยังศึกษาและปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ ผมก็ตะลอน ๆ ไปเรื่อยตามประสาคนอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สำนักนั้นบ้าง สำนักนี้บ้าง คบคุ้นกับคนกลุ่มนั้นบ้าง กลุ่มนี้บ้าง ตามแต่โอกาสที่พอจะมี ก็เหมือนกับว่าเป็นคนเร่ร่อนละนะ ยังไม่ปักหลัก ยังไม่ลงตัว ยังไม่ชัดเจน

จนวันที่มาคบคุ้นกับกลุ่มแพทย์วิถีธรรม ก็ศึกษากันอยู่พักใหญ่ แต่ยิ่งศึกษาไปนานวัน คบคุ้นกันไปนานปี ก็ยิ่งศรัทธาขึ้น จนมาวันนี้ก็ได้ส่งใบสมัครเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขาเป็นที่เรียบร้อย

เวลาที่ผมรู้สึกว่าชัดเจน แล้วจะไม่ค่อยเสียเวลากับสิ่งอื่น เพราะ เวลา แรงงานและทรัพยากรต่าง ๆ ของเราเนี่ย มันมีจำกัด เราต้องบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด เท่าที่จะมีแรงทำได้

ถ้าวิเคราะห์ในมุมของการบริหาร ผมจำเป็นต้องเททรัพยากรให้กับหน่วยลงทุนที่ได้ผลกำไรสูงสุด เพื่อผลประโยชน์ของตัวผมเอง ผมจะไม่ไปเทเรี่ยราด ตรงนั้นที ตรงนี้ที เพราะมันทำให้ผมเสียโอกาสดี ๆ ไป

ซึ่งตรงนี้ก็เป็นความเห็นของแต่ละคนว่ากลุ่มไหนดี กิจกรรมไหนดี ก็วิเคราะห์จำแนกกันไปตามปัญญาของแต่ละคน ก็ทดลองกันไปว่าอยู่แล้วเจริญไหม? เจริญได้แค่ไหน? เจริญได้จริงหรือไม่? มั่นคงยั่งยืนหรือไม่? ถ้ามันโอเคก็ทุ่มเทลงไป

แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยทดลองไปกิจกรรมกับกลุ่มอื่น หลังจากศึกษาจนเข้าใจทางแล้ว ทำได้บ้างแล้ว ผมก็ได้ลองไปเข้ากลุ่มนั้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง (อีกแล้ว) ส่วนหนึ่งเพื่อศึกษาเขาว่าเขาทำอย่างเราหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งคือไปเอื้อเขา เผื่อว่าเขาจะเห็นดีกับเรา

จนกระทั่งผมพบว่าผมไม่เจอกลุ่มไหนเลยที่คิดเห็นและปฏิบัติธรรมเหมือนสายที่ผมศึกษา ซึ่งผมก็เห็นว่าทางที่ผมศึกษาแล้วมันได้ผลจริง อ้าว… แล้วที่เขาทำอยู่มันคืออะไร? ก็พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าทางปฏิบัติถึงผลมันมีทางเดียว แล้วทางอื่นมันคืออะไร ก็คงไม่ต้องคิดให้วุ่นวายใจ ก็จบประเด็นแรกไป

ประเด็นที่สองคือไปเอื้อเขา แรกปฏิบัติธรรมได้ใหม่ ๆ มันก็มีน้ำใจไง ติดดีไง คืออยากให้เกิดดี ก็เลยไปกลุ่มนั้นกลุ่มนี้เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับเขา แต่ผลคือเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเราหรอกนะ และเราก็ไม่ได้ขยันยัดเยียดสักเท่าไหร่ แค่บอกไปทีเดียว ไม่ขยับก็เลิกแล้ว มารู้เอาตอนท้ายว่าที่ทำนี่มันเหนื่อยฟรี เอาจริง ๆ ก็ไม่ต้องไปเอื้อใครเขามากหรอก เราก็พิมพ์ก็พูดไป ใครเขาศรัทธา เขาก็มาคุยเองแหละ ไม่ต้องผลักดันหรอก

พอตอบโจทย์สองประเด็นจบ ก็เลิกเสียเวลาเลย ก็มุ่งเอาสายเดียวนี่แหละ ผมมั่นใจว่าใช่ เพราะผมปฏิบัติแล้วมีผล จิตมันเปลี่ยนแปลงได้จริง กิเลสมันลดได้จริง กิเลสมันตายได้จริง ที่สำคัญ ยิ่งคบคุ้นปฏิบัติตามนานวันผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้น แม่นขึ้น คมขึ้น คุมกระบี่ได้ดียิ่งขึ้น ก็เป็นเหตุผลที่ผมเลือกที่จะคบคุ้นกลุ่มที่จะทำให้ผมเจริญขึ้นเท่านั้น

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการพ้นทุกข์ แต่ถ้าอยากทุกข์ก็ทำตรงข้ามกับ ไปคบมิตรชั่ว สหายกิเลสหนา สังคมสร้างปัญหา ขยันสะสมตัณหา ชวนกันเพิ่มความโลภ โกรธ หลง ก็จะได้ชีวิตทุกข์ ๆ อย่างที่เห็นกันโดยมากในทุกวันนี้

