แมวหมูที่หิวโหย กับปลาทูนึ่งนิ่ง

จุ๊บเดินวนไปมาหน้าบ้าน มองหน้าและเอาลิ้นเลียปากตลอด ผมนั่งมองมันอยู่ไม่นานก็ไม่หยิบมาปลาทูไปอุ่น…

cat-n-fish-1

ระหว่างอุ่น จุ๊บมันก็เดินไปนอนเลียพุงอยู่ริมล้อรถ เมื่ออุ่นปลาทูเสร็จและนำมาใส่จาน ก็รีบวิ่งมาดูทันที

cat-n-fish-2

แมวหิวเดือดที่เอาลิ้นเลียปากแพล่บๆ รอกินปลาทูที่กำลังอุ่นๆอยู่ จุ๊บจะรอให้มันเย็นสักพักแล้วค่อยกิน เพราะเอาปลาทูออกจากไมโครเวฟใหม่ๆ มันร้อนมากๆ เล่นเอาแมวปากพอง บางทีหลังจากอุ่นปลาผมก็จะเอาวางทิ้งไว้สักพักก่อนจะให้มันกิน เพราะกลัวมันจะหิวจัดจนลืมร้อน

เมนูปลาทูลังอบไมโครเวฟก็ยังเป็นเมนูโปรดของจุ๊บอยู่ดี ดูได้จากสีหน้าแมวที่กำลังหิวโหย มองปลาทูที่นอนนิ่งๆอยู่ในจานนี้แหละ

สวัสดี

จุ๊บนอนขาโผล่

เป็นเรื่องปกติที่แมวจะชอบนอนที่แปลก และแต่ละตัวก็มีสไตล์การนอน และที่นอนที่ต่างกัน แต่สำหรับแมวของผมนั้น นอกตรงไหนก็ตลก…

จุ๊บจะชอบนอนใต้ท้่องรถมากๆ ถ้ายิ่งมาจอดใหม่ๆนี่ยิ่งชอบเลย อาจจะเพราะอุ่นๆผสมกับพื้นที่เย็นๆ มันคงจะชอบ แต่ก็มีหลายครั้งที่มันก็นอนใต้ท้องรถแบบนี้…

jub-sleep-car-1

ครับ มันชอบนอนแล้วขามันโผล่ออกมานอกตัวถังรถที่จอดอยู่ บางทีไม่ขา ก็หาง หางที่มันมีนิดเดียวนั่นแหละครับ และบางทีก็ออกมาครึ่งตัว แต่ส่วนใหญ่มันจะชอบเอาส่วนตัวกับหัวมันไว้ข้างในครับ

จริงๆอาการนี้ผมก็เป็นอาจจะไม่เหมือนนักแต่ก็กลับมาคิดแล้วก็คล้ายๆกัน เวลาผมนอนนี่ก็ชอบห่มผ้าให้มันอุ่น ห่มมันทั้งตัว แต่ก็ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของขายื่นออกมาจากผ้าห่มให้มันเย็นๆไว้นิดหน่อยเหมือนกัน เปิดแอร์ก็เป็น เปิดพัดลมก็เป็น ซึ่งก็จะเป็นแบบนี้บ่อยๆแหละนะ

jub-sleep-car-2

ถ้าแมวมันจะลองหย่อนใจปล่อยบางส่วนออกมารับลมบ้างก็คงจะไม่แปลกอะไรสักเท่าไหร่ เพราะคนก็พยายามหาท่าหรือมุมที่ตัวเองสบายที่สุด แมวก็เหมือนกันที่ชอบทำอะไรให้ตัวเองสบายๆที่สุด แบบนั้นเอง

สวัสดี

จุ๊บที่กลัวฝน

การที่แมวกลัวฝนหรือกลัวน้ำก็ดูเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ซึ่งจะสังเกตุได้ว่าเวลาฝนตกนั้น เราจะสามารถเจอจุ๊บได้รอบๆบ้าน…

วันนี้จุ๊บมาพร้อมเสียงเปิดประตูเข้าบ้านของแม่ วันนี้แม่กลับบ้านมาเร็วอาจเพราะพายุฝนก็เป็นได้ จุ๊บเป็นแมวที่เวลาได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านก็จะวิ่งเข้าบ้าน เหมือนรู้ว่ามีเจ้าของมาให้อาหารแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้าบ้านก็จะไปเดินเล่นอยู่บ้านอื่นๆ…

