ฝันว่าจุ๊บกลับมาบ้าน

เป็นฝันของเมื่อคืน ซึ่งเป็นวันที่อ่อนเพลียมาก เนื่องจากเพิ่งกลับมาจากวันรับน้อง ที่มหาวิทยาลัย ผมซึ่งอยู่ในบทบาทของรุ่นพี่ มีภาระหน้าที่ก็ไม่มากเท่าไหร่แค่ถ่ายรูปให้เยอะๆ

ผมกลับมาถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรฺ์ ประมาณ 4 โมงเย็น ด้วยสภาพอ่อนเพลียเต็มที และเมื่อกลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำนอนตั้งแต่เย็นเลย ความฝันค่อยๆ เริ่มขึ้นอย่างช้าๆในค่ำคืนอันยาวนอนที่แสนจะเหนื่อยล้าของผม

มีฝันมากมายในคืนนี้ ฝันบ้าบอ ฝันไร้สาระ หาเหตุผลไม่ได้ก็มีเยอะแยะ แต่ในจำนวนฝันมากมายหลายหลากเหล่านั้น ที่ทำให้ผมต้องนึกถึงเมื่อตื่นขึ้นมา…

ผมฝันว่าจุ๊บกลับมาบ้าน…

ผมฝันว่าจุ๊บเดินกลับมาที่บ้าอย่างปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จุ๊บในฝันนั้นยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ผมอุ้มมันและทักทายมันว่ากลับมาแล้วหรอ แน่นอนนี่คือฝันตอนสั้นๆ เนื้่อหาเท่าที่จำได้มีเท่านี้ แต่มันทำให้ผมที่ตื่นมามีความรู้สึกสับสนนิดหน่อย และทำให้ยังคาดหวังว่ามันจะกลับมา

ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นแค่ฝันในวันเหนื่อยๆเท่านั้นเองครับ อาจจะเพราะทริปที่ไปรับน้องไปเจอแมวเยอะก็ได้ ไปวัดก็เจอแมว ไปโรงแรมก็เจอแมว ร้านอาหารก็เจอแมว มีแมวเต็มไปหมดเลยเก็บเอามาฝันละนะ…

สวัสดี

แมลงก้นกระดกเข้ามาในห้อง

ปกติแล้วห้องของผมถ้าไม่ปิดหน้าต่างก็จะต้องปิดมุ้งลวดไว้ กันไม่ให้แมลงหรือยุงเข้ามาครับ แต่วันนี้มีแมลงที่ผิดคาดไปจากเดิมเข้ามาครับ

นั่นคือแมลงก้นกระดก !!

หรือด้วงก้นกระดกนั่นเอง พิษสงของมันนั้นดูจะใหญ่เกินตัวครับ ผมเองไม่คิดว่าจะเจอมันในบ้านครับ บ้านผมอยู่แถวๆลาดพร้าวซึ่งดูแล้วไม่เหมาะที่แมลงจะเข้ามาเพาะพันธุ์ครับ แต่เจ้าแมลงก้นกระดกก็เดินผ่านมาให้ผมเห็นชัดๆเลยครับ

แมลงก้นกระดก
แมลงก้นกระดก

เจ้าแมลงก้นกระดกตัวนี้ เดินดุ่มๆเข้ามาในห้องผมหน้าตาเฉย และตำแหน่งที่มันกำลังเดินอยู่คือหน้าโต๊ะทำงานของผมครับ เหมือนว่าจะเดินมาโชว์ให้เห็นเลยนะเนี่ย สุดท้ายผมก็จับมันโดยใช้แหนบหนีบออกไปโยนนอกบ้านครับ อย่าเผลอทำให้ตัวมันแตกนะครับ เพราะในตัวมันจะมีสารที่เป็นพิษกับเราครับ อันตรายมาก

