ชีวิตคือการลงทุน

หลังจากได้เรียนบริหาร ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนมากขึ้น และหลังจากที่ได้รู้จักกับพุทธศาสนา ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่ให้ผลเป็นสุขมากขึ้น

เป็นธรรมดาของการลงทุนที่จะมีผู้ร่วมลงทุน มีกิจการที่จะลงทุน แต่ก่อนผมก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ คิดว่าการลงทุนกับการมีครอบครัวจะให้ผลเป็นสุข เป็นบวก ได้กำไร ฯลฯ แต่เมื่อได้ศึกษามากขึ้นก็พบว่าการอยู่เป็นครอบครัวนั้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ส่วนมากเป็นทุกข์ โดยค่ารวม ๆ ติดลบ

ลงทุนในกรอบแคบ ๆ ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย เหมือนการเอาความหวังไปฝากไว้กับคู่รัก ลูกหลาน มันก็ต้องผิดหวัง ต้องทุกข์ ต้องหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

และใช่ว่าธุรกิจครอบครัวจะไปได้ดี การไว้ใจญาติ บางทีก็ให้ผลเสียอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่การจะใช้ชีวิตคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรเลือกหน่วยลงทุนที่ให้ความเจริญสูงสุด/เวลา คือเลือกกลุ่มที่ปฏิบัติดี พากันลดโลภ โกรธ หลง แล้วไปลงทุน ลงแรงร่วมกับเขา

ผมไม่เชื่อว่าถ้าผมยังดำเนินกิจกรรมไปตามโลก ไปเป็นพนักงาน หัวหน้า ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ฯลฯ แล้วผมจะรอดพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะจากที่ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด คนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จรุ่งเรืองใหญ่โต ก็ไม่เห็นจะพ้นทุกข์ เป็นสุขกันตรงไหน ดูเผิน ๆ เปลือกเขาก็สวยดี แต่ใส้ในก็ไม่เห็นน่าดูกันสักคน

ผมก็เลือกที่จะไม่เดินทางนั้น ก็เลือกมาดำเนินชีวิตทางธรรมดีกว่า ในเบื้องต้นเป็นฆราวาส(ผู้ครองเรือน) ก็มีอาชีพจิตอาสาให้ทำ เงินไม่ได้หรอก แต่เขาไม่ปล่อยให้อดตายแน่ ๆ และรับประกันได้ว่าจะมีงานทำตลอดชีวิต ไม่มีวันตกงาน งานฟรีมีให้ทำเยอะมาก เลือกสาขาได้ตามที่ถนัดเลย

แต่ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสของเราออกบางส่วนก่อนมันจะไม่คิดแบบนี้นะ มันจะมุ่งไปทางโลก แสวงหาวัตถุลาภยศมาบำเรอตัวเองอย่างเดียวเลย ถ้าให้มาทำจิตอาสาไม่มีเงินเดือนนี่มันไม่เอาเพราะมันไม่ได้เสพดั่งใจ ถ้าทำงานหาเงินนี่อยากได้อะไรก็ไปซื้อ แต่ถ้ามาใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี่มันต้องสังวรระวัง และต้องอดทนอดกลั่นต่อความอยากมาก มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ตรงนี้แหละมันเริ่มจะมีทิศทางไปสู่ความเจริญแล้ว เพราะเรากินน้อยใช้น้อย ทุนที่ลงไปก็ต่ำ เราทำงานมาก ทำดีมาก กำไรเราก็เยอะ รับรองว่าชีวิตทำงานฟรีกินใช้ไม่มีหมด ยังทำไม่ได้ชัด ๆ หรอกนะ แต่ดูจากครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างเอา ที่เหลือก็แค่ทำตามให้ได้

และตอนนี้ก็ทำไม่ได้เต็มตัวหรอก เป็นได้แค่ครึ่งตัว อีกครึ่งตัวก็ต้องให้เป็นไปตามวิบากกรรม แต่ผมเชื่อนะว่าการลงทุนทางธรรมนี่แหละคุ้มค่าที่สุด เอาปริญญาบริหารเป็นประกันเลยเอ้า…