หลังจากมันมาอ้อนแม่ แม่ก็เทอาหารให้มัน เพราะอาหารแมวมักจะหมดไปกับนกพิราบที่มาคอยกินอาหารแมวที่เททิ้งไว้ให้จุ๊บในช่วงสายๆ – บ่าย ถ้าหลังจากพระอาทิตย์ตกแล้วเทอาหารก็จะไม่มีใครมาแย่งจุ๊บกิน มันก็เลยกินอย่างสบายๆ

jub-runaway-from-rain-1

ถ่ายรูปดูจะเป็นการขัดจังหวะและขัดใจในการกินอาหารของแมวอยู่ไม่น้อย เพราะมันก็คงคิดว่ามาเล่นอะไรตอนกินกันเนี่ย

jub-runaway-from-rain-2

กินไปได้สักพักก็เดินไปแอบอิงขอบประตูบ้าน

jub-runaway-from-rain-3

ดูหน้าตรงกันชัดๆ จะเห็นได้ชัดว่าหูแหว่งไปข้างหนึ่ง เพราะไปทะเลาะกับใครหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ จำได้แต่ตอนนั้นแผลมันเน่าหนองขึ้นก็เลย หยอดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซ์ ที่ใช้กับแผลเน่าได้ แต่ผลคือทำลายเนื้อเยื่อไปบางส่วนด้วย เลยกลายเป็นแมวอิมบาล๊านขึ้นมาทันที แต่ก็ดูมันมีความสุขดี บางครั้งนั่งมองมันก็แอบอิจฉาความไม่ทุกข์ที่มันไม่เหมือนเรา มันไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัวมากเหมือนเรา สำหรับเวลาที่เครียดๆก็อิจฉาแมวอยู่ไม่น้อย

jub-runaway-from-rain-4

วิ่งฝ่าฝนเข้าบ้านมาหลังเลยเปียกนิดหน่อย ดูแล้วฟูๆดี ตอนนี้จุ๊บผอมลงนิดหน่อย เพราะพุงย้วยๆไม่เต่งตึงเหมือนเดิม

ตอนนี้เหมือนจะมีหนูอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ผมพยายามให้จุ๊บเข้ามาในบ้านเพื่อหาสารอาหารกินด้วยตัวมันเอง หวังว่ามันคงจับหนูในบ้านได้ในเร็ววัน หรือที่หนูมาอยู่ในบ้านนั้น คงเป็นเพราะแมวมันอยูนอกบ้านนั่นเอง

สวัสดี

จุ๊บ ขณะ ข้ามถนน

เดี๋ยวนี้แมวผมเริ่มขยายพื้่นที่ได้อีกแล้ว เพราะหมาเหงาบ้านตรงข้ามไปไหนแล้วไม่รู้ …

วันนี้ผมเห็นจุ๊บไปนั่งอยู่ในบ้านเขาซึ่งเคยเลี้ยงหมา ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหมาไปไหนแล้ว แต่แมวผมไปนั่งเล่นในบ้านเขาเหมือนสถานที่ตากอากาศส่วนตัวยังไงอย่างนั้น และในระหว่างที่หยิบกล้องขึ้นมาจะ่ถ่ายไว้เป็นหลักฐานมันก็เดินกลับเข้ามาทางบ้านซะอย่างนั้นเหมือนว่าจะรู้เลย

ผมอยู่ชั้นบนซึ่งก็ต้องถ่ายลงมา ทำให้่รูปที่ออกมาเป็นแบบนี้…

jub-walk-across-road-1

ดูมันเดินๆก็อุ้ยอ้ายจริงๆ เป็นแมวก็ไม่ต้องรีบ มันก็ดีอย่างนี้แหละ

jub-walk-across-road-2

ภาพนี้คือจุดขายของตอนนี้ นั่นคือดูแล้วเห็นรูปทรงของมันได้ชัดเจน มันไม่เหมือนแมวทั่วๆไปจริงๆ แมวปกติจะผอมๆเพรียวๆ แต่ตัวนี้มันป่องกลาง แถมหัวเล็กอีกต่างหาก ดูแล้วนึกตลกในใจ จริงๆมันก็อาจจะเป็นผลมาจากการทำหมันตั้งแต่ยังไม่เข้าวัยรุ่นก็เป็นได้ ทำให้มันอ้วนๆบวมๆแปลกๆ แบบนี้่ก็ได้

ถ้าเคยเห็นพวกแมวหง่าว แมวหนุ่ม ทั่วไปก็จะเห็นว่ามันจะหัวโต และหน้าใหญ่มากๆ แต่จุ๊บนี่ก็อาุยุ 8- 9 ปีได้แล้ว ทุกอย่างยังปกติเหมือนเดิมยกเว้นพุง…

ปล.จุ๊บเป็นแมวตัวผู้

สวัสดี

ที่นอนใหม่ของจุ๊บ ตู้กับข้าวเก่าหลังบ้าน

ช่วงหลังๆนี่ หรือเดือนกว่าๆที่ผ่านมาผมไม่ค่อยเห็นจุ๊บเวลามันนอนเลยครับ อาจเพราะว่าผมไม่ค่อยได้ลงมาเดินเล่นในเวลาสายๆเหมือนเคย หรืออาจเพราะว่าจุ๊บหนีไปนอนที่อื่นก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งนั้น

