พุดโถ่ พุดถัง เขาจะกินเนื้อสัตว์กันมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าเราจะแบ่งความเห็นออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ยินดีในการเบียดเบียน อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ยินดีในการเบียดเบียน

เชื่อไหมว่าน้ำหนัก หรือปริมาณของคนที่จะตกไปในกลุ่มแรกนั้นมีมากมายมหาศาล ตั้งแต่คนเลี้ยงสัตว์ คนฆ่าสัตว์ คนขายเนื้อสัตว์ คนกินเนื้อสัตว์ ยืนสนับสนุนความเห็นของกันและกัน แต่ละคนก็ต่างอ้างว่าตนถูก ตามเหตุและผลประโยชน์ของตน

คนที่กินเนื้อสัตว์เขาจะออกไปยืนฝ่ายตรงข้ามกับคนเลี้ยง คนฆ่า คนขายไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นหุ้นส่วนกัน

ส่วนคนที่ไม่ยินดีในการเบียดเบียนเขาก็จะหาวิธีลดละเลิกการเบียดเบียน ไปสู่การไม่กิน ไม่ฆ่า ไม่ส่งเสริมให้เลี้ยง ฆ่า ขาย ซื้อ ไม่ยินดีในการเลี้ยง ฆ่า ขาย ซื้อ

…พุทธในไทยทุกวันนี้เรียกได้ว่าแทบอวสานไปแล้ว ชื่อน่ะเป็นพุทธเหมือนเดิม แต่เนื้อแท้หายไปแล้ว เหมือนร่างกายที่มีเซลล์ แต่เซลล์เหล่านั้นกลายเป็นเซลล์มะเร็งไปหมดแล้ว พร้อมที่จะกัดกินและทำลายเนื้อดีและชีวิตอย่างต่อเนื่อง

ทั้ง ๆ ที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่เบียดเบียด เมื่อธรรมนั้นเผยแพร่ไปที่ไหน การฆ่า การขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเนื้อสัตว์ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นในแผ่นดินพุทธ การจะหาเนื้อสัตว์กิน จึงเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะต้องรอมันตายของมันเอง และนาน ๆ มันจะตายสักที

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนกลับไม่เหมือน สิ่งที่ดูใช่กลับไม่ใช่ เพราะธรรมกลายเป็นอธรรม ผู้ไม่เบียดเบียน กลายเป็นผู้เบียดเบียน แม้ปากจะพูดสอนธรรมมากสักเพียงใด แต่ถ้ากาย วาจา ใจ ยังไม่ยินดีในความเมตตา ความกรุณา ความไม่เบียดเบียนกัน ยังไม่เลิกสนับสนุนธรรมที่พาเบียดเบียน ก็ยากจะเข้าถึงความผาสุกที่แท้จริงได้

man desire challenge | single mom

การท้าทายของกิเลสชาย

หนึ่งในภารกิจท้าทายของชายผู้อุดมไปด้วยกิเลสก็คือ การเอาชนะใจผู้หญิงนี่แหละ ถ้าเขาไม่มักมากในกาม ไม่หลงตัวหลงตน เขาจะไม่มีวันเอาชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งมาผูกไว้หรอก

โดยหลักการก็ไม่ซับซ้อน คือการเอาชนะกายชนะใจ ทำให้ผู้หญิงยอมให้ตนแบบสุด ๆ โดยสรุปคือใช้ผู้หญิงเป็นสิ่งบำเรอกิเลสตน ส่วนกิเลสนั้นจะไปถึงขั้นไหนก็แล้วแต่เขา

จะยกตัวอย่างกันที่เห็นภาพได้ชัดคือ การเอาชนะโดยการทำให้ผู้หญิงยอมมีลูกให้ เหมือนเขาได้ไปปักธงชัยที่ยอดเขาที่หมายมั่นไว้ เมื่อปักแล้วก็หมดค่าที่จะขึ้นไปอีก ผู้ชายหลายคนก็เป็นเช่นนี้ เมื่อทำให้เธอยอมถึงขนาดมีลูกให้ ก็หมดความสนใจ เพราะเป้าหมายที่เคยท้าทาย เขาได้เอาชนะไปหมดแล้ว พอชนะไปหมด เขาก็ไปหาสิ่งท้าทายใหม่ ที่เขาเข้าใจว่าจะมาสร้างคุณค่าให้ตัวเขา (สนองอัตตา) เช่น ไปมีกิ๊ก มีชู้ มีเมียน้อย มีเมียใหม่ ฯลฯ