คนส่วนใหญ่ที่เจอนิยมเอาเทปกาวไปแปะมันไว้ครับ อันนี้ฟังๆเขามา เป็นวิธีกว่าไปบี้มันแน่นอนครับ ถ้าเผลอไปโดนก็ควรจะล้างมือให้ไว แล้วอย่าเอามือไปจับร่างกายหรือขยี้ตาเชียวนะครับ อาจจะมีสารพิษติดอยู่ก็ได้อันตรายจริงๆ

แมลงหรือด้วงอะไรก็ไม่รู้
แมลงหรือด้วงอะไรก็ไม่รู้

อันนี้แถมครับ เป็นแมลงอะไรก็ไม่รู้เกาะอยู่บนผนังห้อง ตัวมันก็ใหญ่กว่ารูมุ้่งลวดนะครับ แต่เข้ามาได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

อันนี้อีกตัว ไม่รู้ตัวอะไร
อันนี้อีกตัว ไม่รู้ตัวอะไร

เจ้าตัวนี้อีกตัว ตัวใหญ่กว่ารูมุ้่งลวดอีกแล้ว เข้ามาทางไหนไม่รู้ แต่ถ่ายรูปเก็บหลักฐานไว้ก่อนว่าเข้ามาแล้ว วันหลังจะได้จำได้ว่า อ๋อ ตัวแบบนี้มันเคยเข้ามาบ่อยๆแล้ว แต่ว่ามันเข้ามาทางไหนละ…

ยังไงถ้าเจอพวกแมลงพวกนี้ก็อย่าเผลอไปบี้มันนะครับ ปล่อยมันไปหรือเอามันไปล่อยจะปลอดภัยกับเรามากกว่าครับ ส่วนจะป้องกันยังไงนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ มีอย่างเดียวที่รู้คือไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรดูให้ดีก่อนแค่นั้นเองครับ

สวัสดี

แมวที่รักหายไปร่วมครึ่งปี

แมวหายไปนี่ปกติ ถ้ามันไม่ได้เป็นอะไร มันก็จะกลับมาเอง แต่แมวตัวนี้ของผมหายไปร่วมครึ่งปีแล้วครับ

จริงๆก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วถ้าตามอ่านบล็อกนี้มา  ว่าจุ๊บแมวของผมนั้นหายไปตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ ที่ผ่านมาจนจะครึ่งปีแล้ว

ผมเองหมดหวังไปนานแล้วเหมือนกันว่ามันจะกลับมา แม้ว่าตอนแรกๆจะมีความคาดหวังเสมอ ว่าเปิดประตูบ้านไปตอนเช้าก็จะเจอจุ๊บนอนรอกินข้าวอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเรื่องราวในวันก่อนที่จุ๊บจะหายไป

แต่ในวันนี้การเปิดประตูบ้านไปแล้วไม่เจออะไรเลยนี่กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะตัวใหญ่ก็ไม่ค่อยจะได้มาสักเท่าไหร่ และตัวใหญ่ก็ไม่เคยมารออาหารเหมือนจุ๊บด้วย

….

วันก่อนเพิ่มหมวดหมู่สัตว์เลี้ยงขึ้นมา ทำให้ต้องทำการโยกย้ายบทความกันนิดหน่อย ผมก็พบว่าผมได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับจุ๊บไว้มากเหลือเกิน เหมือนเป็นพวกเห่อแมวอะไรอย่างนั้น ก่อนหน้าที่จะเขียนบล็อกผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจจุ๊บสักเท่าไหร่ แต่พอมาเขียนบล็อกทำให้ผมสนใจมันมากขึ้นกว่าเดิม และสังเกตุมันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเขียนเรื่องของมันแล้วสนุกมากๆ แต่ตอนนี้คงเป็นแค่อดีตให้ได้อ่านกัน

สวัสดี

หนูอยู่ในแมวอยู่นอก

เรื่องในตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนูที่จับได้ในบ้าน และดูเหมือนว่าที่อันตรายที่สุดของหนูนั้นคือนอกบ้านไม่ใช่ในบ้าน…

ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามีหนูมาอยู่ในบ้าน ตอนไหน เมื่อไหร่ และเท่าไหร่ เท่าที่จับมาจนตอนนี้ก็สามตัวแล้ว ทั้งสามตัวถูกล่อด้วยกล้วย เพราะอาหารอย่างเดียวที่มีวางอยู่นอกตู้เย็นคือกล้วย…

หนูทั้งสามตัวที่ถูกจับได้ ตัวใหญ่ทั้งนั้น ผมค่อนข้างงง ว่ามันมาจากไหน เพราะที่บ้านไม่ค่อยได้เก็บอาหารและไม่มีอาหารแห้งเก็บไว้มากนัก มีก็แต่ที่อยู่ในตู้เย็น ซึ่งหนูคงจะเปิดตู้เย็นไม่ได้แน่ๆ และอีกที่ของอาหารน่าจะเป็นถังขยะ แต่ที่บ้านผมเป็นถังขยะแบบกดโดยใช้เท้า ซึ่งหนูก็คงจะไม่สามารถกดเปิดได้ เพราะต้องใช้สองตัวร่วมมือกัน ตัวหนึ่งกด ตัวนึงคุ้ย แต่ถ้าหนูมันทำอย่างนั้นได้ คนก็คงจะไม่รอดแน่ๆ

กรงดักหนูบ้านๆที่หาซื้อได้ทั่วไป จับหนูมาแล้ว 3 ตัว
กรงดักหนูบ้านๆที่หาซื้อได้ทั่วไป จับหนูมาแล้ว 3 ตัว

เมื่อจับหนูได้ก็เอามา ไว้นอกบ้านจะได้ไม่เลอะในบ้าน วางได้สักพักก็ได้ยินเสียงตัวใหญ่ มาเล่นหนูที่อยู่ในกระ ทำให้หนูกลัวและตกใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวใหญ่จะกินหรือเปล่า ซึ่งแต่ก่อนก็มีแมวที่บ้านกินหนูอยู่เหมือนกัน แต่หนูที่จับได้ผมคิดว่ามันขนาดใหญ่ไปหน่อย ก็เลยเอาไว้ในบ้านเพื่อหลบตัวใหญ่อีกทีหนึ่ง (ปกติตัวใหญ่จะกินอาหารเม็ดอยู่แล้ว)

หนูอยู่ในแมวอยู่นอก

จริงแล้วที่หนูมันอยู่ในบ้านเพราะอาจจะหนีแมวที่อยู่นอกบ้านก็ได้ เพราะผมเลี้ยงแมวไว้นอกบ้าน พอหนูเห็นว่าข้างนอกไม่ปลอดภัยก็ในบ้านนี่แหละ แต่จริงๆก็เคยเอาจุ๊บมานอนในบ้านบ่อยๆ ก็ไม่เห็นจะจับได้ในบ้านนะครับ แต่จุ๊บก็เคยจับหนูมาให้สองตัวนะ แต่เล็กกว่าที่อยู่ในกรงนี้มาก แต่ตอนนี้จุ๊บไม่อยู่แล้ว หนูเลยมาอยู่ในบ้านแทน…

ในรูปนี้เป็นหนูตัวที่สอง ต่อมาก็มีหนูตัวที่สามที่จับไปแล้ว และปัจจุบันก็ยังมีหนูตัวที่สี่อีก ยังไม่ได้จับ แต่มันมาแสดงตัวโดยการมากินกล้วยที่วางไว้ครึ่งลูก

โจทย์ของผมตอนนี้คือหาว่ามันมาจากไหนยังไง เพราะลำพังของที่บ้านคงไม่พอเลี้ยงหนูให้อ้วนได้ถึงสี่ตัวแน่ๆ แค่ผมคนแค่ผมคนเดียวก็ยังลำบากเลย…