วันนี้ลงมาเดินเล่นดูครับ ดูบอนสีผ่านไปผ่านมากำลังจะเข้าบ้านแล้ว หันมองผ่านไปรอบๆ เห็นอะไรสะดุดตาแว่บๆ …

cat-sleep-inside-cupboard-1

ครับก้อนอะไรที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยนอนอยู่ในตู้กับข้าวเก่าหลังบ้านครับ ตู้กับข้าวอันนี้ไม่ได้ใช้แล้ว และเก่าจนใกล้จะพังทลายลงมาแล้ว แต่ดูๆไปมันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ

cat-sleep-inside-cupboard-2

เข้าไปใกล้อีกนิดจะเห็นว่าก้อนน้ำตาลๆขาวๆจะมีขนปุยๆด้วยครับ

cat-sleep-inside-cupboard-3

เข้าไปใกล้อีกนิดจะเห็นว่านั่นคือจุ๊บที่นอนหลับสบายหายห่วงจริงๆ เพราะจากมุมนี้ ในตู้นั้นคือห้องส่วนตัวของมันจริงๆครับ กันหนาวได้ กันร้อนได้ แต่ไม่กันยุงครับ ตู้ไม้ด้านหลังผุหมดแล้วครับ มันเลยมีทางให้จุ๊บเข้าไปจากด้านหลังที่ผุๆ

ตู้นี้มีตำนานอยู่อย่างหนึ่งครับ มันเคยเกือบคร่าชีวิตผมไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้จะมีครั้งที่สองรึเปล่านะ …. ตอนผมเด็กๆประมาณประถม-มัธยมได้ ตอนนั้นตัวเล็กกว่าตู้นี้เยอะครับครั้งนั้นตู้นี้เคยอยู่บ้านเก่าที่ลาดพร้าว 110 ในห้องครัวซึ่งเป็นห้องครัวที่ไม่ใหญ่มาก มันตั้งอยู่ติดผนังมุมหนึ่งของครัว และวันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่คนเดียวอย่างเป็นปกติ ที่ว่าปกตินั่นคือเวลาเย็นๆครับ ทุกคนยังไม่กลับบ้าน ผมเดินเข้าครัวไปหาอะไรกินเหมือนเดิมทุกๆวัน ซึ่งในจังหวะที่ผมเดินไปนั้นขาตู้ซึ่งเป็นไม้มันแตกและตู้ค่อยโค่นลงมาครับ แน่นอนว่าของในตู้นั้นมีทั้งจานชาม สารพัดเครื่องครัวที่แสนจะหนัก รวมทั้งกะทะ หม้อที่อยู่บนหลังตู้นั้นด้วย ซึ่งแน่นอนมันสูงกว่าหัวผม

ในจังหวะที่มันค่อยเอนลงมานั้น ผมหลบไม่พ้นแล้วครับจึงเอาตัวยันไว้ก่อน เพราะถ้าปล่อยตกของข้างในคงแตกหมดแน่ๆ โชคดีที่บานกระจกยังปิดแน่นอยู่แก้วเลยไม่หล่นลงมา แต่กะทะกับหม้อหล่นเรียบร้อยแล้วครับ ผมรักษาระดับความเอียงไว้ที่ประมาณ 80 องศา โชคยังดีทีขาหักข้างเดียว ( ตู้มีสี่ขา ) ผมจึงเอื้อมเท้าที่ยังว่างอยู่ไปหยิบกะทะใบขนาดกลางจากตู้อีกฝั่งหนึ่ง ( โชคดีที่ผมขายาวครับ ) เอามารองขาตู้ที่หักไว้ได้สำเร็จ

ครับแน่นอนว่าสถาณการได้คลี่คลายแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เก็บของที่หล่นไปวิ่งไปหาก้อนอิฐมาค้ำยันแทนกะทะที่ค้ำไว้เฉพาะกิจแทนครับ จบลงอย่างสวยงามทุกคนมีความสุขครับ

กลับมาเรื่องเดิมก่อนด้วยภาพของจุ๊บก่อนจะลากันไปในตอนนี้ครับ ด้วยภาพ จุ๊บ แมว สุด เซ็ง

cat-sleep-inside-cupboard-4

สวัสดี

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง หลักจากห่างหายจากการเรียนในห้องเรียนมาเกือบสี่ปี วันนี้ไปเรียนครั้งแรก หลังจากได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่ ymba ม.เกษตร เหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว …ไม่เป็นไรผมจะเล่าให้ฟัง