ผลที่ได้คือ ได้แม่เลี้ยงเดี่ยว ( single mom ) ที่ร่างกายและจิตใจบาดเจ็บมา ก็มีทางเลือกสองทางคือจะเดินออกมาอย่างแข็งแกร่งหรืออยู่ต่อไปเพื่อแลกผลประโยชน์

ในกรณีเดินออกมาเลี้ยงเดี่ยวก็ไม่มีอะไรมาก ก็ใช้ชีวิตกันไปตามประสาแม่ลูก

แต่ในกรณียังอยู่ในสภาพครอบครัวเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ความท้าทายของชายจะยังคงดำเนินต่อไป คือ ฉันทำชั่วขนาดนี้ เธอก็ยังคงต้องยอมฉันอยู่ดีนั่นแหละ ขาดฉันไปเธอก็อยู่ไม่ได้หรอก ฯลฯ นี่คือการเสพอำนาจ แม้ทำชั่ว นอกใจนอกกาย ก็ยังมีอำนาจ มีความสามารถในการควบคุม บงการชีวิต ทุกข์ สุข ของผู้อื่นได้อยู่ ฯลฯ

…จะขอให้ความเห็นส่วนตัวในกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยว ว่า การไม่มีสามีมาทำหน้าที่พ่อของลูกนั้น ไม่ได้มีผลเสียต่อสติปัญญา พัฒนาการ นิสัย หรือความดีของลูก …คนเรามีกรรมเป็นของของตน คนจะดี เกิดมาไม่มีพ่อมีแม่ก็ดีได้ ส่วนคนไม่ดี ถึงจะมีพ่อแม่ครบพร้อม สอนเช้าสอนเย็น ก็เลวได้

ความท้าทายของชายยังมีลีลาที่หลากหลายอีกมากมายตามมิติของกิเลสของเขาและความจัดจ้านในกามโลกีย์ในปัจจุบันสังเคราะห์กัน

หนึ่งในความท้าทายที่ชั่วเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือการหลอกให้ผู้หญิงหลงในตัวเขา ให้พึ่งพาเขา ให้เชื่อมั่นในเขา ให้รักเขาตลอดไป หรือที่เรียกกันว่ารักแท้ รักนิรันดร์ นั่นแหละ ชั่วร้ายลึกจริง ๆ แม้ว่าเขาเปรียบกันว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” ผมว่ามันยังไม่พอ เพราะความรักนี่มันทำให้ยิ่งกว่าตาบอด ตาบอดมองไม่เห็นมันก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก แต่ความรักนี่มันทำให้ตาเข ตาเพี้ยน ทำให้หลงว่าตาตัวเองชัด ทั้งที่มันบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว ดังประโยคที่ว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”

อเทวนิยม

พุทธไม่ใช่ลัทธิบูชาเทพ,เทวดา
แต่มุ่งสร้างตนเองให้มีจิตดังเทพ,เทวดา จนถึงขั้นเหนือไปกว่านั้น
และไม่ได้สร้างภาพว่าตนเป็นดังเทพ,เทวดา
แล้วไม่ยึดหรือสำคัญว่าตนนี้คือเทพ, เทวดา, ผู้วิเศษ, คนสำคัญ …ฯลฯ ที่คนต้องมาเคารพ กราบไหว้ บูชา

รักจะดี เพราะมีศีล

พูดไปใครจะเชื่อ ว่าไปคบหากับคนไม่มีศีลแล้วมันจะทุกข์ มันต้องโดนกับตัวเองน่ะถึงรู้