[37] หลักการจ่ายตลาด

diary-0037-หลักการจ่ายตลาด

37. หลักการจ่ายตลาด

เวลาไปตลาด ผมจะมีกรอบความคิดในการจับจ่ายตามสิ่งที่คิดไว้ว่าจะศึกษา

ซึ่งก็อยู่ที่ว่าตอนนั้นอยากจะศึกษาอะไร หัวข้ออะไร ยกตัวอย่างเช่น ทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตโดยมีค่าอาหารน้อยที่สุดแต่มีพลังมากที่สุดโดยที่ยังต้องพึ่งพาการจ่ายตลาดอยู่ ซึ่งก็เป็นหัวข้อที่กำลังศึกษาในตอนนี้ ซึ่งต่อไปอาจจะเป็น การเลือกซื้อพืชผักที่สะอาดปลอดภัย หรือ การเลือกซือสินค้ากับร้านค้าที่มีศีลธรรม หรือ การงดเว้นจากการสนับสนุนร้านค้าที่ไม่มีศีลธรรม

แน่นอนว่าบางหัวข้ออาจจะทำควบคุ่กันไปได้ แต่บางหัวข้อก็ไม่ได้ เช่นถ้าตั้งกรอบหัวข้อที่กำลังจะศึกษาว่า การดำรงชีวิตโดยพึ่งพาเฉพาะผักในสวน มันก็จะไม่ได้ไปตลาด หรือถ้าบอกว่าจะเน้นของถูกได้ปริมาณมาก แต่มันก็อาจจะไม่ได้คุณภาพและความปลอดภัย

โดยหลักการรวม ๆ ของการจ่ายตลาด คือต้องประหยัด เรียบง่าย มีคุณค่า ปลอดภัย แต่มันก็อาจจะแกว่งไปขาด ๆ เกิน ๆ บ้างตามหัวข้อที่กำลังศึกษา

ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือการทำประโยชน์ให้ชีวิต เพราะการซื้อหรือการกินสิ่งใดโดยไม่พิจารณาก่อนนั้นว่ามีประโยชน์หรือเป็นโทษ ซื้อหรือกินตามความอยาก ตามความเคยชิน หรือตามใจคนอื่น ผมว่ามันไม่เจริญ อย่างน้อยเราก็เสียโอกาสในการได้ความรู้ไป แต่ส่วนมากจะเสียโอกาสให้กิเลสทั้งนั้น

ศึกษาเรื่องผี

วันนี้ลุยศึกษาเรื่องผีทั้งวัน

..ก็ศึกษาจากพันทิพเหมือนเดิม ตามที่เขาเล่ามา จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก็กลับมาตรวจสอบตัวเองนะว่า เออป่านนี้เราก็พัฒนาจากคนที่บาปมากๆ มาจนทุกวันนี้เชื่อว่าได้สร้างบุญชำระบาปไปพอสมควรแล้ว ผมมั่นใจว่าผมมีบุญและกุศล(ความดี) มากพอสมควรเชียวล่ะ

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีนี่จะมาขอส่วนบุญคนมีบุญ ผมก็มีเยอะนะ แต่จนทุกวันนี้ยังไม่มีมาเลย มีแต่คนที่ยังมีความเป็นผีนี่แหละ ที่มาขอวิธีทำบุญ (ชำระกิเลส) กับผม ก็ช่วยๆกันไปแบบเพื่อนร่วมหนทางธรรม

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมาขอส่วนบุญ จริงๆ ตามหลักพุทธนี่ เรามีกรรมเป็นของของตนนะ ไอ้บุญ กุศลอะไรนี่ก็เป็นสิทธิที่คนทำพึงได้ คนไม่ทำก็ไม่ได้ แล้วมันจะโอนกันยังไงหว่า นี่ผมก็ยังงงตรรกะนี้ ไม่รู้แนวคิดนี้มาจากไหนเหมือนกัน