สวัสดี

เพิ่งรู้ว่าเขียนบล็อกมาสองปีนิดๆแล้ว

หลังจากที่ผมได้ไปเพิ่มให้มีหมวดหมู่ในบล็อกให้เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้สะดวกในการเลือกอ่านเนื้อหาที่ผมพิมพ์ขึ้นมานั้นก็พบว่า ผมเขียนบล็อกมากว่าสองปีแล้ว

17/03/2009

17 มีนาคม 2552 ผมเริ่มสร้างบล็ิอกนี้ขึ้นมาเพราะต้องการเผยแพร่เนื้อหาต่างๆให้กับมังกีซ์โกรฟ และปัจจุบัน ผมได้เลือกให้มันเป็นบล็อกส่วนตัวของผม ซึ่งก็เขียนเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวันมาเรื่อยๆ

04/04/2011

มาถึงวันนี้ครบสองปีมาแล้ว ผมพบว่าบล็อกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในชีวิตของผมไปแล้ว มันให้ผลดีทั้งเรื่องงาน และเรื่องความจำ รวมถึงเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของผม ผมเองไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมาเป็นนักเขียนบล็อกแบบนี้ แม้ว่าจะดูไม่มืออาชีพนัก แต่ผมก็ให้เวลากับมันค่อนข้างมากทีเดียว และเป็นงานอดิเรกที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผมอย่างไม่ห่างหาย

มีข้อดีข้อเสียมากมายจากการเขียนบล็อก แต่ผมเห็นว่าข้อดีมันมากกว่าและมันสามารถสร้างสิ่งดีๆให้มากกว่า… และตอนนี้มันกลายเป็นหนึ่งกิจกรรมที่สร้างความบันเทิงให้ผม นั่นทำให้ผมต้องเขียนบล็อกต่อไป~

สวัสดี

มองย้อนไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา (2553)

เมื่อกี้ผมลองค้นดูรูปเก่าๆเมื่อถ่ายเมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าหลายๆเหตุการณ์ดูเหมือนเพิ่งจะเกิดไปเมื่อไม่นาน แต่พอดูวันที่แล้วมันผ่านไปเมื่อปีที่แล้วทั้งนั้น

เขาว่าคนเราเมื่อมีความสุขเวลาจะผ่านไปเร็ว จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆคือเวลาที่เรามองย้อนกลับไปข้างหลัง มันดูเหมือนจะใกล้กว่าที่คิด ทั้งๆที่มันห่างไปตั้งหนึ่งปี ความทรงจำต่างๆที่เก็บรวบรวมมาไว้ในหนึ่งปีนั้น ถ้าไม่ได้รูปถ่ายช่วยจำไว้ ชีวิตผมก็คงต้องหลงลืมอะไรหลายๆอย่างไปตามทางที่มันควรจะเป็น

การจำหรือระลึกอะไรได้เยอะๆมันก็ดีอย่างตรงได้ทบทวนว่าได้ทำอะไรลงไปบ้างในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา บางอย่างก็มีความสุข บางช่วงก็ทุกข์บ้าง แต่ไม่มีช่วงไหนเลยที่ไม่ดี เพราะทุกเหตุการณ์นั้นสอนผมอยู่เสมอว่าได้ทำอะไรลงไปแล้วได้ผลอะไรกลับมา

มีอย่างหนึ่งที่มองไปแล้วคิดถึงมากๆ นั่นคือจุ๊บ ผมไล่ดูรูปจุ๊บในปีที่ผ่านๆมา ผมถ่ายรูปมันไว้เยอะมากๆ เพราะมันน่ารัก และเป็นแมวตัวโปรด มันมีนิสัยที่เป็นตัวของตัวเองสูงมาก เดาใจยากสุดๆแต่ก็มีรูปแบบให้พอจะจับทางได้บ้าง และที่สำคัญมันนุ่มมาก ตอนนี้มันหายไปจากบ้านเกือบสองอาทิตย์แล้ว ผมอยากรู้ว่ามันไปไหน อยู่หรือตายไปแล้ว มันอาจจะถูกรถชนก็เป็นได้ ถ้ามันจะไปติดสาวบ้านอื่นก็คงจะยากเพราะมันโดนทำหมันตั้งแต่เด็ก อาการกระหายประจำปีของแมวหนุ่มจึงไม่เคยเกิดขึ้นกับมัน