เอาแค่ไม่มีศีล ๕ นี่ก็ทุกข์จนถึงตายได้เลยนะ ถ้าไม่มีศีลข้อ ๑ เขาก็ทำร้ายคุณ ฆ่าคุณได้ ทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๒ เขาก็เอาเปรียบคุณ เบียดเบียนคุณ ขโมยของรักของคุณด้วยการล่อลวงของเขา เอาแบบไหนดี แบบรักษามาทั้งชีวิตแล้วเขาชิงไปหมด เอาไปย่ำยีขยี้จนหมด มันจะทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๓ อันนี้ล่ะเจ็บปวด คนที่ทำร้ายกันได้เจ็บปวดที่สุดก็คือคนรักกันนี่แหละ สร้างภพ สร้างสวรรค์ขึ้นมา ก็หลงอยู่กับสวรรค์ สุดท้ายเขาเอาเท้าถีบพังทิ้ง เช่น คบหากันมาสิบปี อยู่ ๆ มาเฉลยว่ามีเมียอยู่แล้ว หรือไม่ก็พาคนใหม่เข้ามา แล้วก็ถีบคุณออกไป มันทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๔ นี่ไปกันใหญ่ พางงกันไปหมด ความลวงกลายเป็นความจริง ความจริงไม่ถูกเปิดเผย ลับลวงพราง มีคู่อยู่แล้วก็บอกว่าโสด คบเล่น ๆ ก็บอกว่าคบจริง ๆ พอมารู้ความจริง จะทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๕ นี่กู่ไม่กลับเลย พาเมา พาหลง ชีวิตเหมือนติดบ่วง ต้องเสียเวลา เสียสุขภาพ เสียทรัพย์ เสีย…ฯลฯ ไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องไร้สาระ เรื่องที่ไม่พาให้เกิดความเจริญ เรื่องอบายมุขทั้งหลาย

…นี่ถ้ามีศีล ๕ ก็พ้นทุกข์ไปเยอะแล้ว ถ้าศีล ๘ ศีล ๑๐ นี่ยิ่งหาทุกข์ยากใหญ่เลย คนเรานี่ก็แปลก ชอบทิ้งศีลไปหานรก ชอบแบบทุกข์มาก ไม่อยากทุกข์น้อย พอวันหนึ่งสวรรค์ล่ม ทุกข์มันชนเข้าจริง ๆ มันจะไหวไหมล่ะนั่น?

…คนมีศีลไม่มีศีลนี่ต้องดูกันนาน ๆ คนเราก็มีมารยา มารยาท สร้างภาพ อดทนอดกลั้น จนกระทั่งตอแหลทำให้ดูดีกันได้ บางคนเขาอดทนสร้างภาพมาเป็นสิบสิบปีเลยนะ จะประมาทไม่ได้ ถ้าอยากได้รักดี ๆ ต้องดูกันไป ทำความรู้จักกันไป สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี ….นาน ๆ นั่นแหละ มันจะเห็นความชั่ว ความทุกข์ ที่เกิดจากคนไม่มีศีลหรือคนผิดศีลเอง

ก็ศึกษาจากเรื่องราวในสังคมก็ได้ คนไม่มีศีลคนหนึ่งได้รับผลกรรม เดือดร้อนกันไปหมด เรียกว่าฉิบหายวายวอดเลยก็ว่าได้ ความส่งความสุขนี่ไม่ต้องถามถึง เอาเป็นว่าจะทุกข์ไปถึงเมื่อไหร่ มันไม่พ้นง่าย ๆ หรอก มันจะเป็นตราบาปแปะไว้จนกว่าจะสารภาพทั้งหมดนั่นแหละ คายออกมาทั้งหมดไอ้ที่ทำผิดไว้ แล้วแก้กลับซะ ภาษาพระ เขาว่า ปลงอาบัติ

แต่ก็ยากจะให้คนที่ผิดศีลหรือคนที่ไม่มีศีล ยอมรับผิดแบบกระจ่างแจ้งในบาปที่ตนก่อ ถ้าจะรับก็รับได้แค่ตามมารยาท ได้แค่ลีลา ท่าที แต่จะให้ถึงใจนั้นยากยิ่ง เมื่อใจที่เป็นประธานของการผิดศีลไม่ได้ถูกแก้ เมื่อเหตุไม่ได้ถูกแก้ ผลนั้นก็จะเกิดต่อไปเรื่อย ๆ ชาติแล้วชาติเล่า ชาติต่อไป ครั้งต่อไป รอบต่อไป ไม่จบไม่สิ้น