15 พฤศจิกายน 2552 สมัครสอบ ผมไปยื่นใบสมัครสอบที่ คณะบริหาร ม.เกษตร ซึ่่งในใบประกาศเขาบอกว่าวันนี้เป็นวันรับสมัครวันสุดท้าย และผมก็มีเวลาแค่วันนั้นพอดี ผมเองจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นทำอะไรอยู่ จำได้แต่ว่างานยุ่งมากๆเลย พอไปถึงที่ เกษตรเขาก็ให้เลือกว่าจะสอบเข้าสาขาไหนบ้าง ถ้าเลือกสองสาขาแบบว่าสำรองได้ก็ 900 สาขาเดียวก็ 700 ร้อย

ด้วยความมุ่งมั่นที่ตัวผมมี และจากการวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่เรียนบริหาร SME มาแล้วนั้น ผมจึงตัดสินใจเรียนภาคค่ำวันธรรมดา ซึ่งเรียนด้วยกัน 3 วันคือจันทร์ พุธ และศุกร์ ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้นั้น อาจเพราะมีเหตุผลเดียวนั่นคืออยากเก็บวันเสาร์อาทิตย์ไว้ใช้เวลาไปไหนมาไหนบ้าง ซึ่งสิ่งนั้นมันจะดูสำคัญในเชิงสังคม(ของผมเอง)มากพอสมควรเลยทีเดียว และหลังจากนี้ก็รอสอบไป..

29 พฤศจิกายน 2552 วันสอบ และแล้ววันสอบข้อเขียนก็มาถึง เวลาที่ผมใช้ทบทวนนั้นมีไม่มาก ประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ซึ่งในเวปบอร์ดของ ymba รุ่น 15 เขาก็บอกว่าข้อสอบแนว GMAT ผมเองก็ไม่รู้หรอกมันคืออะไร ก็ไปหาตามร้านหนังสือทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เจอ…

ด้วยความที่ว่าจะไปตามหาหนังสือมันก็ดูจะลำบากไป ก็เลยให้เพื่อนๆช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริหาร และข้อมูลแนวข้อสอบที่ใกล้เคียง สรุปผมโหลดข้อสอบเลชอะไรมาไม่รู้ครับ ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็ดันอ่านไปตั้งหลายข้อ แต่จริงๆก็ไม่ได้อ่านมากหรอกครับ วาดรูปไปสลับกับอ่านไปบ้าง เน้นไปทางวาดรูปซะเยอะหน่อย แล้วก็ดูเวปพวกบริหารบ้างตามที่เพื่อนส่งให้

มาถึงวันสอบแล้วทีนี้ ผมไปตั้งแต่เช้า แต่เช้าของผมคือสายของคนอื่นและแน่นอน คนเต็มไปหมด คนสอบสาขาบริหารการจัดการ รอบวันธรรมดามีอยู่ประมาณ 128 คน ซึ่งยังไม่รวมคนที่เลือกอันดับสองที่ผิดหวังมาจากสาขาอื่นๆด้วย เฉลี่ยๆแล้วน่าจะประมาณ มากกว่า 200 คนที่เลือก บริหารการจัดการ รอบวันธรรมดา

ครับมันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านโจทย์นี้ไปได้ ผมตัองแข่งขันกับคนเกินกว่าร้อย เพื่อที่จะได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 30 กว่าคนที่ได้โอกาสเรียนที่นี่ ( ดูจากสถิติของรุ่นที่ผ่านมานะ ) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของผมครับ ก่อนสอบผมมักจะทำใจให้สบาย หลังสอบก็ทำใจให้สบาย สรุปคือจะสอบตอนไหนผมก็สบาย สบายเหมือนเดิมครับอาจจะดูไม่ดีที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่นี่คือธรรมชาติของผมจริงๆครับ

การสอบของวันนี้เริ่มช้ากว่ากำหนดการที่ตั้งไว้ จากตอนแรกให้เวลา 3 ชม เหลือ 2 ชม โดยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ชี้แจง ไม่เป็นไรยังไงเราก็เท่ากันทุกคน แล้วก็เข้าห้องสอบครับ โจทย์ถือว่าไม่ยากมากมายเท่าไรนัก ผมใช้ความรู้ระดับ ม 6 + ดวง + ความน่าจะเป็นช่วยในการแก้ไขปัญหาแต่ละข้อจริงๆครับ และในระหว่างการสอบมีเหตุการณ์ำำไฟดับ ซึ่งผมคิดว่าคนที่อยู่หลังห้องเสียเปรียบเรื่องแสงพอสมควร แต่ห้องไม่ถึงกับมืดครับ ผมนั่งข้างหน้าอยู่ในแนวประตู ซึ่งเปิดออกหลังจากไฟดับก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ ก็ดูสมเหตุสมผลกับคนสายตาไม่ค่อยดีอย่างผมนั่นเอง

