ปริญญา

ห่างหายกันไปนานมากกับการพิมพ์บล็อกการอัพเดทบล็อกในหลายๆส่วนของผม ซึ่งก่อนหน้านี้มันนิ่งมากจนแทบจะเรียกได้ว่าหายไปเลยก็ว่าได้

ช่วงสองปีกว่าที่ผ่านมาจนกระทั่ง ล่าสุดหนึ่งสัปดาห์ได้ผ่านไป ผมได้ไปปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่ง นั่นคือไปเรียนปริญญาโท เป็นการเรียนหาความรู้ใหม่ๆ หาประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกในจังหวะที่มีโอกาสที่ดี

ผมเลือกเรียนบริหารธุรกิจจากกว่า 4 -5 ทางเลือกและเหตุผลที่ได้คัดมาแล้วด้วยน้ำหนักอันเหมาะสมและความเป็นไปได้จนถึงการใช้ประโยชน์จากมันในอนาคต จึงได้เลือกเรียนโครงการบริหารธุรกิจภาคค่ำ (YMBA) และเน้นเรียนเวลาค่ำหรือหลังพระอาทิตย์ตกนั่นเอง แม้ว่าโครงการจะมีวันเสาร์อาทิตย์ไว้เป็นตัวเลือก แต่ผมเลือกลงทะเบียนเพียงสาขาเดียวนั่นคือการจัดการวันธรรมดา

ปริญญา

ปริญญา

การเรียนนั้นผ่านมาร่วม 2 ปีกว่า ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจาก YMBA KU แห่งนี้ ซึ่งผมเองเป็นรุ่นที่ 20 และแต่ละรุ่น แต่ละสาขา แต่ละกลุ่ม ก็จะมีธรรมชาติที่แตกต่างกันไป แล้วแต่จะเลือกสรรตามใจ ตามธรรมชาติ

ปริญญาใบแรกของผมนั้นคือศิลปบัณฑิต (BFA) ได้มาจากคณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นศิลปะประยุกต์โดยเรียนรู้ทั้ง Fine Art และ Digital Art ควบคู่กันไปจนในที่สุดผมได้สำเร็จการศึกษาโดยมีทักษะหลักติดตัวหลายอย่างเช่น อนิเมชั่น การวาดภาพประกอบ และอื่นๆอีกมากมาย

ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาโท ได้มาเป็นปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) จากโครงการปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจภาคค่ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นการเรียนรู้โดยใช้ประสบการณ์เก่ามาประยุกต์เพราะโครงการนี้เขาต้องการประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 3 ปีก่อนเข้ามาสมัครเรียนได้ สิ่งที่ได้รับมาจากการเรียนบริหารธุรกิจคือการรู้โลกที่ไม่เคยได้รับรู้ ซึ่งแตกต่างกันไปกับตอนปริญญาตรีเมื่อครั้งเรียนศิลปกรรม เป็นการเติมเต็มจินตนภาพและความจริงให้สมดุลกันมากขึ้น

ถ้าจะเปรียบ…

ศิลปกรรมที่ได้เรียนรู้มาก็คงจะเป็นเหมือนวัตถุดิบ เป็นการปรุงอาหาร เป็นการจัดวาง เป็นส่วนผสม เป็นรสชาติ เป็นสิ่งที่จะขาย และบริหารธุรกิจก็คงจะเป็นสูตรอาหาร เป็นกระบวนการ เป็นการมองจากวัตถุดิบจนไปถึงปากของผู้บริโภค การดูแลผู้บริโภค การนำเสนออาหารใหม่ๆ การเข้าใจพฤติกรรมของผู้กิน รวมๆแล้ว ศิลปกรรม+บริหารธุรกิจก็คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้การทำอาหารสักจานได้ผลมากกว่าความอร่อยนั่นเอง