ก็คนเขามักบอกกันว่า ต้องพกพระขลังๆ ผมนี่ไม่เคยพก ไม่เคยห้อยพระอะไรเลย และผมยังชัดเจนในใจว่า พระไหนจะยิ่งใหญ่สู้พระพุทธเจ้าอีก ไม่มีหรอกในโลกนี้ แค่พกความเป็นพุทธะไปก็พอแล้ว ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว ไม่ต้องไปหาให้มันเมื่อย ทำให้เกิดในตนนั่นแหละ เกิดมากเกิดน้อยก็แล้วแต่จะเพียรสร้าง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีที่มาหลอกนั้นคือวิญญาณที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผมเองก็มีวิญญาณเหมือนกัน ไม่เห็นมันจะแสดงอำนาจอะไรประหลาดๆ ถ้าตอนเป็นมันไม่มีอำนาจนั้น ตอนตายมันจะมีอำนาจนั้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือเรื่องผีไม่ใช่เรื่องอจินไตย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วเป็นบ้า ไม่มีวันจบสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีจุดจบ มีคำตอบ เพียงแต่ต้องศึกษากันอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมักจะมาหลอกตอนกลางคืน จริงมันก็ตลกดีตรงมีวันเวลาทำงานที่ชัดเจนขนาดนั้น ผมอ่านความเห็นนี้ก็มานั่งคิด ว่า เออ ทำไมมันต้องกลางคืน ทำไมต้องตอนนอน ทำไมต้องตอนกลัว …ผมเข้าใจสภาวะของจิตที่สติไม่ครบ เช่น ตอนง่วง หรือช่วงตอนตื่นนอน ผมมักจะใช้ช่วงเวลานั้นปรุงแต่งเรื่องบางเรื่องที่ต้องการศึกษาเพราะมันจะขยายได้มากกว่าปกติ นั่นเพราะไม่มีสติเป็นตัวจำกัด ดังนั้น “เรื่อง” จึงขยายได้ไม่มีจำกัด สภาพของจิตที่ตกร่องระหว่างจะหลับก็ไม่ใช่จะตื่นก็ไม่เชิงนี่แหละ ที่คนเขาว่ากันว่าเป็นภาวะของคนถูกผีอำ ซึ่งผมก็เห็นตามนั้นเพราะตอนนั้นปรุงอะไรมันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

ก็คนเขามักบอกกันว่า คนเห็นผีนั้นเป็นคนมีสัมผัสที่หก ผมยังเห็นว่าน่าจะเกิดจากอัตตามากกว่า เป็นอัตตาชนิดมโนมยอัตตา คือสร้างภาพขึ้นมาเอง ผมเข้าใจสภาพนี้เพราะมันสามารถปรุงมาได้ครบรสเลย คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เขาว่าเจอผมก็เคยเจอบ้าง แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเกิดเพราะอะไร มันมีเหตุจากอะไร จากสัญญาเก่าบ้าง มาเป็นนิมิตบ้าง หรือเป็นมโนมยอัตตาบ้าง อันนี้ต้องแยกให้ดี ผมเชื่อว่าถ้าผมยังเห็นผีอยู่ นั่นแหละผมยังมีกิเลสหนาที่ยังปั้นพลังงานสร้างผีขึ้นมาได้ ซึ่งเรียกว่าเสียของมากๆ แทนที่จะเอาพลังงานสร้างสิ่งที่มีประโยชน์กลับปั้นผีขึ้นมา จึงสรุปว่าคนเห็นผีนี่แหละยังเป็นคนที่มีภาระเยอะ วิบากกรรมก็เยอะเช่นกัน เพราะต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริงที่เป็นประโยชน์

….แต่ผมเองก็ยังไม่มีปัญญาพอจะอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ คือยังไม่มีปัญญารู้แจ้งเหตุทั้งหมดของการเกิด “ผี” ก็คงต้องอาศัยศึกษาจากผู้รู้กันต่อไป

จริงๆ ผีมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก กิเลสเรานี่ร้ายกว่าผีเยอะ ผีนี่อย่างเก่งก็ทำให้เรากลัว ให้เราทุกข์ แม้จะทำให้เราตายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันเป็นผลจากเหตุ แต่ถ้ากิเลสนี่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้ายังเลี้ยงกิเลสไว้อยู่ มันก็ยังเป็นตัวที่สร้างผีอยู่นั่นเอง