พิธีที่ทำแล้วมีผลเป็นสัมมาทิฏฐิ

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมคนเขาถึงกล้าเต้นแร้งเต้นกา เต้นรำกัน ทั้ง ๆ ที่ชีวิตปกติเขาเขาไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ได้มีอาชีพแบบนั้น

จะยกตัวอย่างงานบวชนี่แหละ ภาพชัด ถ้าเป็นชุมชนต่างจังหวัด เมื่อมีงานบวชเราก็จะได้ยินเสียงเพลงดังลั่นหมู่บ้าน ดังไปตามถนน มีคนแห่ คนโห่ มีสิบล้อก็ขึ้นไปเต้นกันบนสิบล้อ เต้นโชว์คนที่ขับรถไปมาตามถนน

ถามว่าชีวิตปกติคนส่วนใหญ่เขากล้าทำอย่างนั้นกันไหม กล้าแสดงออกอย่างนั้นกันไหม ต่อให้เปิดเพลงปลุกใจให้เลย เขาจะแสดงท่าทีอย่างนั้นกันออกไหม?

มันไม่ได้หรอก มันเต้นไม่ออก มันแสดงไม่ออก มันต้องมีองค์ประกอบของกิเลสที่สุกงอม ท่ามันถึงจะออก

ในองค์ประกอบของสัมมาทิฎฐิ ถูกแยกย่อยเป็น ๑๐ ข้อ ในข้อ ๒ ว่าด้วย ยัญพิธีที่บูชาแล้วมีผล คำว่าบูชาแล้วก็คือทำแล้ว มีผลก็คือมีผลเพื่อการลด ละ เลิกการหลงมัวเมาในกิเลส ในความโลภ โกรธ หลง ในกามและอัตตา ถ้าปฏิบัติตามพิธีใด ๆ แล้วมีผลไปในทางนี้ถือว่าสัมมาทิฏฐิ

แต่งานบวชในปัจจุบันนั้นมีทิศทางไปตรงกันข้าม ถ้าพุทธะพาไปหาสุข หาสวรรค์ ทางที่ส่วนมากทำอยู่ในปัจจุบันก็คือทางไปนรก เพราะพิธีที่เขาทำนั้น ไม่ได้มีผลในการลดกิเลสของหมู่ชนเลย แถมยังเป็นงานพิธี ที่เพิ่มอัตราเร่งของกามและอัตตาคนที่ร่วมงานอีก

เริ่มต้นก็บ้องกัญชาแล้ว เหลาต่อไปมันก็ไม่กลับเป็นกระบอกไม้ไผ่หรอก เพราะสัมมาทิฏฐิ นั้นเป็นประธาน เมื่อเข้าใจผิด มีความเห็นผิด มรรคข้ออื่นก็จะปฏิบัติผิดทั้งหมด งานที่จัดขึ้นมา พาให้คนหลงผิด ผู้จัดก็ต้องรับวิบาก(ผล) นั้นด้วย นั่นคือตนเองก็ต้องหลงมัวเมาจากความผิดที่ตัวเองก่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะหยุดทำสิ่งที่ผิด

และที่สำคัญมันจะเห็นผิดจัดขนาดที่ว่ามันกลายเป็นแบบนั้นโดยสมบูรณ์โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะเชื่อแบบผิด ๆ ไปแล้วว่าสิ่งที่ตนหรือพวกตนได้ทำนั้นคือสิ่งที่ดี แม้มันจะเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ทนโท่ก็ตาม

เรียกว่าสภาพ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นั่นเอง

งานบวช คะนองกาม คำรามอัตตา

ช่วงหลังมานี่ก็ได้เห็นข่าว เห็นสื่อเกี่ยวกับงานบวชที่เรียกว่าออกทะเลไปไกล

ไกล คือไกลพุทธะ เพราะไปทางกิเลสเสียเป็นส่วนใหญ่ จากที่ดูประมาณ 99 % นี่ไม่มีอะไรเป็นไปทางลดกิเลสเลย คือเขาจะบวชเพื่ออะไรก็ไม่ทราบได้ แต่การบวชในพระพุทธศาสนาคือการลดกามลดอัตตา