เป็นการเปรียบเปรยง่ายๆ เพื่อที่จะตอบคำถามที่ว่า “เรียนปริญญาโทแล้วได้อะไร” เป็นคำถามง่ายๆแต่ต้องฟังกันยาวๆ เพราะมันไม่ได้มีแค่ปริญญาโท มันต้องนับก่อนปริญญาโทด้วย เพราะว่าต้นทุนของแต่ละคนมาไม่เท่ากัน ดังนั้นเรียนแล้วได้อะไรคาดหวังในอะไร คงไม่มีคำตอบที่ครอบจักรวาล ซึ่งผมเองก็คงจะไม่ตอบง่ายๆเช่นกัน เพราะมันดูมักง่ายเกินไปที่จะย่อสิ่งที่เรียนรู้มา 2 ปี รวมกับประสบการณ์เกือบ 20 ปีก่อนหน้านั้นมาเป็นคำพูดสั้นๆ ให้คนเข้าใจ

สำหรับตอนนี้ผมได้เรียนจบและได้รับปริญญาเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหลังจากได้พักมานาน

สวัสดี

เรียนจบ สรุปกันหน่อยดีไหม?

จริงๆก็เรียนจบมาสักเดือนหนึ่งแล้ว ทุกวันนี้ก็นั่งคิดว่าจะวางแผนจัดการกับชีวิตหลังจากนี้ยังไงดี จนมาคิดได้ว่าผมเองควรจะสรุปให้อ่านกันหน่อยดีไหมเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับในการเรียนโทใน 2 ปีที่ผ่านมานี้

ประเด็นคือ…

สำหรับประเด็นที่มีในหัวก็คือประสบการณ์ที่ได้รับ แล้วก็เรียนปริญญาโท MBA แล้วได้อะไร? จะพยายามรวบสองประเด็นนี้เข้าเป็นบทความเดียวกันให้ได้ซึ่งบอกตรงๆกันเลยว่าในบทความนี้ ยังคิดไม่ออก …จะเรียกว่าคิดไม่ออกก็คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว คงต้องเรียกว่ายังเรียบเรียงได้ไม่สมบูรณ์เสียมากกว่าเพราะทุกอย่างนั้นอยู่ในหัวหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิด แค่เพียงนั่งนึกแล้วเอามาเรียบเรียงเท่านั้นเอง

วันก่อน…

วันก่อนมีจดหมายจากทางบ้าน (email) เข้ามาแสดงความยินดีที่ผมได้เรียน ป โท (ผมจบแล้วด้วยนะเอ้อ) ซึ่งก็ได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการที่เคยสอบเข้าในรุ่น 21 และเวลาในการสอบที่น้อยนิด นั่นคือ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ประเด็นคือเตรียมตัวอย่างไรจึงจะสอบติด? ผมคิดว่าคนที่สนใจจะสอบหรือสมัครเรียน YMBA KU หลายคนก็คงจะเคยเห็นบล็อกผมผ่านตากันไปบ้างไม่มากก็น้อย

ตอนแรกผมเองก็ยังงงๆอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงสอบติด จนกระทั่งวันนี้ก็ยังงงอยู่ ส่วนเรื่องเรียนจบนี่ไม่งงนะครับ บอกตรงๆว่าถ้าขยันเรียน อ่านเยอะๆ หัดวิเคราะห์บ่อยๆ ที่สำคัญคือหัดเขียนครับ การเขียนจะช่วยให้เราสามารถเรียบเรียงสิ่งต่างๆได้ไวขึ้น เชื่อไหมว่าผมเรียนจบมาได้เพราะมีทักษะในการเขียนบล็อกเข้ามาช่วย จนวันนี้ผมเขียนบล็อกไปมากกว่าหลักพันบทความ มันสนุกและช่วยให้เราจำอะไรได้ดีขึ้นด้วยครับ

