ช่วงเวลาพิเศษ

ผมสังเกตปรากฏการณ์บางอย่างมาตั้งแต่กลางเดือนก่อน คือความชั่วจะพังไว ความดีจะทวีคูณ ความจริงจะเปิดเผย

ตั้งแต่กรณีเสื้อสีดำ ที่มีการฉวยขึ้นราคากันจนเกินงาม แต่ไม่นานนักก็มีคนมาแจกกันเต็มบ้านเต็มเมือง จนถึงนำมาขายกันราคาถูกๆ คนเก็งกำไรก็คงจะขาดทุนกันไปไม่มากก็น้อย

ส่วนความดีก็อย่างที่เห็น ชัด ๆ ก็ในสนามหลวง มีหลายคนสละเวลาแรงงานทุนทรัพย์ลดตัวลดตนมาทำดี และผมเชื่อว่าหลายคนก็คงไม่คิดว่าตนเองจะสามารถมีแรงทำดีได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่มีโอกาสเช่นนี้

หรือความจริงที่พูดกันว่ารักนักรักหนา แต่กลับนอนเฉย ๆ ไม่ทำประโยชน์อะไรให้กับตนเองและสังคมให้สมกับที่พูดว่ารักเลย

หรือแม้แต่สำนักของผู้ที่เรียกตัวเองว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ตอนเขามาร่วมบุญใหญ่กัน มาเปิดโรงบุญโรงทาน แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาสำนักเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่ประเมินจากองค์ประกอบแล้วถึงจะมาเปิดโรงทานกันทั้งปีก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร….ตกลงปฏิบัติธรรมไปแล้วมันใจดำกว่าชาวบ้านที่เขาขนข้าวของมาแจกกัน นี่มันปฏิบัติกันไปทางไหนละนั่น…(ให้นึกถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นตัวชี้วัดแล้วกัน)

ในช่วงนี้เราจะได้เห็นว่าอะไรจริง อะไรปลอม อะไรเป็นแค่น้ำลาย อะไรเป็นแค่การสร้างภาพ อะไรที่เป็นการแสวงหาผลประโยชน์

….แน่นอนว่าวันใดวันหนึ่งความไม่แท้จะต้องถูกเปิดเผย เพราะของไม่แท้มันก็ไม่ทน เดี๋ยววันหนึ่งก็เห็นผลว่าไม่ใช่ของดีจริง

เช่นเดียวกับตัวเรา เราแท้หรือเราไม่แท้ ดู ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้ เทียบกับคนที่เขาทุ่มเทดูก็ได้ มันก็วัดกันตรงนั้นได้แบบหยาบ ๆ แต่ข้างในจริง ๆ นั้นเป็นตัววัด คือพอเพียงได้จริงหรือเปล่า “มีความโลภน้อย” ได้จริงรึเปล่า ก็ตั้งจิตกันให้ดี ๆ เพราะถ้าชั่วมันจะเสื่อมหนัก แต่ถ้าดีมันจะเจริญไว

สถานการณ์นี้เป็นช่วงที่ชี้ให้เห็นได้ง่ายว่า ตนเองมีความเห็นความเข้าใจ(ทิฏฐิ) ไปทางไหน เป็นสัมมาหรือมิจฉา เพราะช่วงที่มีการทำดีกันมาก ๆ นี่แหละ จะคัดดี คัดชั่วได้ดีทีเดียว ก็ดูกันต่อไปยาว ๆ….

ศรัทธา?

วันนี้ไปซื้อของที่ตลาดนัดจตุจักร เดินผ่านร้านแสตมป์ เห็นมีชุดรวม 9 รัชกาล ซึ่งราคาก็ไม่ใช่ถูก ๆ ชุดหนึ่งเขาขาย 1,200 บาท

ช่วงนี้คงจะถือเป็นช่วงขาขึ้นของนักเก็งกำไร เพราะเป็นโอกาสที่จะขายของให้กับผู้ที่ศรัทธาได้ง่าย เพราะโดยมากแล้วคนมักจะสนใจเก็บสิ่งที่จับต้องได้เป็นหลัก

ผมจึงอยากเสนอแนะให้ผู้ที่คิดจะเก็บบางสิ่งที่จะใช้ระลึกถึงผู้ที่เคารพรักในช่วงนี้ อย่าไปหลงกลกิเลส อย่าประมาทมัวเมา เพราะถ้าท่านเผลอตัวไป ท่านอาจจะกลายเป็นนักเก็งกำไรอีกคนก็ได้