ทีนี้เขาบวชมันก็ดีกับตัวเขา แต่กลายเป็นว่าการจัดงานบวชนี่มันเละเทะเลย เรียกว่ากามก็จัด อัตตาก็แรง

กามจัดคืออะไร ก็กิน เสพ แต่งตัวกันอย่างจัดจ้าน แสดงท่าทีลีลา ยั่วย้อมมอมเมาสารพัด ดังที่ปรากฏในหลาย ๆ คลิปที่เห็นมาในช่วงหลายปี

อัตตาแรงคืออะไร ก็พอจัดงานบวช กลายเป็นงานบาป เหมือนผีเข้าสิง ความเก่ง ความกร่างมันก็โผล่มา ว่าข้านี่เป็นดั่งเทพ
ข้าเป็นคนพิเศษ มีกำลังที่จะบงการ จัดการ สิ่งใด ๆ ได้ทั้งหมด

…ตัวอย่างที่ผมเจอวันนี้เลย คือเจอขบวนบวชนาค ยาวเหยียด ที่ขับรถช้า ๆ ไปตามถนนที่มีแค่ 2 เลน สวนกัน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเกรงใจนะ เขาก็ขับกันคับถนนนั่นแหละ ไม่ได้ชิดซ้ายอะไร แถมยังขับช้า ๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะขับช้าไปเพื่ออะไร ขับรถไปถึงวัดก็บวช ก็จบแล้ว แต่ดู ๆ ไป ก็จะไปทางบันเทิงเสียมากกว่า ดีไม่ดีจะอวดชาวบ้านเสียด้วยซ้ำว่าข้ามี ข้าเป็น ฯลฯ

นี่แค่กำลังจะบวชก็เบียดเบียนชาวบ้านแล้ว เอาจริง ๆ ประเพณีมันก็เพี้ยนมามากแล้ว มันไปทางกามทางอัตตาคนนี่แหละ จะเจริญก็เพราะคน จะเสื่อมก็เพราะคน

ยิ่งข่าวที่ออกมาช่วงนี้อีก คือ ไปงานบวชเขา แล้วชุมชนข้างเคียงเขาเตือนมา เพราะว่ามันรบกวน กลุ่มนี้ก็ทำตัวกร่างเข้าไปทำร้ายเขา ลวนลามเขา

ปัญหาคือการคบคนพาลนี่แหละ การคบคนพาลอยู่ในธรรม หมวดอบายมุข ๖ และมงคล ๓๘ พระพุทธเจ้าให้ดำรงชีวิตห่างไกลคนพาล ใครยังยินดีคบคนพาลเป็นมิตรจิตก็ยังจมอยู่ในอบายมุข

พอมีการจัดงานอะไร พอเพื่อน มิตร สหาย ที่เป็นคนพาลมารวมกัน เขาก็จะพากันทำสิ่งที่ไร้สาระ เบียดเบียน สร้างความลำบากให้ผู้อื่นและตัวของเขาเองเป็นธรรมดา ด้วยเหตุแห่งความมักมากในกามและความมัวเมาในอัตตาตัวตนของเขานั่นเอง

ดังนั้นชีวิตก็ควรคบคนดีเป็นมิตร คบบัณฑิต(ผู้มีธรรม) ชีวิตก็จะผาสุก ถึงจะจัดงานบวช แต่ถ้ามีบัณฑิตเป็นผู้นำ งานบวชก็จะเป็นไปโดยสงบ เป็นรูปแบบการจัดงานเหมือนกัน แต่จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันคนละโลกกับงานบวชที่รวมคนพาลไว้ด้วยกัน

ไก่ออกไข่

กว่ามันจะออกไข่ได้ ต้องทนทรมานมาก แต่คนก็ไปหยิบแย่งผลผลิตของเขามาเฉย ๆ นั่นแหละ แล้วก็เอามาซื้อขายกัน ก็รับซื้อของโจรกันไป

คนนี่ก็แปลก สัตว์มันก็หากินเองได้ตามธรรมชาติ ก็ไปจับมันมา “เลี้ยง” แล้วก็หาผลประโยชน์จากมัน คำว่าเลี้ยงนี่มันดูเหมือนเป็น”คุณ” แต่จริง ๆ มันเป็น”โทษ“ต่อสัตว์ นอกจากแย่งของเขา กักขังเขา ขายเขา สุดท้ายยังฆ่าเขากินอีก บาปทุกขั้นตอน