กลับมาที่ทำไมถึงสอบติด YMBA KU โครงการนี้และหลายๆโครงการของ ม.เกษตร เขาจะคัดคนเบื้องต้นจากคะแนนสอบครับจากนั้นก็คัดอีกทีจากความพร้อมในการเรียนด้วยการสอบสัมภาษณ์ เพราะฉนั้นจึงมีสองด่านที่ต้องทำการบ้านมาดีหน่อยครับ ผมบอกตรงๆว่าในปีหนึ่งๆ รุ่นหนึ่งๆ นั้นมีคนมาสมัครกันเยอะมาก แต่คนได้ก็ไม่เยอะด้วยเหตุแห่งอะไรก็ได้ทั้งปวง แต่ผมเชื่อว่าคนที่เตรียมตัวมาดีย่อมได้เปรียบครับ

สำหรับผมเองถ้าถามว่าทำไมถึงสอบติด จนวันนี้ผมก็ตอบว่ายังงงๆอยู่เหมือนเดิมครับ เพราะผมเองไม่ได้อ่าน ไม่ได้ติว หรือไม่ได้ทบทวนอะไรก่อนสอบเลย ใช้แต่ความรู้เก่าที่ติดตัวมาเท่านั้น น่างงไหมครับ ถ้าจะมีเหตุแห่งการสอบติดที่พอจะตอบเป็นเหตุเป็นผลได้ก็คือความรู้เก่าของผมนั่นแหละครับ ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นความบังเอิญไปแล้วกันครับ ซึ่งคงจะอธิบายกันยากสักหน่อย เอาเป็นว่าใครที่สนใจก็ขยันๆแล้วกันนะครับ

ส่วนสรุปเรื่องเรียนก็เอาไว้… บทความหน้าแล้วกันนะยังเรียบเรียงไม่เสร็จ

สวัสดี

ช่วงนี้ ช่วงเรียน ช่วงศึกษา

การเรียนของผมก็ดำเนินมาได้เกินครึ่งแล้วนะครับ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเทอม 5 ครับ เป็นช่วงที่ต้องทำการค้นคว้าอิสระ ที่ต้องใช้ความสามารถส่วนตัวกันเยอะเพราะเป็นงานเดี่ยวชิ้นใหญ่นั่นเอง

การศึกษาค้นคว้าอิสระ หรือที่เขาเรียกย่อๆว่า ” IS (Independent Study) นั้นเป็นหนึ่งในหลักสูตรการเรียน ปริญญาโท ของ YMBA KU ครับ ซึ่งรุ่นของผมนั้นก็ทำ IS กันทั้งหมดคือ 100% เลย แต่ว่าตั้งแต่รุ่น 21 เขาก็เปลี่ยนให้มีวิทยานิพนธ์ (Thesis) เข้ามาเพิ่มด้วยครับ อัตราส่วนนั้นไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเท่าไหร่ ถ้าใครจะสมัคร YMBA KU รุ่นต่อๆไปอาจจะต้องวางแผนเพิ่มกันนิดหนึ่งนะครับ
สำหรับ IS นี่ผมเองยังไม่เคยทำเหมือนกันครับ แต่เคยทำคล้ายๆกันนั่นคือ ศิลปนิพนธ์ เขาก็เรียกว่า Thesis ( Art Thesis) เหมือนกันครับ ทำให้มีความคุ้นเคยในรูปแบบอยู่บ้าง แต่วิธีการทำนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ

คราวนี้ก็จะเป็นบททดสอบใหม่ที่จะเข้ามา ทำให้ช่วงนี้อาจจะห่างหายจากการมาพิมพ์บล็อกไปสักพัก หรือเข้ามาเยี่ยมบล็อกตัวเองน้อยลงอะไรประมาณนั้น

สวัสดี

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง หลักจากห่างหายจากการเรียนในห้องเรียนมาเกือบสี่ปี วันนี้ไปเรียนครั้งแรก หลังจากได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่ ymba ม.เกษตร เหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว …ไม่เป็นไรผมจะเล่าให้ฟัง