เดินออกจากห้องสอบ พร้อมค่าประมาณในหัวที่่ต้องเตรียมไปตอบ พ่อแม่พี่น้อง กับคำถามที่ว่าทำได้ไหม ผมก็จะตอบไปว่าทำได้ 30 อีก 40 ไม่แน่ใจ อีก 30 นั้นเดา… ครับนี่คือคำพูดที่ตอบให้กับทุกคนที่ถามเรื่องสอบ ดูตรงไปตรงมาดีไหมครับ แต่มันก็ประมาณนี้แหละนะ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

8 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสอบข้อเขียน และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ ผมลุ้นตั้งแต่เช้าเลยครับ ตื่นมารอกดรีเฟรชอัพเดทในหน้าเวป ymba กันตั้งแต่ตื่นนอนเลยทีเดียว ลุ้นไปลุ้นมาก็ง่วงเลยเดินไปนอนต่อ ตื่นมาดูอีกทีก็บ่ายๆครับ ผลออกมาน่าตกใจมาก ผมสอบผ่านครับ ซึ่งติดอยู่ในรายชื่อ 1 ใน 48 คน หมายความว่ามีคนอีกกว่า 70 คนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งในขั้นตอนต่อไปก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์กันล่ะครับ ซึ่งในการสอบสัมภาษณ์นี้ ผมก็สบายๆอีกเหมือนเดิมครับและแล้วก็มาถึงวันที่ ….

15 ธันวาคม 2552 สอบสัมภาษณ์ วันนี้อากาศดีครับ ผมออกจากบ้านแต่เช้าด้วยชุดเก่งพร้อมความมั่นใจเต็มร้อย พอไปถึงก็รับบัตรคิวรอสอบสัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างนั่งรอผมก็ได้สังเกตุเห็น….

ผมแต่งตัวสบายเกินไปหน่อยครับ แน่นอนว่าชุดเก่งของผมเป็นชุดสบายๆซึ่งก็คือเสื้อเชิตกางเกงยีนต์เสริมหล่อด้วยรองเท้าหนังสุดโปรดที่เอาไว้ใส่ยามออกงานเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนแถวนั้นถือว่าดูแปลก..แต่จริงครับ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางดงใส่สูทผูกไท ทุกคนสวยหล่อและดูดีกันจริงๆ เอาละซิ งานนี้ผมจะเอาอะไรไปเป็นจุดขายดี ในเมื่อตัวโปรดักส์ของผมนั้นใส่แพคเกจที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมมา แล้วจะทำอย่างไร แน่นอนครับ ผมเองไม่ได้กังวลกับมันเท่าไหร่นัก…

ถึงเวลาเรียกสอบสัมภาษณ์ และผมเองก็มั่นใจมากสำหรับความมุ่งมั่น ความพร้อมด้านการเรียน ความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งดูๆแล้วเขาจะให้ส่วนนี้มีน้ำหนักมากในการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ ติดตรงการแต่งตัวนี่แหละครับ ด้านอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เกิดสงสัยตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งผมก็สามารถอธิบายได้ในรูปแบบและธรรมชาิติของผมให้ ท่านอาจารย์แกเข้าใจได้ ส่วนท่านจะเข้าใจว่าอย่างไรจริงๆก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ

สุดท้ายอาจารย์ท่านก็บอกว่าคะแนนสอบสัมภาษณ์นี้มีแค่ไม่กี่คะแนนซึ่งจะส่งผลน้อยมาก เพราะยังไงถ้าคนที่สอบข้อเขียนได้คะแนนเยอะ แต่สอบสัมภาษณ์ ก็ยังติดอยู่ในผู้ได้โอกาศอันดับต้นๆอยู่ดี ซึ่งพอได้ยินดังนี้แล้ว ความกังวลเล็กน้อยก็เกิดขึ้นมาว่า หมายความว่าถึงจะได้คะแนนสอบสัมภาษณ์เต็ม แต่สอบข้อเขียนน้อยก็ไม่ติด….สินะ

ไม่เป็นไรครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามดวงครับ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้แต่แรกแล้ว

22 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสัมภาษณ์ อีกแล้วครับ ผมผ่านมาได้อีกด่านอีกแล้ว คราวนี้จาก 48 คนลดเหลือ 38 คน ผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันตั้ง 10 คน แต่เท่าที่รู้ๆเขารับ 30 คนครับ ผมอยู่อันดับ 34 ซึ่งหมายความว่านั่นคือสำรองอันดับสี่ และมันหมายความว่าต้องมาคนสละสิทธิ์สี่คนผมถึงจะได้เข้าไปเรียน

ตอนนี้่ผมเองไม่มีข้อมูลอะไรแล้วครับ ไม่มีสถิติเก่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ลุ้นอย่างเดียว โดยขั้นตอนการสละสิทธิ์คืองานไม่โอนเงินเข้าไปในวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องลุ้นในวันสิ้นสุดการจ่ายเงินของตัวจริง