แนะนำ ไตรสิกขา

ในบทความนี้ก็จะมาแนะนำเพจไตรสิกขาที่ทำไว้กันเสียหน่อย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีบทความอะไรมากนัก แต่ก็มีบทความที่แก่นและแนวทางเขียนไว้แล้ว

ติดตามเนื้อหาได้ที่ เพจไตรสิกขา (facebook) หรือ บล็อก ไตรสิกขา (web)

ไตรสิกขา ปฐมบทไตรสิกขา ปฐมบท : บทความแรกของเพจไตรสิกขา เป็นภาพรวมของการปฏิบัติไตรสิกขาในบทบรรยายโดยไม่แจกแจงเนื้อหามากนัก ซึ่งจะสรุปเนื้อหาทั้งหมดให้พอเข้าใจในแนวทางปฏิบัติเสียก่อน

ไตรสิกขา การศึกษาอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เพื่อก้าวข้ามสามภพไตรสิกขา บทย่อ / บทขยาย : ในบทความนี้จะสร้างขึ้นประกอบภาพการ์ตูนเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายโดยใช้ธรรมะข้ออื่นๆเข้ามาประกอบในการตรวจสอบการปฏิบัติ ซึ่งในบทความนี้มีทั้งบทย่อที่อ่านได้ง่าย เพราะสรุปมาเป็นเนื้อหาสั้นๆ และบทขยายที่แจกแจงรายละเอียดของแต่ละข้อให้กระจ่างมากขึ้น

เริ่มต้นไตรสิกขาตั้งแต่วันนี้ด้วย อธิศีลอธิศีล : การเริ่มต้นศึกษาสามอย่างนั้นเริ่มที่อธิศีล  การมีศีลนั้นถือเป็นจุดตั้งต้นในการปฏิบัติ แต่การจะมีศีลได้นั้นจะต้องมีปัญญาที่เห็นว่าศีลนั้นดี ศีลนั้นประเสริฐ มาเป็นฐานเสียก่อน หากใจของเรานั้นยังไม่มีปัญญาเห็นประโยชน์ในการปฏิบัติศีล ก็เรียกได้ว่าผู้ที่ยังไม่พร้อมจะศึกษา ไตรสิกขา

ติดตามเนื้อหาอื่นๆได้ที่ เพจไตรสิกขา (facebook) หรือ บล็อก ไตรสิกขา (web)

Buddhism Vegetarian มังสวิรัติวิถีพุทธ

Buddhism Vegetarian มังสวิรัติวิถีพุทธ

Buddhism Vegetarian มังสวิรัติวิถีพุทธ

เชิญชวนกันอย่างเป็นทางการในบทความนี้ กับกลุ่มปฏิบัติธรรมที่ใช้แนวทางของการกินมังสวิรัติเข้ามาเป็นโจทย์ในการขัดเกลากิเลส ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เจอมาและพร้อมจะเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษาให้กับทุกท่าน

ในการเดินทางของชีวิต การจะเดินไปถึงเป้าหมายที่เรียกว่าความสุขแท้ได้นั้น ชาวพุทธจะเรียกวิธีการนั้นว่าปฏิบัติธรรม แต่ปัญหาที่หลายคนพบเจอคือจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ปฏิบัติธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมต้องเริ่มจากอะไร ปฏิบัติธรรมแล้วจะได้อะไร มรรคผลคืออะไร ทำไมปฏิบัติแล้วกลับไม่มีความสุข ไม่มีคำตอบให้ชีวิต นิสัยก็เหมือนเดิม ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น ยิ่งปฏิบัติยิ่งหดหู่ ยิ่งท้อถอย ยิ่งทำยิ่งหลง ยิ่งวน  ยิ่งสงสัย ยิ่งไม่มั่นใจ ยิ่งกลัว ยิ่งกังวล…แล้วก็ทุกข์เหมือนเดิม