ถ้าท่านอยากได้รูปที่เป็นกระดาษ ท่านก็ตัดเอาตามหนังสือพิมพ์มาเก็บไว้ก็ได้ หรือถ้าอยากได้เป็นวัตถุที่มั่นคงแข็งแรง เหรียญ 25 สตางค์ก็เป็นทางเลือกที่ดี

เราไม่จำเป็นต้องแสวงหาสิ่งที่หายากหรือสวยงาม เพราะคุณค่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น คุณค่าแท้จริงคือการระลึกถึงบุคคลที่ควรบูชา ถ้าท่านอยากให้มันแปลกมันสวย ให้มันมีคุณค่าทางการค้า สิ่งที่เกินมาเหล่านั้นคือกิเลสของท่าน

อย่าเอากิเลสมาปนเปื้อนไปกับศรัทธาเลย มันจะทำให้ศรัทธานั้นด่างพร้อย มัวหมอง เสื่อมค่าลงไปตามกิเลสที่ท่านมี

[19] ฝนตกแดดออก

diary-0019-ฝนตกแดดออก

19. ฝนตกแดดออก

วันสองวันนี้มีสภาพอากาศเหมือนกันคือฝนตกแดดออก ตกกันตอนบ่าย ๆ นี่แหละ ประมาณว่ากินข้าวเสร็จ กำลังจะไปทำสวน ฝนก็เทลงมา…

ตกกันทีก็นานเป็นชั่วโมง สรุปว่าแปลงผักแฉะหมดแล้ว เลยไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม นอกจากจะไปเก็บงานนิดหน่อย ฝังเมล็ดนั่นนี่ไปตามประสา

แต่จะไปเกี่ยวหญ้าหลังฝนนี่เกรงใจแมลงจริง ๆ แต่ก่อนฝืนทำบ่อย แต่ก็ต้องเผชิญกับมดไปเรื่อย จริง ๆ ก็เกรงว่าจะเจออะไรที่มากกว่ามดละนะ เพราะอากาศชื้น ๆ หลังฝน สัตว์มันก็คงจะชอบออกหากิน

สู้ทำงานในวันแห้ง ๆ แดดดี ๆ ไม่ได้ สบายใจมาก แม้จะร้อนไปสักหน่อย แต่ก็สะดวกในการทำงาน ไม่เฉอะแฉะ

ถั่วต้ม(จนแห้ง)

ถั่วต้ม

ถั่วต้ม(จนแห้ง)

ปกติเวลาผมจะต้มถั่ว ก็จะแช่ถั่วทิ้งไว้ก่อนหนึ่งคืน คือต้องประมาณสมดุลร้อนเย็นล่วงหน้าหนึ่งวัน ถั่วที่มีก็มีหลากหลาย เช่นถั่วเขียว ถั่วแดงหลวง ถั่วขาว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง กินสลับกันไป วันละ 2 ชนิด ปน ๆ กันไป

ด้วยความที่ต้องประหยัดน้ำดื่ม ผมเลยไม่ได้ใช้น้ำต้มถั่วมากเท่าไหร่ คือจะกะปริมาณน้ำเอาแค่ถั่วพอสุก น้ำแห้งคือถั่วสุกนิ่มพอดี

ซึ่งก็มักจะพลาดคือบางทีต้มถั่วอยู่ ก็ไปทำอย่างอื่น ก็มีบ่อยครั้งที่ถั่วไหม้บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เพราะถ้ามากก็อาจจะกินไม่ได้ ที่กินได้เพราะไหม้ไม่มาก…

เคยกินถั่วที่ไหม้มาก ๆ กินไปก็ร้อนไปทั้งตัวเลย เหมือนมันสะสมพลังงานความร้อนมาด้วย เคยเข้าใจว่าเหมือนกินถ่าน แต่มันก็มีความต่างของมันอยู่เหมือนกัน

[18] เก็บน้ำฝนไว้กิน

diary-0018-เก็บน้ำฝนไว้กิน

18. เก็บน้ำฝนไว้กิน

ช่วงหลายวันมานี้ ฝนตกบ่อย เลยใช้เป็นโอกาสในการเก็บน้ำฝน ก่อนหน้านี้ผมนึกไม่ออก เลยปล่อยให้น้ำฝนตกไปแบบนั้น