11 ธันวาคม 2553 โอกาสของตัวสำรอง แน่นอนครับว่าตัวสำรองทุกคนก็ต้องการเป็นตัวจริง แต่ในความจริงแล้วนั้น ไม่มีใครได้เป็นตัวจริงทั้งหมด ซึ่งโอกาสของผมช่างดูริบหรี่เสียจริง ผมโทรไปแถมที่คณะ ได้คำตอบมาว่า มีคนสละสิทธิ์แค่สองคน และดูเหมือนคนที่สำรองอยู่เขาจะเรียนด้วย นี่คือคำตอบที่ผมตีความมาจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ และยังมีทิ้งท้ายว่าจะรู้แน่ชัดอีกทีก็วันที่ 13 เย็นๆ…

14 ธันวาคม 2553 แน่นอนว่าผมเองชอบความแน่นอน ซึ่งความแน่นอนนั้นดูจะไม่แน่นอนตลอดเวลา ผมยังมีความหวังบนความสิ้นหวังในนาทีสุดท้าย ของวันที่ 14 เวลา บ่ายแก่ๆ รวบรวมสมาธิโทรไปถามว่าผมจะได้โอกาสนั้นหรือไม่ เหตุที่ผมต้องการคำตอบขนาดนี้ เพราะว่าผมต้องการสมาธิในการทำงาน แน่นอนช่วงนี้ผมติดงานอยู่ครับ และเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก ผมจำเป็นต้องตัดเรื่องกวนใจออกให้หมด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมกังวลใจจริงๆ

ผมโทรไปที่คณะ และได้คำตอบมาว่า ตัวสำรองใช้สิทธิ์เข้าเรียนกันหมดแล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็ตัดใจแล้วครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมคุยเรื่องทางเลือกอื่นๆเช่นมหาวิทยาลัยอื่นกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้อง ลองกันใหม่นะ

ผ่านไปไม่นานนัก มีโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์บ้าน ซึ่งปกติผมไม่ค่อยอยู่รับเท่าไหร่ น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยบอกให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาส ใช่ครับ อย่างที่ผมคิดจริงๆ ทาง ymba โทรมาบอกว่าผมได้สิทธิ์เรียนโดยมีข้อกำหนดว่าผมต้องจ่ายแคชเชียร์เชคก่อนเที่ยงวันที่ 15 หรือวันพรุ่งนี้ และผมก็ตอบตกลงในทันที แน่นอนว่าเรื่องเงินนั้นคุณพ่อผมเป็นคนจัดการให้ครับ ซึ่งท่านก็นำมาให้ในเย็นวันนั้นนั่นเอง

15 ธันวาคม 2553 ผมมามหาลัย พร้อมความกังวลเล็กน้อยครับ ว่าผมได้เรียนจริงๆหรอ มันดูเหมือนเรื่องโกหกยังไงไม่รู้ แต่มันก็ดูสนุกดี และผมก็โทรไปถามวิธีกับทางคณะอีกครั้งด้วยเหตุผลทางใจหลายๆอย่าง สุดท้ายก็เอาเชคไปจ่ายให้่ที่คณะพร้อมเซ็นชื่อครับ ตอนเซ็นก็เห็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายพอดี ที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณผู้สละสิทธิ์ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมไม่เสียเวลากังวลใจไปอีกหนึ่งปีครับ

หลังจากตอนเช้า ผมกลับมาทำงานต่อ และออกไปเรียนปรับพื้่นฐานอีกครั้งในเวลา 6 โมงเย็น สำหรับการเดินทางนั้นไม่ยุ่งยากนัก เพราะหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกเกษตรนั่นคือความสะดวกในการเดินทางจากทุกทิศทุกทาง และใกล้บ้านผมเป็นหลัก ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาทีครับ

พอไปถึงก็คนเต็มห้องเลยครับ รู้สึกว่าวันนี้จะเรียนรวมกันทุกสาขาเพราะเป็นการปรับพื้นฐานครับ แน่นอนว่าคนที่จบศิลปกรรมอย่างผมมานั้นคงต้องปรับกันเยอะเลย แต่ดูท่าเพื่อนๆในรุ่นจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วครับ ซึ่งผมคิดว่าดีครับ จะได้มีคนปรึกษาเยอะๆ และผมก็มั่นใจว่าผมก็มีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้อยู่เหมือนกัน

เรียนๆกันไปก็มีพักด้วย ผมเดินลงไปเจอกับชามก๋วยเตี๋ยวนับร้อยที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะรอให้นิสิตทุกท่านรับไปทานกันให้อิ่มหนำสำราญกาย สบายใจ ซึ่งเรื่องอาหารว่างนี่ผมก็ได้ยินมาจากเพื่อนบ่อยๆครับ แต่ที่ผมเห็นตรงหน้านี่มัน…เป็นมื้อหลักได้เลยทีเดียว วันนี้ผมกินบะหมี่ไปสองชามครับ จริงๆจะกินชามเดียว แต่พอดีว่างๆไม่มีอะไรทำ แล้วเห็นว่าทำมาเยอะ แต่คนมาน้อยก็เลยช่วยเขากินอีกชาม ก็อร่อยดีครับ