15 พฤศจิกายน 2552 สมัครสอบ ผมไปยื่นใบสมัครสอบที่ คณะบริหาร ม.เกษตร ซึ่่งในใบประกาศเขาบอกว่าวันนี้เป็นวันรับสมัครวันสุดท้าย และผมก็มีเวลาแค่วันนั้นพอดี ผมเองจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นทำอะไรอยู่ จำได้แต่ว่างานยุ่งมากๆเลย พอไปถึงที่ เกษตรเขาก็ให้เลือกว่าจะสอบเข้าสาขาไหนบ้าง ถ้าเลือกสองสาขาแบบว่าสำรองได้ก็ 900 สาขาเดียวก็ 700 ร้อย

ด้วยความมุ่งมั่นที่ตัวผมมี และจากการวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่เรียนบริหาร SME มาแล้วนั้น ผมจึงตัดสินใจเรียนภาคค่ำวันธรรมดา ซึ่งเรียนด้วยกัน 3 วันคือจันทร์ พุธ และศุกร์ ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้นั้น อาจเพราะมีเหตุผลเดียวนั่นคืออยากเก็บวันเสาร์อาทิตย์ไว้ใช้เวลาไปไหนมาไหนบ้าง ซึ่งสิ่งนั้นมันจะดูสำคัญในเชิงสังคม(ของผมเอง)มากพอสมควรเลยทีเดียว และหลังจากนี้ก็รอสอบไป..

29 พฤศจิกายน 2552 วันสอบ และแล้ววันสอบข้อเขียนก็มาถึง เวลาที่ผมใช้ทบทวนนั้นมีไม่มาก ประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ซึ่งในเวปบอร์ดของ ymba รุ่น 15 เขาก็บอกว่าข้อสอบแนว GMAT ผมเองก็ไม่รู้หรอกมันคืออะไร ก็ไปหาตามร้านหนังสือทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เจอ…

ด้วยความที่ว่าจะไปตามหาหนังสือมันก็ดูจะลำบากไป ก็เลยให้เพื่อนๆช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริหาร และข้อมูลแนวข้อสอบที่ใกล้เคียง สรุปผมโหลดข้อสอบเลชอะไรมาไม่รู้ครับ ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็ดันอ่านไปตั้งหลายข้อ แต่จริงๆก็ไม่ได้อ่านมากหรอกครับ วาดรูปไปสลับกับอ่านไปบ้าง เน้นไปทางวาดรูปซะเยอะหน่อย แล้วก็ดูเวปพวกบริหารบ้างตามที่เพื่อนส่งให้

มาถึงวันสอบแล้วทีนี้ ผมไปตั้งแต่เช้า แต่เช้าของผมคือสายของคนอื่นและแน่นอน คนเต็มไปหมด คนสอบสาขาบริหารการจัดการ รอบวันธรรมดามีอยู่ประมาณ 128 คน ซึ่งยังไม่รวมคนที่เลือกอันดับสองที่ผิดหวังมาจากสาขาอื่นๆด้วย เฉลี่ยๆแล้วน่าจะประมาณ มากกว่า 200 คนที่เลือก บริหารการจัดการ รอบวันธรรมดา

ครับมันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านโจทย์นี้ไปได้ ผมตัองแข่งขันกับคนเกินกว่าร้อย เพื่อที่จะได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 30 กว่าคนที่ได้โอกาสเรียนที่นี่ ( ดูจากสถิติของรุ่นที่ผ่านมานะ ) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของผมครับ ก่อนสอบผมมักจะทำใจให้สบาย หลังสอบก็ทำใจให้สบาย สรุปคือจะสอบตอนไหนผมก็สบาย สบายเหมือนเดิมครับอาจจะดูไม่ดีที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่นี่คือธรรมชาติของผมจริงๆครับ