…คลิปไก่ออกไข่ที่เคยแนบไว้มันถูกลบไปแล้ว ก็ลองไปค้นหาดูกันเองนะครับ

รัก 100 ทุกข์ 100

รัก 100 ทุกข์ 100
รัก 1 ทุกข์ 1
รัก 0 ทุกข์ 0

ไม่รักก็ไม่มีทุกข์เลย …
พึงรักษาความโสด ดุจเกลือรักษาความเค็ม ! :)

จิตที่ยินดีในความโสด หมายถึงความยินดีที่ไม่ต้องเอาวัตถุสิ่งของ ลาภสักการะ บุคคลหรือบริวารใด ๆ มาบำเรอตน

คนที่ไม่ยินดีในความโสด จะแสดงอาการอยากกระหาย แสวงหา ล่อลวง ตลบตะแลง ใช้อำนาจ วาสนา บารมี ที่ตนมี เพื่อให้ได้มาซึ่งกาม หรือสิ่งสนองอัตตา มาเพื่อเสพสมใจ

ความยินดีในความโสด คือความยินดี พอใจ พอเพียง ตามที่ตนมี ตามที่ตนได้

ความไม่ยินดีในความโสด คือความไม่พอเพียง คือความโลภ คือตัณหา ต้องหา”บางสิ่ง” ตามที่ตนยึดมั่นถือมั่น มาเติมเต็มตนเอง

คนโสดพุทธะ คือคนเต็มคน ไม่ขาดไม่พร่อง จะอยู่คนเดียวก็ไม่ทุกข์ อยู่หลายคนก็ไม่ทุกข์

คนโสดไสยะ คือคนพร่อง ๆ แหว่ง ๆ ต้องหามาเติมร่ำไป ไม่เคยพอ ไม่พอใจ น้อยใจ เว้าใจ แหว่งใจเมื่อต้องอยู่คนเดียว อึดอัดขัดข้องใจเมื่อเห็นคนอื่นเขาเคียงคู่กัน

เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่า ช่วยเขา

(โศลก : พ่อครูสมณะโพธิรักษ์)

ผมนี่ซึ้งกับประโยคนี้จริง ๆ เพราะเป็นประโยคที่อธิบายชั่วในดี ที่แอบแฝง ซ่อนเร้น มารยา ตอแหล ฯลฯ ได้อย่างดี

เป็นภาวะของเทวดาเก๊ที่สร้างภาพขึ้นมาว่าจะช่วยเขา แต่ที่จริงตัวเองแอบเสพสุขอยู่ หรือสร้างองค์ประกอบขึ้นมาลวง ๆ ให้ดูเหมือนว่าตัวเองกำลังช่วยเขา แต่ที่จริงมีวาระซ่อนเร้นอยู่

เหมือนคนสูบบุหรี่แล้วอ้างว่าเอาภาษีไปช่วยชาติ แต่จริง ๆ ตนเองนั่นแหละอยากสูบบุหรี่

เหมือนคนที่ซื้อหวยแล้วบอกว่าเอาไปพัฒนาชาติ แต่จริง ตนเองโลภมากอยากลงทุนน้อยได้เงินมาก อยากถูกรางวัล

เหมือนคนที่หาเรื่องมากมายเพื่อที่จะมาปรึกษา พูดคุย แนะนำกับคู่ตรงข้าม แต่จริง ๆ ก็แอบชอบเขา

เหมือนคนที่สอนธรรมคนอื่น แต่จริง ๆ แอบเสพสุขที่มีคนยกย่อง ชื่นชม ศรัทธาตนเอง

เหมือนคนที่บวชมาในพุทธศาสนา ปากก็บอกว่าต้องการจะสืบสานศาสนา แต่มุ่งหน้ากอบโกยลาภสักการะและบริวาร

ถ้าจะเอาให้เหมือนจริง ๆ ก็นักการเมืองที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยการ ทำเหมือนว่าจะทำเพื่อประชาชนนั่นแหละ