สุดท้ายนี้เรื่องเรียนคงให้เป็นเรื่องของอนาคตต่อไปครับ ส่วนจุดประสงค์ในการเรียนหรือการเลือกเรียนนั้นคงต้องอธิบายกันในตอนต่อๆไป ถ้ามีโอกาส

และสุดท้ายนี้ เรื่องทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่า ” ดวงดีช่วยผมได้ “

สวัสดีครับ

To do list

To do list คือการจดบันทึกย้ำเตือนสิ่งที่ต้องทำ ควรจะทำ หรือน่าจะทำ…

การจดนั้นสามารถป้องกันการลืมได้อย่างดี โดยเฉพาะคนลืมง่ายแบบผม โดยปกติแล้วก็จะจดสิ่งที่ต้องทำประจำวันไปในกระดาษแผ่นเล็กๆเสมอๆ เพื่อป้องกันการลืม เพราะการออกจากบ้านแต่ละครั้งมันมีเหตุการณ์ชวนให้หลงลืมจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้จริง หรือแม้แต่การทำงานในบ้าน หรืองานที่ต้องทำในช่วงนั้นๆ ผมก็จะทำ to do list ไว้เสมอ

dinh-to-do-list

นี่เป็น to do list สำหรับงานที่ต้องทำตลอดครึ่งปีแรกของปี 2553 นี้จริงๆอยากเขียนให้หมดทั้งปี แต่แบ่งเป็นสองช่วงไว้ก่อนดีกว่าเผื่ออะไรจะเปลี่ยนแปลงไปได้ สำหรับแผนในครึ่งปีแรกนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำเวปไซด์ใหม่ และวาดโปสการ์ดใหม่ๆซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับปีก่อนๆ แต่ในส่วนของเวปไซด์นั้น ผมมุ่งเน้นไปทางเวปเครือข่าย เพื่อจะได้ปั้นเวปไซด์ที่สามารถสร้างรายได้ในเวลาต่อๆไป ซึ่งจะนำพารายได้รายเดือนแบบต่อเนื่องมาสู่ผมนั่นเอง(คิดไปว่าอย่างนั้น)

จริงๆแล้วสำหรับแผนการเวปไซด์ของผมนั้นไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะสร้างรายได้ให้รุ่งเรืองได้เลย เพราะมันเหมือนเป็นกาีรเสี่ยงล้วนๆ แถมเป็นการลงทุนด้วยเวลาที่ให้ผลตอบแทนช้ามากๆ ยกเว้นแต่ผมจะมีความสามารถในการสร้างเม็ดเงินจริงๆ

จริงๆแล้วผมกำลังลองเสี่ยงดูกับความสามารถที่ผมมีอีกครั้งครับ ผมเองไม่แน่ใจนักว่าผมเก่งหรือเชี่ยวชาญด้านไหนกันแน่ เพราะลองไปจับอะไรแล้วมันก็ดูสนุกและน่าเรียนรู้ไปซะหมด ผมเองไม่เลือกที่จะเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เก่ง และแน่นอนความคิดของผมแบบนั้นมันไม่ดีเอาซะเลย เพราะว่าการไม่เก่งด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้การหางานลำบากนิดหน่อย และดูอนาคตจะลำบากมากตามไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ผมน่าจะมีเวลาอย่างน้อย 4 – 5 ปีก่อนที่ผมจะต้องเลือกเส้นทางหลักของชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ก่อนที่ผมจะต้องเริ่มแบกรับภาระในชีวิตด้วยตัวเองทั้งหมด ผมควรจะเสี่ยงเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่คือก้อนความคิดของผมที่เป็นแนวทางในการเรียนรู้ในปีที่ผ่านๆมาและปี 2553 นี้นี่เอง

สวัสดี

จุ๊บเช้านี้

จุ๊บเช้านี้ เป็นอีกวันที่มันจะชอบมานอนรอหน้าประตูบ้าน และเมื่อเปิดประตูไป บานประตูก็จะไปถูไถกับพุงอ้วนๆ ที่มีขนฟูๆของมัน

วันนี้จุ๊บรออยู่หน้าประตูเหมือนเดิม ผมเปิดประตูไปครึ่งหนึ่ง แล้วหยุดอยู่ที่กลางตัวมัน หวังว่ามันจะลุกออกไปเอง แต่วันไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ มันก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น อยู่อย่างที่ประตูพาดผ่านหลังแมวหมู ดูแล้วนึกขำในใจ เราจะมาดูอาการของมันกัน