การสอบของวันนี้เริ่มช้ากว่ากำหนดการที่ตั้งไว้ จากตอนแรกให้เวลา 3 ชม เหลือ 2 ชม โดยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ชี้แจง ไม่เป็นไรยังไงเราก็เท่ากันทุกคน แล้วก็เข้าห้องสอบครับ โจทย์ถือว่าไม่ยากมากมายเท่าไรนัก ผมใช้ความรู้ระดับ ม 6 + ดวง + ความน่าจะเป็นช่วยในการแก้ไขปัญหาแต่ละข้อจริงๆครับ และในระหว่างการสอบมีเหตุการณ์ำำไฟดับ ซึ่งผมคิดว่าคนที่อยู่หลังห้องเสียเปรียบเรื่องแสงพอสมควร แต่ห้องไม่ถึงกับมืดครับ ผมนั่งข้างหน้าอยู่ในแนวประตู ซึ่งเปิดออกหลังจากไฟดับก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ ก็ดูสมเหตุสมผลกับคนสายตาไม่ค่อยดีอย่างผมนั่นเอง

เดินออกจากห้องสอบ พร้อมค่าประมาณในหัวที่่ต้องเตรียมไปตอบ พ่อแม่พี่น้อง กับคำถามที่ว่าทำได้ไหม ผมก็จะตอบไปว่าทำได้ 30 อีก 40 ไม่แน่ใจ อีก 30 นั้นเดา… ครับนี่คือคำพูดที่ตอบให้กับทุกคนที่ถามเรื่องสอบ ดูตรงไปตรงมาดีไหมครับ แต่มันก็ประมาณนี้แหละนะ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

8 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสอบข้อเขียน และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ ผมลุ้นตั้งแต่เช้าเลยครับ ตื่นมารอกดรีเฟรชอัพเดทในหน้าเวป ymba กันตั้งแต่ตื่นนอนเลยทีเดียว ลุ้นไปลุ้นมาก็ง่วงเลยเดินไปนอนต่อ ตื่นมาดูอีกทีก็บ่ายๆครับ ผลออกมาน่าตกใจมาก ผมสอบผ่านครับ ซึ่งติดอยู่ในรายชื่อ 1 ใน 48 คน หมายความว่ามีคนอีกกว่า 70 คนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งในขั้นตอนต่อไปก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์กันล่ะครับ ซึ่งในการสอบสัมภาษณ์นี้ ผมก็สบายๆอีกเหมือนเดิมครับและแล้วก็มาถึงวันที่ ….

15 ธันวาคม 2552 สอบสัมภาษณ์ วันนี้อากาศดีครับ ผมออกจากบ้านแต่เช้าด้วยชุดเก่งพร้อมความมั่นใจเต็มร้อย พอไปถึงก็รับบัตรคิวรอสอบสัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างนั่งรอผมก็ได้สังเกตุเห็น….

ผมแต่งตัวสบายเกินไปหน่อยครับ แน่นอนว่าชุดเก่งของผมเป็นชุดสบายๆซึ่งก็คือเสื้อเชิตกางเกงยีนต์เสริมหล่อด้วยรองเท้าหนังสุดโปรดที่เอาไว้ใส่ยามออกงานเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนแถวนั้นถือว่าดูแปลก..แต่จริงครับ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางดงใส่สูทผูกไท ทุกคนสวยหล่อและดูดีกันจริงๆ เอาละซิ งานนี้ผมจะเอาอะไรไปเป็นจุดขายดี ในเมื่อตัวโปรดักส์ของผมนั้นใส่แพคเกจที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมมา แล้วจะทำอย่างไร แน่นอนครับ ผมเองไม่ได้กังวลกับมันเท่าไหร่นัก…