…ตามความเข้าใจของผม ที่พ่อครูว่า “เลวที่สุด” เพราะมันมีสภาพชั่วเชิงซ้อน คือชั่วแล้วชั่วอีก หมายถึงที่จะทำมันก็ชั่วพออยู่แล้ว ยังจะไปหลอกคนอื่นว่าชั่วที่ตนทำนั้นมันดีเสียอีก

ไอ้ชั่วซับซ้อนแบบนี้นี่มันแก้ยาก แกะยาก อธิบายยาก เข้าใจยาก รู้ได้ยาก เพราะมันซ่อนไว้ในดี เวลาคนดีไปแตะเขาจะโดนกระแทกกลับมา เพราะมันไม่ใช่ชั่วตรง ๆ มันมีเกราะแห่งความดีตอแหลป้องกันอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นชั่วที่หนักหนามาก ปราบได้ยาก ทำลายได้ยาก ความชั่วที่ทำลายได้ยาก ชำระได้ยาก แก้ได้ยาก ก็ย่อมเป็นความเลวที่สุดเป็นธรรมดา

จริง ๆ มันก็มีภาวะลึก ๆ อีก แต่จะไม่ลงรายละเอียด เอาเป็นว่าใครสนใจก็ตามไปศึกษาหัวข้อธรรม เมถุนสังโยค ข้อ 7 กันต่อได้เลย

คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด

ชีวิตมันยากเพราะมันโง่มาเยอะ ที่ชีวิตมันยากลำบากก็เพราะต้องมารับผลกรรมชั่วที่เกิดจากความโง่ที่เคยทำมานี่แหละ

ความโง่ หรือเรียกให้ดูสุภาพตรงจริตบางท่าน ก็คือมีอวิชชาเข้าครอบงำ (จริง ๆ มันก็ครอบมาตั้งแต่ชาติไหนแล้วก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ มันแก้อดีตไม่ได้)

ความโง่อันหนึ่งที่ทำร้ายชีวิต ทำลายเวลาอย่างหาประโยชน์แทบไม่ได้คือการคบคนพาล ซึ่งผมเองก็เคยเจอมาในชาตินี้เช่นกัน

สมัยศึกษาธรรมะใหม่ ๆ ก็ศึกษาไปมั่ว ๆ จนมาเจอของที่ปฏิบัติได้ผลจริง สุดท้ายไอ้ที่ศึกษามาก่อนหน้านั้น กว่าจะล้างสัญญาที่เรียนรู้และศึกษามาผิด ๆ ต้องใช้เวลาอยู่หลายปี แน่นอนว่ายังมีวิบากกรรมซ้อนทบไปอีก จากการที่เราหลงไปศรัทธาคนผิดในชาตินี้ ก็ต้องยอมไปรับในอนาคตต่อไป

ดังนั้นผมจึงไม่บังอาจไปแนะนำ เสนอแนะ หรือสอนใครที่เรียนมาต่างกัน สัญญาต่างกัน ความเห็นต่างกัน ฯลฯ เพราะมันยากที่เขาจะเข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร เพราะเขาเชื่ออย่างนั้น จำอย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้น แล้วบางทีเขามาหลงตีความว่าเราเข้าใจอย่างเขาอีก ถ้าไม่จำเป็นก็คงจะไม่สนทนาเพราะมันต้องใช้เวลามาก แถมยากอีกด้วย การจะล้างความเห็นผิดของตัวเองว่ายากแล้ว จะไปล้างคนอื่นนี่ยากกว่า ยิ่งถ้าเขาไม่ยอมด้วยก็เลิกเลย ไม่ต้องคิด พวกโต้วาทะ ดีเบทอะไรนี่ ไม่เอาด้วยหรอก เสียเวลา

ถ้าถามว่าเห็นใจไหม มันก็เห็นใจเขา เราก็เคยเป็นมา แต่มันก็สุดมือเอื้อม แถมเขาก็ไม่ได้ร้องขอให้เราทำสักหน่อย ถ้าเป็นแบบตั้งใจ แสวงหาทางพ้นทุกข์กันจริง ๆ ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ทุกวินาทีที่ยังคบคนพาล ยังเอาอสัตบุรุษเป็นที่พึ่ง มันก็จะสร้างความหลงไปเรื่อย ๆ เพราะเอาคนพาลเป็นอาจารย์ หลงว่าเป็นมิตรดี มันก็จะปักใจเชื่อ ทำใจตามคำสอนผิดเหล่านั้นแหละ ส่วนมากเป็นไปในทิศทางของกิเลส ซ่อนในวาทะสวยงามเหมือนลูกอมหวาน สอดไส้ยาพิษ