หลังจากมันถอยมาแล้วผมก็ไปเก็บของที่รถ และมองดูอาการของมันไปด้วยในเวลาเดียวกับ ภาพที่ปรากฏคือแมวที่เพิ่งตื่นสามารถหิวได้ทันที มันลุกขึ้นมาพร้อมเลียปาก แสดงอาการเตรียมพร้อมที่จะกินอย่างเต็มที่ทีเดียว

jub-morning-meal

สุดท้ายพอเก็บของเสร็จก็ไปเท อาหารเช้าให้แมวที่หิวโหยเป็นพิเศษได้กินกัน

สวัสดี

จุ๊บ ออน โซฟา

ช่วงเหมือนวิตกจริต กลับบ้านดึกๆทุกครั้งต้องเดินมาเปิดไฟ ดูที่ห้องรับแขกว่ามีสิ่งที่ใจอยากให้เป็นอย่างนั้นคือไม่ สิ่งนั่นก็คือมีจุ๊บนอนอยู่…

หลังจากกลับมาจากทำธุระนอกบ้านทุกครั้งซึ่งส่วนใหญ่จะดึกที่บ้านก็จะมืดและเงียบ เพราะนอนกันหมดแล้ว ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน และเดินเข้าไปดูที่ห้องรับแขก ดูว่าจุ๊บอยู่รึเปล่า และเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่กลับดึก ผมถามตัวเองว่าทำไม อาจจะเพราะความอุ่นใจก็เป็นได้ ที่เห็นมันนอนหลับอย่างสบายทุกครั้งที่นอนโซฟา ที่นุ่มและปลอดภัย

jub-cat-sofa-sleep

แต่วันนี้จุ๊บไม่หลับครับ เปิดไฟไปดูก็นอนตาแป๋ว ไม่นานก็ลุกขึ้นมาให้เปิดประตูบ้านให้ จุดประสงค์น่าจะเป็นอยากกินปลาทู แต่ตอนนี้มีแต่อาหารเม็ดก็เลยเทให้มัน ความหิวแลกมาด้วยนอนข้างนอก สำหรับจุ๊บมันคงไม่ได้คิดขนาดนั้น มันหิวก็เลยขอ ง่วงก็นอนที่ไหนก็คงจะไม่สำคัญเท่าไรนัก แต่ที่แน่ๆ มันชอบนอนบนโซฟา…

สวัสดี

อรุณสวัสดิ์แมวหมู

เมื่อวานก่อนตื่นนอนลงไปดูบอนสีตามปกติ และก็พบจุ๊บตามปกติ…

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็กๆตัวใหม่ที่แม่ซื้อมาให้ ดูๆแล้วเหมือนเก้าอี้ซักผ้า แต่มันก็นั่งสบายกว่าเก้าอี้พลาสติก อาจจะเพราะมั่นใจว่ามันจะไม่หัก.. จุ๊บนอนอยู่ข้างหลังผม บนตู้ที่ใช้เก็บของ ตื่นมาอย่างงัวเงียและกระโดดลงมาเดินผ่านผมไป

จุ๊บไปหยุดอยู่กลางทาง หันมามองหน้าผมแล้วร้อง “เหมียว” เป็นสัญญาณว่า ไปให้ทำหน้าที่ได้แล้ว นั่นคือให้อาหารมันนั่นเอง จริงๆมันแสนรู้ขนาดนี้แล้วก็น่าจะเปิดถุงอาหารเองได้แล้วนะ แต่มันอาจจะขี้เกียจก็ได้ หรือไม่ก็เป็นแมวมารยาทดี

ผมเดินผ่านในบ้านไปเพื่อเปิดประตูหน้าบ้านที่ยังลงกลอนไว้อยู่ และเมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับจุ๊บ ซึ่งภาพแบบนี้เป็นเหตุการณ์ที่เดาได้ง่ายสุดๆว่าจุ๊บจะมารอ ณ จุดนี้ ซึ่งมันก็คงรู้เหมือนกันว่าผมคงจะเดินมาเปิดประตูแน่นอน

jub-cat-wait-fish

นี่คือภาพแมวจุ๊บกับจานอาหารที่ว่างเปล่า ที่บ้านผมใช้จานสแตนเลส ซึ่งมีอยู่ใบเดียวที่ซื้อมาสำหรับแมวโดยตรงกันเลยทีเดียว เพราะเคยใช้ชามพลาสติกแล้วมันเสื่อมสภาพและพังไวมากๆจะไม่เปลี่ยนมันก็ไม่ดี ก็เลยใช้จานแบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว

แถมท้ายด้วยคลิปวีดีโอจุ๊บ โชว์โหม่งประตู และเลียปากแพล่บ ๆ ( อาการเห็นหน้าผมแล้วหวังว่าจะได้กินปลาทู )