ถึงเวลาเรียกสอบสัมภาษณ์ และผมเองก็มั่นใจมากสำหรับความมุ่งมั่น ความพร้อมด้านการเรียน ความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งดูๆแล้วเขาจะให้ส่วนนี้มีน้ำหนักมากในการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ ติดตรงการแต่งตัวนี่แหละครับ ด้านอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เกิดสงสัยตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งผมก็สามารถอธิบายได้ในรูปแบบและธรรมชาิติของผมให้ ท่านอาจารย์แกเข้าใจได้ ส่วนท่านจะเข้าใจว่าอย่างไรจริงๆก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ

สุดท้ายอาจารย์ท่านก็บอกว่าคะแนนสอบสัมภาษณ์นี้มีแค่ไม่กี่คะแนนซึ่งจะส่งผลน้อยมาก เพราะยังไงถ้าคนที่สอบข้อเขียนได้คะแนนเยอะ แต่สอบสัมภาษณ์ ก็ยังติดอยู่ในผู้ได้โอกาศอันดับต้นๆอยู่ดี ซึ่งพอได้ยินดังนี้แล้ว ความกังวลเล็กน้อยก็เกิดขึ้นมาว่า หมายความว่าถึงจะได้คะแนนสอบสัมภาษณ์เต็ม แต่สอบข้อเขียนน้อยก็ไม่ติด….สินะ

ไม่เป็นไรครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามดวงครับ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้แต่แรกแล้ว

22 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสัมภาษณ์ อีกแล้วครับ ผมผ่านมาได้อีกด่านอีกแล้ว คราวนี้จาก 48 คนลดเหลือ 38 คน ผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันตั้ง 10 คน แต่เท่าที่รู้ๆเขารับ 30 คนครับ ผมอยู่อันดับ 34 ซึ่งหมายความว่านั่นคือสำรองอันดับสี่ และมันหมายความว่าต้องมาคนสละสิทธิ์สี่คนผมถึงจะได้เข้าไปเรียน

ตอนนี้่ผมเองไม่มีข้อมูลอะไรแล้วครับ ไม่มีสถิติเก่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ลุ้นอย่างเดียว โดยขั้นตอนการสละสิทธิ์คืองานไม่โอนเงินเข้าไปในวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องลุ้นในวันสิ้นสุดการจ่ายเงินของตัวจริง

11 ธันวาคม 2553 โอกาสของตัวสำรอง แน่นอนครับว่าตัวสำรองทุกคนก็ต้องการเป็นตัวจริง แต่ในความจริงแล้วนั้น ไม่มีใครได้เป็นตัวจริงทั้งหมด ซึ่งโอกาสของผมช่างดูริบหรี่เสียจริง ผมโทรไปแถมที่คณะ ได้คำตอบมาว่า มีคนสละสิทธิ์แค่สองคน และดูเหมือนคนที่สำรองอยู่เขาจะเรียนด้วย นี่คือคำตอบที่ผมตีความมาจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ และยังมีทิ้งท้ายว่าจะรู้แน่ชัดอีกทีก็วันที่ 13 เย็นๆ…

14 ธันวาคม 2553 แน่นอนว่าผมเองชอบความแน่นอน ซึ่งความแน่นอนนั้นดูจะไม่แน่นอนตลอดเวลา ผมยังมีความหวังบนความสิ้นหวังในนาทีสุดท้าย ของวันที่ 14 เวลา บ่ายแก่ๆ รวบรวมสมาธิโทรไปถามว่าผมจะได้โอกาสนั้นหรือไม่ เหตุที่ผมต้องการคำตอบขนาดนี้ เพราะว่าผมต้องการสมาธิในการทำงาน แน่นอนช่วงนี้ผมติดงานอยู่ครับ และเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก ผมจำเป็นต้องตัดเรื่องกวนใจออกให้หมด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมกังวลใจจริงๆ

ผมโทรไปที่คณะ และได้คำตอบมาว่า ตัวสำรองใช้สิทธิ์เข้าเรียนกันหมดแล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็ตัดใจแล้วครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมคุยเรื่องทางเลือกอื่นๆเช่นมหาวิทยาลัยอื่นกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้อง ลองกันใหม่นะ