เส้นขาวบนถนน – ศีลในชีวิต

วันก่อนขับรถลงอุโมง เขาก็มีเส้นขาวถี่ๆ บอกให้เรารู้ว่านี่มันเริ่มล้ำเส้นออกไปแล้ว เมื่อล้ำเส้นออกไปมันก็อาจจะไปเบียนเบียนหรือไปชนคนอื่นเขา สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้

ศีล ก็คล้าย ๆ กัน คือเป็นกรอบของการปฏิบัติ ศีลที่สูงขึ้นก็ล้อมกรอบให้มีการเบียดเบียนน้อยลง ในเบื้องต้นพุทธศาสนิกชนก็ปฏิบัติศีล ๕ กันให้ได้ก่อน พอมั่นคงในศีล ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสที่มายั่วยวนให้ผิดศีล ก็ค่อย ๆ เพิ่มศีลไปเรื่อย ๆ จะศีล ๘, ๑๐ หรืออธิศีลจากฐานเดิมในบางข้อบางประเด็นก็ได้ทั้งนั้น

ผมแปลกใจที่ชาวพุทธสมัยนี้ ไม่ค่อยคุยกันเรื่องศีล ซึ่งเป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติ ในเรื่องศีลก็มีรายละเอียด ถือแบบถูกก็มี ถือแบบผิดก็มี คือมีศีลแต่ความเห็นในการปฏิบัติมันผิด

แต่ลึก ๆ ผมก็ไม่แปลกใจหรอก ยุคนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ เหมือนพยายามขับรถในกรอบในเส้น แต่ไม่ได้แก้นิสัยใจร้อนโมโหร้ายขับรถโดยประมาท ถือศีลผิดก็เช่นกัน มีศีลแต่ไม่ได้ใช้องค์ประกอบของศีลในการปฏิบัติธรรมให้เจริญ

เขาทิ้งเรา เราทิ้งเขา

อ่านเจอกระทู้หนึ่งในพันทิพ เขาว่าลูกกับเมียเขากำลังจะตีตัวออกห่างเขา ทั้งบ้านและรถ ไม่ใช่ชื่อเขา ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร?

ผมอ่านแล้วก็น่าคิด ถ้าเป็นผมตอนนี้ ผมยอมให้หมดเลย อยากได้อะไรก็เอาไป จะไปไหนก็ไป เรามีทางไปของเราแล้ว บ่วงหลุดไปจากเรา เราไม่ต้องลำบากแล้ว ดังนั้นผมประเมินว่าถ้าเราปฏิบัติธรรมจนได้ผลประมาณหนึ่ง เมื่อพบกับเหตุการณ์เขาทิ้งเรามันจะไม่ยากเท่าไหร่

แต่ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม ผมก็เข้าใจ เขาทุกข์แน่นอนแหละ แต่จะทุกข์หนักทุกข์นานแค่ไหนนั่นก็แล้วแต่วิบาก ถ้ามันหมดวิบากก็ไม่ต้องไปแส่หาเพิ่ม เอาเวลาไปศึกษาธรรมให้พ้นทุกข์ พ้นวนเวียนเรื่องครอบครัวจะดีกว่า

ทีนี้มาคิดถึงประเด็นเราทิ้งเขา(ทั้งที่ยังรัก)นี่มันยาก มันต่างกับเขาทิ้งเราโดยสิ้นเชิง เขาทิ้งเรานี่เราแค่รับกรรมเก่าที่ทำมา ส่วนกรรมชั่วใหม่เราไม่ทำมันก็จบไป แต่สำหรับเราทิ้งเขานี่มันยาก เพราะมันเป็นกรรมใหม่ที่เราจะต้องทำเพื่อความเจริญ

ปกติมันทิ้งกันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก มีสารพัดร้อยล้านเหตุผลที่จะติดอยู่อย่างนั้น มันจะหนืด ๆ ดึงไม่ค่อยออก เรียกว่าไม่ยอมดึงตัวเองออกมาเลยจะชัดกว่า

ตรงนี้แหละที่มันจะยาก เพราะจะไม่ออกมาเลยก็ติดกาม กระชากออกมาก็เป็นอัตตา มันโต่งทั้งด้านอยู่ ทั้งด้านไป แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าบำเพ็ญความดีไปทั้งชาติแล้วเขาจะปล่อยเรา บางทีการปล่อยไปตามกรรมทั้งชาติโดยไม่ทำอะไรให้ชัดเจน ก็เป็นการสร้างวิบากกรรมใหม่เช่นกัน คือกรรมที่ไม่พยายามทำอะไรดี ๆ เลย ซึ่งมันก็จะทำให้ช้า บางทีมันต้องพรากออกมาเพื่อประโยชน์ที่มากกว่า แม้จะเป็นช่วง ๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

นี่ขนาดคนอยากออกจากความเป็นครอบครัวยังยากในการประมาณ นับประสาอะไรกับคนทั่วไป ยากนักที่คนทั่วไปจะอยากออกจากความเป็นครอบครัว ออกจากสภาพความเป็นคู่ มาอยู่อย่างยินดีในความโสด

คนบวชเป็นพระมานานยังสึกไปมีเมียได้ สารพัดมิจฉาธรรมที่พาให้คนยินดีในการมีคู่ สื่อสารออกไปแล้วไม่ได้ทำให้คนละหน่ายความอยากมีคู่ ซ้ำร้ายบางทียังหาข้ออ้าง หาช่องทางในการมีคู่ได้โดยดูไม่ผิดหลักธรรมอีก ยุคนี้กิเลสมันร้าย ระวังกันไว้นะครับ