อยู่มาวันนึงก็คิดว่า เออเรามีกะละมังซักผ้าอยู่ ก็เลยเอามารองน้ำฝน ได้เยอะเหมือนกัน แม้จะมีฝุ่นบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหา

เพราะก่อนจะเอามาเก็บหรือกิน ก็จะเอาไปกรองผ่านผ้าขาวบางก่อน ให้ได้มั่นใจว่าสะอาดพอประมาณเป็นใช้ได้

การใช้น้ำฝนนี่ก็ประหยัดดีเหมือนกัน ไม่ต้องซื้อน้ำกิน เดี๋ยวจะค่อย ๆ หาโอ่งมาใส่น้ำ จะได้เก็บไว้กินได้นานขึ้น

ผักต้ม

ผักต้ม

ผักต้ม

ถ้าวันไหนที่อากาศร้อน ๆ รู้สึกอึดอัด ผมก็จะเปลี่ยนเมนูมาเป็นผักต้ม

ก็ไม่ได้กินกับอะไรหรอกครับ โรยเกลือเฉย ๆ นี่แหละ โรยไปที่ข้าวแล้วกินกับผัก เป็นเมนูอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์มาก เป็นการถอนพิษและปรับสมดุลไปในตัว แม้จะไม่เป็นที่นิยมนักในสังคม เพราะมันเป็นเมนูที่กินได้ยาก ฝืนกิเลสมาก แต่มันก็มีประโยชน์มากทีเดียว เรียกว่าแค่กินแต่ผักต้ม, ผักลวก, ผักสด ก็ปราบมะเร็งได้แล้ว (ศึกษาเพิ่มเติมได้จากองค์ความรู้ยา ๙ เม็ด, แพทย์วิถีธรรม)

ผักที่ได้มานั้นฟรีครับ ฟักทองเพื่อนบ้านให้มา ส่วนผักบุ้งปลูกเอง แม้จะดูเยอะไปหน่อยสำหรับฟักทอง เพราะต้องจัดการฟักทองที่เหลือในวันนี้ พอดีไม่มีตู้เย็นเลยต้องวางแผนจัดการวัตถุดิบให้ดี

กินแบบสบาย ๆ ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ เคี้ยว ผักบุ้งนี้เคี้ยวนานหน่อย แต่ฟักทองไม่นานมาก เพราะถ้ามันสุกเนื้อมันก็จะร่วน กินง่าย

ฝูงมด

ฝูงมด

ฝูงมด

ช่วงฝนตกนี่ มดจะออกมากันเยอะมาก ย้ายถิ่น อาหาร หนีน้ำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุอะไร

แต่พอมีการเดินขบวน มันก็ต้องหาอาหารละนะ พอหาอาหารมันก็เลยวนเวียนอยู่ตรงพื้นที่ทำอาหารของผมเยอะหน่อย

แบบว่ามีอะไรตกแล้วพอจะกินได้ มันก็จะพากันไปล้อม ถ้าไม่มีอะไรสักพักมันก็จะสลายตัวไป ซึ่งก็มีบ้างเหมือนกันที่มันออกนอกเส้นทาง มาวนเวียนในห้องนอน รอบ ๆ ที่นอน เพราะมันทะลุมุ้งมาได้ เพียงเพราะแค่พยายามเข้ามากินน้ำมันกัวซาที่ปิดฝาไว้ … รับกลิ่นได้ดีมาก

มานึกถึงมดหนึ่งตัว นี่มันก็มีหนึ่งจิตวิญญาณ ผมนั่งอยู่ในพื้นที่ 3*3 เมตร น่าจะมีมดเป็นหมื่นตัว ถ้าเอาจิตเหล่านั้นเปลี่ยนมาเป็นคน ที่ 3*3 เมตรนั้นคงไม่พอแน่ ๆ

มีจิตวิญญาณอีกมาที่รอการพัฒนาเป็นคน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นน้อย แต่เราก็มักจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญนี้กัน ก็ลองมองภาพฝูงมดนี้ แล้วทำใจว่า มีจิตวิญญาณอีกมากมายที่จะสามารถมาแทนที่เราตรงนี้ ถ้าเราไม่ดีมากพอก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็นมนุษย์ และมีโอกาสมากมายที่จะเวียนกลับไปเป็นสัตว์