ผ่านไปไม่นานนัก มีโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์บ้าน ซึ่งปกติผมไม่ค่อยอยู่รับเท่าไหร่ น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยบอกให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาส ใช่ครับ อย่างที่ผมคิดจริงๆ ทาง ymba โทรมาบอกว่าผมได้สิทธิ์เรียนโดยมีข้อกำหนดว่าผมต้องจ่ายแคชเชียร์เชคก่อนเที่ยงวันที่ 15 หรือวันพรุ่งนี้ และผมก็ตอบตกลงในทันที แน่นอนว่าเรื่องเงินนั้นคุณพ่อผมเป็นคนจัดการให้ครับ ซึ่งท่านก็นำมาให้ในเย็นวันนั้นนั่นเอง

15 ธันวาคม 2553 ผมมามหาลัย พร้อมความกังวลเล็กน้อยครับ ว่าผมได้เรียนจริงๆหรอ มันดูเหมือนเรื่องโกหกยังไงไม่รู้ แต่มันก็ดูสนุกดี และผมก็โทรไปถามวิธีกับทางคณะอีกครั้งด้วยเหตุผลทางใจหลายๆอย่าง สุดท้ายก็เอาเชคไปจ่ายให้่ที่คณะพร้อมเซ็นชื่อครับ ตอนเซ็นก็เห็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายพอดี ที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณผู้สละสิทธิ์ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมไม่เสียเวลากังวลใจไปอีกหนึ่งปีครับ

หลังจากตอนเช้า ผมกลับมาทำงานต่อ และออกไปเรียนปรับพื้่นฐานอีกครั้งในเวลา 6 โมงเย็น สำหรับการเดินทางนั้นไม่ยุ่งยากนัก เพราะหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกเกษตรนั่นคือความสะดวกในการเดินทางจากทุกทิศทุกทาง และใกล้บ้านผมเป็นหลัก ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาทีครับ

พอไปถึงก็คนเต็มห้องเลยครับ รู้สึกว่าวันนี้จะเรียนรวมกันทุกสาขาเพราะเป็นการปรับพื้นฐานครับ แน่นอนว่าคนที่จบศิลปกรรมอย่างผมมานั้นคงต้องปรับกันเยอะเลย แต่ดูท่าเพื่อนๆในรุ่นจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วครับ ซึ่งผมคิดว่าดีครับ จะได้มีคนปรึกษาเยอะๆ และผมก็มั่นใจว่าผมก็มีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้อยู่เหมือนกัน

เรียนๆกันไปก็มีพักด้วย ผมเดินลงไปเจอกับชามก๋วยเตี๋ยวนับร้อยที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะรอให้นิสิตทุกท่านรับไปทานกันให้อิ่มหนำสำราญกาย สบายใจ ซึ่งเรื่องอาหารว่างนี่ผมก็ได้ยินมาจากเพื่อนบ่อยๆครับ แต่ที่ผมเห็นตรงหน้านี่มัน…เป็นมื้อหลักได้เลยทีเดียว วันนี้ผมกินบะหมี่ไปสองชามครับ จริงๆจะกินชามเดียว แต่พอดีว่างๆไม่มีอะไรทำ แล้วเห็นว่าทำมาเยอะ แต่คนมาน้อยก็เลยช่วยเขากินอีกชาม ก็อร่อยดีครับ

สุดท้ายนี้เรื่องเรียนคงให้เป็นเรื่องของอนาคตต่อไปครับ ส่วนจุดประสงค์ในการเรียนหรือการเลือกเรียนนั้นคงต้องอธิบายกันในตอนต่อๆไป ถ้ามีโอกาส

และสุดท้ายนี้ เรื่องทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่า ” ดวงดีช่วยผมได้ “

สวัสดีครับ