เมื่อได้เห็นและพิจารณาดู จึงเห็นว่าควรแล้วที่จะนำความรู้ที่ได้ศึกษามานั้น มาแบ่งปันให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกท่าน ให้เป็นไปเพื่อความสุข เป็นไปเพื่อความดับกิเลส ยินดีที่จะไขทุกสภาวธรรมออกมาให้ศึกษากัน เรียนรู้กันทุกอย่างตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา เป็นลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก เพื่อให้ผู้มีบุญบารมีทุกฐานะได้ร่วมแบ่งปันและปฏิบัติธรรมในแนวทางนี้

การปฏิบัติที่ผมจะนำมาเสนอนั้นไม่ใช่แนวทางใหม่ เป็นเพียงการจับกิเลสตัวหนึ่งออกมาให้ทุกท่านได้ทดลองปฏิบัติธรรมเพื่อทำลายกิเลสตัวนี้ดู เพราะหากว่าใครที่สามารถเข้าใจกระบวนการฆ่ากิเลสนี้ได้แล้ว เขาจะสามารถนำความรู้ความเข้าใจนี้ไปทำลายกิเลสตัวอื่นๆที่ตนยังติดยังยึดอยู่ได้

การกินมังสวิรัติของกลุ่มนั้นไม่ใช่การกินเพื่อให้ดูสวยงามหรือเพื่อให้ดูดี แต่เปรียบได้กับสงครามที่ต้องสู้รบกับกิเลส มีทั้งซากศพ ความแพ้พ่าย หยาดเหงื่อ และน้ำตาของผู้ที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสมามากมายในสมรภูมินี้

จึงขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการพบกับความผาสุกของชีวิต และยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติธรรมอย่างไรให้เกิดมรรคผล ได้เข้ามาลองร่วมกลุ่ม เพื่อเป็นพลังพลักดันและขับเคลื่อนด้วยมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สร้างสังคมที่พากันลดกิเลส พากันทำลายกิเลส เป็นไปเพื่อการดับกิเลส

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

ปลูกป่าลุยนา

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา  ซึ่งจัดโดยทีวีบูรพา อีกครั้งหลังจากไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมแบบเดินทางไปต่างจังหวัดมานาน

สำหรับกิจกรรมในตอนนี้ก็มีชื่อว่า “หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ” ครับ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดมาหลายครั้งแล้ว แต่ผมเองก็ไม่ว่างไปสักทีเพราะว่าส่วนใหญ่มักจะชนกับกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย ไม่ก็ติดสอบก็เลยไปไม่ได้สักที

เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา
เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา

มาคราวนี้มีโอกาสได้ไปแล้ว ก็ยินดีมากๆสำหรับการได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในครั้งนี้ สำหรับรูปก็สามารถหาชมได้ในเฟสบุคของ เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา ได้เลยครับ หรือกดลิงก์ จากรูปภาพด้านบนได้ครับ

สำหรับตอนนี้ก็จะมาเขียนหัวเรื่องทิ้งไว้ก่อนเพราะว่า จากที่คิดๆแล้วน่าจะมีหลายประเด็นหลายตอนที่ผมเก็บเกี่ยวมาได้ซึ่งมีส่วนหนึ่งหรือหลายๆส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับการที่ผมได้ไปศึกษาจาก สวนลุงนิล จากกิจกรรม ฅนคอเดียวกันสัญจร วิถีแห่งความพอเพียง กับ ลุงนิลคนของความสุข ที่ผมได้เคยไปมาเมื่อ 3 ปีก่อน สำหรับบทความของกิจกรรมคราวนี้ขอเวลาสักครู่ใหญ่ๆในการเรียบเรียงทุกอย่างออกมานะครับ

ยังไงก็อยากจะฝากบทความเก่าๆ ซึ่งผมได้พิมพ์ประสบการณ์และเรื่องราวที่เก็บเกี่ยวไว้ได้จากสวนลุงนิล ในบทความ : วิถีแห่งความพอเพียง กับ ลุงนิลคนของความสุข ด้วยครับ