ถ้าใช้ชีวิตกินสูบดื่มเสพไปวัน ๆ ไม่สร้างประโยชน์แท้จริงให้แก่ตนเองและผู้อื่น หรือมีชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน ก็อาจจะได้กลับเป็นเป็นสัตว์จริง ๆ

แต่คิด ๆ ไปก็เอาเถอะ มันก็วนเวียนไปแบบนี้แหละ เขาถึงเรียกว่าวัฏสงสาร

ผัดถั่วงอก เต้าหู้

ผัดถั่วงอก-เต้าหู้

ผัดถั่วงอก เต้าหู้

หลังจากเพาะถั่วงอกแล้ว ก็วางแผนไปตลาดเพื่อลองซื้อวัตถุดิบมาทำเมนูนี้ดู

เต้าหู้ที่ซื้อมาก็ไม่รู้ว่าชนิดไหน รู้แต่เป็นแผ่นใหญ่ ๆ หนา ๆ ประมาณ 6*6 นิ้ว ราคา 20 บาท

หั่นค่อนข้างใหญ่ เพราะตั้งน้ำมันบนเตาไว้แล้วมันร้อน เลยรีบไปหน่อย

ทอดเต้าหู้ก่อน แล้วตามด้วยถั่วงอก เห็ดนางฟ้า ต้นหอม ผัดแล้วก็ใส่เครื่องปรุง เกลือ น้ำตาล….

แต่ปรุงออกมาไม่เหมือนรสที่เคยลิ้มลอง มันจำได้ว่ารสมันไม่จืดขนาดนี้ นี่เราปรุงปกติอย่างที่กินทุกวันมันจืดมาก เลยลองปรุงเพิ่มไปจนถึงรสที่พอจำได้ รู้สึกเลยว่ามันจัดมาก

จริง ๆ แล้วเมนูนี้ไม่ต้องมีเต้าหู้ก็ได้ แค่มีถั่วงอก ถั่วเหลืองที่แช่น้ำไว้ แล้วก็ใบต้นหอม ผัดรวมกันก็ได้แบบนี้แล้ว สารอาหารพอ ๆ กัน ดีไม่ดีจะดีกว่าด้วย เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเต้าหู้ก้อนที่ซื้อมาเขาทำอย่างไร สะอาดแค่ไหน

การให้ที่เลว

เหตุต้นเรื่องจาก : “แจกอาหารคนไร้บ้าน” เมื่อความปรารถนาดีกลายเป็นความเดือดร้อน?

ขึ้นชื่อว่า “การให้” ใครได้ยินได้ฟังก็เหมือนจะดี ใครไปให้ทานมาก็ปลื้มอกปลื้มใจ จนถึงขั้นเสพติดในการให้ก็มีเหมือนกัน

ศาสนาพุทธนั้นก็ยินดีในการให้ ในการสละ แต่การให้นั้นต้องประกอบไปด้วยปัญญา คือให้ไปแล้วไม่เกิดโทษ เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น ให้แล้วกิเลสลด ไม่ใช่ให้ไปแล้วกิเลสเพิ่ม ผลเสียเพิ่ม

ในอนุตตริยสูตรจำแนกการให้ที่ดีและการให้ที่เลวไว้ค่อนข้างชัดเจน ไม่มีตรงกลาง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

เพราะการให้ไปแล้วเขาเพิ่มกิเลส เช่นในกรณีตามเนื้อข่าวที่แนบมานี้ ให้แล้วเกิดโทษเพิ่มขึ้น มีปัญหาเกิดขึ้นหลายส่วน นี้คือการให้ที่เลว เลวเพราะอะไร ?