ดีไม่ดี หนีข้างนอกมาเจอในหมู่คนปฏิบัติดีนี่แหละ ก็แทรกตัวอยู่ เป็นเหมือนเนื้อร้าย เป็นมะเร็ง คบกันมากันไป กลายเป็นทิศทางนรก ธรรมะกลับหัวกลับหาง ไม่มีธรรมก็แสร้งว่ามีธรรม ไม่มุ่งขัดเกลาตนเอง แต่มุ่งแต่เรื่องคนอื่น เสแสร้ง ส่อเสียด ยุคนนั้นทะเลาะคนนี้ ยุให้คนมีจิตที่ไม่ดีต่อกัน ไม่ศรัทธากัน เพ่งโทษกัน คนแบบนี้คบไปมีแต่เสีย เหมือนพ้นนรกข้างนอกแล้วก็มาเจอนรกข้างในต่อ

ลักษณะหนึ่งของคนพาล คือ มักจะทำให้เราไขว้เขว ไม่ปฏิบัติที่ใจตนเอง ไม่น้อมเข้ามาในใจ ไม่ทำใจในใจ มักจะมุ่งเน้นองค์ประกอบข้างนอก ไม่ลงไปถึงกิเลส ตัณหา อุปาทาน แต่จะสนใจแค่เหตุการณ์ผิว ๆ พื้น ๆ เท่านั้น

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง คนพาลจะแก้ปัญหานอกตัว ไม่แก้ปัญหาที่ตัวเอง ซ้ำยังโทษผู้อื่น หาโทษผู้อื่น(เพื่อยกตน ข่ม ดูถูก โยนปัญหา ฯลฯ) เพื่อสนองกิเลสตน

ถ้าคุณได้ลองพบกับ “คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง” คุณจะรู้ได้เลยว่านี่แหละคนพาล แถมคนพาลยังมีกำลังที่จะดึงดูดคนพาลมาร่วมกันอีก จึงกลายเป็นพากันเพ่งโทษเป็นอภิมหากำลัง

คุณอาจจะสงสัยว่า วัน ๆ คนพาลไม่มีอะไรทำกันเลยหรือยังไงถึงได้เอาเวลาไปเพ่งโทษชาวบ้าน ไม่มุ่งปฏิบัติธรรมที่ตน ก็อย่าได้สงสัยไปเลย ให้เข้าใจว่านี่แหละธรรมชาติของเขา และเป็นวิบากกรรมของเราที่ต้องมาเจอเขา

มันไม่มีอะไรถาวรหรอก วันหนึ่งผลกรรมชั่วของเราก็หมด เขาก็เลิกยุ่งกับเราเอง ส่วนวันไหนเขาทุกข์เกินทน เขาก็เลิกเป็นคนพาลเอง … แต่ยากหน่อยนะ เพราะกรรมที่ทำมาจะดึงดูดคนพาลเข้ามาในชีวิตเยอะ เป็นคนพาลก็คบแต่คนพาล พอชาติที่จะเลิก มันจะออกยาก มันจะวนเวียนในชีวิตอยู่นั่นแหละ ก็ให้เพียรทำดี ตั้งจิตตั้งใจว่าจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นกิเลสดี ๆ แล้วเสียสละและปฏิบัติตามศีลให้ตั้งมั่น มันจะหมดวิบากกรรมสักวันหนึ่งเอง

เช่นเดียวกับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ ก็ให้ตั้งจิตให้ดี ปฏิบัติ หมดวิบากร้ายชุดนั้นก็จะรู้เองว่าทางที่เดินอยู่นั้นถูกหรือผิด ครูบาอาจารย์ที่คบอยู่นั้นแท้จริงเป็นคนพาลหรือบัณฑิตกันแน่ คงต้องใช้ความตั้งใจและเวลาที่จะพิสูจน์ความจริงกัน