เพราะให้ไปแล้ว ไม่เอาไปทำสิ่งที่ดี แต่กลับไปสั่งสมความขี้เกียจ อย่างกรณีคนไร้บ้านนี่เราไม่รู้หรอกเขาไม่มีบ้านเพราะอะไร แต่เรารู้แน่ถ้าเป็นคนไม่ขี้เกียจ ปัจจัยสี่ย่อมหาได้โดยไม่ยากนัก บางคนที่เขาไม่มีบ้าน ไม่มีกิน ไม่ใช่เพราะบรรลุธรรมอะไรหรอกนะ แต่เพราะเขาขี้เกียจ ขี้เกียจนี่เป็นอบายมุขนะ

แต่ก่อนผมไม่เคยเข้าใจว่าขี้เกียจมันเป็นอบายมุขอย่างไร ตอนนี้ชัดแล้ว คือมันขี้เกียจหากิน ขี้เกียจพัฒนาตนเอง ขี้เกียจเอาภาระสังคม มันจะอยู่ไปวัน ๆ มันจะเอาสบายท่าเดียว ไม่ขวนขวายให้ชีวิตดีขึ้น ให้พึ่งตนมากขึ้น ให้เป็นภาระคนอื่นน้อยลง จึงกลายเป็นภาระของสังคม นี่คือความฉิบหายหนึ่งของความขี้เกียจ

ตอนนี้ถ้าผมจะให้ ผมจะประเมินก่อนเลยว่าเขาพึ่งตัวเองได้หรือไม่ ถ้าเขาพึ่งได้ก็จะไม่ให้เขา ควรจะให้โอกาสเขาหาเลี้ยงชีพเอง ส่วนในกรณีที่เกิดเจ็บป่วยหรือฉุกเฉินอะไรนั่นก็อีกเรื่อง แต่ถ้ายังมีชีวิตปกติ มีลมหายใจปกติ มันก็ต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก ทั้งคนทั้งสัตว์นั่นแหละ

ไปให้ทานเขามั่ว ๆ ซั่ว ๆ ทั้งคนทั้งสัตว์มันก็จะไม่ยอมหากินเอง มันจะรอแต่อาหาร สุดท้ายมันก็ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็มีอาหารมาให้ ถ้าไม่ได้ก็จะหาวิธีให้ได้มา แต่จะไม่พยายามสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาด้วยแรงกายแรงใจของตัวเอง

แน่นอนว่าทุกการให้มีผล คนที่คิดว่าการให้ไหน ๆ ก็ดีหมด ให้ศึกษาผลกระทบเหล่านี้ แล้วจะรู้ว่าต้องรับวิบากอะไร ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด นั่นแหละคือผลจากการให้ของคนดี ที่ไม่คิดดี ๆ นั่นจึงเป็นการให้ที่เลว

[17] ฟ้าหลังฝน

diary-0017-ฟ้าหลังฝน

17. ฟ้าหลังฝน

ช่วงก่อนหน้านี้ ฟ้าค่อนข้างสดใส ตารางงานที่วางไว้ ถูกจัดการไปโดยลำดับ ซึ่งผมเองก็กำลังเพลินกับงานเลยทีเดียว

มาถึงวันสองวันนี้ ฝนตกค่อนข้างมาก ตกทีนึงก็ตกนาน แถมนำพาความชื้นมาอีกมากมาย งานที่วางไว้ก็ล่าช้าลงไป

การทำงานในสวนหลังฝนตกนั้นไม่ง่าย เพราะนอกจากต้องคอยสังเกตมดและแมลงที่ออกมากันมากมายแล้ว ยังเจอความเปียกชื้น ที่เป็นอุปสรรคทั้งในด้านกระบวนการทำงานและด้านร่างกายด้วย

ในด้านร่างกายนั้นผมสังเกตว่าในวันฝนตกเหงื่อจะออกมากและแห้งช้า ต่างกับวันที่แดดดี ๆ แม้เหงื่อจะออกก็แห้งเร็วไม่เหนาะหนะ และไม่เหนื่อยเร็ว

ในส่วนงานนั้นก็ยากขึ้นไปอีก เช่นงานขุด ฝนตกลงมาเหมือนจะขุดง่าย แต่จริง ๆ ไม่ง่าย เพราะขุดทีนึงดินก็ติดอุปกรณ์ขึ้นมาทีนึง ถ้าขุดต่อก็จะยิ่งหนัก แถมจะขุดไม่เข้าอีก ก็เลยลำบากขึ้นอีกหน่อย

วันนี้แม้ฝนจะตกตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง แต่เห็นฟ้าหลังฝนตอนเย็นแล้ว ก็พอจะเห็นภาพของฟ้าที่สดใสในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าฟ้าจะไม่ใส แต่อย่างน้อยเมฆก็ไม่มากเหมือนวันก่อน ๆ