จุ๊บเป็นแมวที่แทบจะไม่ส่งเสียงร้องเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนวิลลี่แม่ของมัน ผมชอบแมวแบบนี้ เงียบๆ ไม่สงเสียง นอน เดิน ตามใจของมัน แมวที่มายุ่งวุ่นวายมากๆกับร้องมากๆ นั้นส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับมันสักเท่าไรนัก

จริงๆคงจะเป็นผมเองก็ได้ที่แปลก จึงอยู่กับแมวแปลก หรือไม่ก็แมวได้ซึมซับสิ่งแปลกๆจากผมมาก็เป็นได้ จนถึงตอนนี้จุ๊บก็ยังไม่กลับบ้าน ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งมันจะกลับมา…

สวัสดี

ผ่านข้ามปี กับหนึ่งอาทิตย์ที่ไม่มีจุ๊บ

หลังจากที่จุ๊บหายไปตั้งแต่ช่วงวันคริสต์มาสหรือ ประมาณ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนี้ผ่านข้ามปีเก่ามาถึงปีใหม่แล้วก็ยังไม่มีวี่แววของมันโผล่มาเลย

ใครยังไม่ได้อ่านก็ตามไปอ่านตอนที่แล้วก่อนได้นะครับ > ” จุ๊บไปไหน?

หลายวันก่อนผมพยายามเดินหามัน หาร่องรอย หากลิ่นที่ไม่อยากดม เผื่อจะเจออะไรบ้าง เพราะแม่กับผมเองเข้าใจดีว่าจุ๊บเป็นแมวที่ติดบ้านมากๆ ตลอดชีวิตของมันไม่เคยห่างบ้านเลย เป็นแมวที่ติดบ้านมากที่สุดในหมู่แมวจำนวนมากที่ผมเลี้ยงมา

การที่มันหายไปแบบนี้ย่อมเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย แต่มันหายไปแบบไร้ร่องรอย ไม่มีวี่แววอะไร ก็คงจะเป็นอย่างนั้นเพราะมันคือแมว จะหายไปไหนก็คงไม่ได้บอกเราก่อนหรอกนะ

ช่วงนี้ผมเจอแต่ตัวใหญ่ และมักจะเจอในที่ ที่จุ๊บเคยอยู่เสมอๆ ตัวใหญ่มันจะนั่งตรงที่จุ๊บเคยนั่ง รอคนเข้าบ้านเพื่อมาให้อาหารมันตรงที่จุ๊บเคยรอ ตัวใหญ่ก็ไม่เคยมาอยู่แถวบ้านบ่อยๆแบบนี้เช่นกัน ผมเองภาวนาให้มันสลับกันมากกว่าที่จะไปอย่างถาวร ตัวใหญ่กลับบ้าน จุ๊บออกไปท่องเที่ยวตามหาตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้สักวันมันคงจะกลับมา

ผมมองจุ๊บ มองแมวตัวนี้ เหมือนสมาชิกในบ้าน แม่ของผมเป็นห่วงมันเอาเสียมากๆ เพราะมันชอบอ้อนแม่ ขอให้แม่เปิดประตูให้มันเข้ามานอนในบ้านเป็นประจำ ไม่ก็มานอนดูทีวีกับแม่ แม่กังวลเกี่ยวกับจุ๊บมากๆเลยครับ ผมเองก็เช่นกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็คงต้องถามเพื่อนบ้าน ถามยามแถวบ้านเอาว่าเห็นแมวหน้าตาแบบนี้บ้างไหม…

ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ หลายบ้านไม่ค่อยอยู่บ้าน หมู่บ้านดูจะเงียบเหงาไปนิดหน่อย ผมมองออกไปตอนเช้า ตอนสาย บ่าย เย็น ค่ำ ในตำแหน่งที่ควรจะมีจุ๊บอยู่ แต่ทั้งหมดนั้นว่างเปล่า บางครั้งตำแหน่งเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยตัวใหญ่อย่างที่บอกไว้ตอนแรก ถ้าปีนี้ถามว่าผมอยากได้ของขวัญปีใหม่เป็นอะไร ก็คงอยากให้แมวของผมกลับมาอยู่ที่บ้านแหละครับ หรืออย่างน้่อยก็อยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน พอไม่เจอมันแล้วเหงาๆพิกล

สวัสดี

ต้มยำไก่ 10 ปี

สำหรับหลายๆครอบครัว การทำอาหารกินกันเองในบ้านดูจะเป็นเรื่องธรรมดาจนไม่อยากเอามาพูดถึงกัน แต่วันนี้ผมจะเอาเรื่องธรรมดามาเขียนให้อ่านกันครับ

บ้านผมเป็นครอบครัวไมโครเวฟครับ นั่นคือชีิวิตจะอยู่กับไมโครเวฟเสมอเพราะไม่มีการทำอาหารเลย มีแต่ซื้อเข้ามาใส่ตู้เย็นและอุ่นกิน ถ้าถามว่ามันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้นไหม จริงๆมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกครับ แต่วิถีชีิวตก็ได้ปรับให้เข้ากับจังหวะของชีวิตและโอกาสทางสังคมก็เลยได้กินแต่อาหารถุงอยู่จนทุกวันนี้

แต่มาวันนี้หลังจากที่แม่ได้กลับมาจากการไปลุยปลูกข้าวกับ ฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา ซึ่งจัดกิจกรรมโดยทีวีบูรพาแล้วนั้น ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจค่อนข้างมากนั่นคือ

ต้มยำไก่

ต้มยำไก่… ต้มยำไก่ชามนี้ ( หม้อนี้มีแต่โครงไก่ครับ ) ผมแปลกใจตั้งแต่ไปซื้อของกับแม่แล้วแม่ซื้อเครื่องต้มยำมาแล้ว บอกว่าจะทำต้มยำกิน แต่ผมก็ยังไม่ได้ถามหรอกครับว่าทำไม แต่สิ่งที่รู้แน่ๆก็คือ แม่ของผมไม่ได้ทำกับข้าวมานานเกือบสิบปีแล้วครับ จริงๆมันน่าจะนานกว่าสิบปีแล้วก็เป็นได้เพราะจำได้ว่ากินครั้งสุดท้ายก็ตอนอยู่ประถม ตอนนี้ผมก็จบจากมหาวิทยาลัย ป.ตรี ตามเกณปกติมาได้เกือบ 5 ปีแล้วครับ

เมนูเด็ดของแม่ก็คือไข่ยัดไส้ครับ ทำแค่ครั้งเดียวใส่ตู้เย็นกินกันไปสองสามวันเลยทีเดียว หลังจากนั้นเทคโนโลยีไมโครเวฟก็เข้ามาชีวิตของเราก็เปลี่ยนไป จนมาถึงวันนี้ดูมันจะวนกลับเป็นวงจรเสียแล้วครับ แม่กลับมาทำกับข้าวและเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ซึ่งผมก็อยากเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน เพราะวันๆกินแต่อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งทำให้อ้วนและเสียสุขภาพ การทำอาหารเองนั้นเป็นการควบคุมพฤติกรรมการกินได้ดีมากทีเดียว

ต้มยำไก่ชามนี้ไม่มีเนื้อไก่ครับ มีแค่โครงไก่ แต่รสชาดนั้นบอกได้เลยว่าเด็ดครับ ผมแอบกังวลตอนแม่บอกว่าจะทำต้มยำ ก็คิดในใจว่ามันจะออกมาเป็นยังไงหนอ ผลคืออร่อยและควบคุมได้ครับ คืออยากได้อะไรมากน้อยก็ใส่ลงไปได้เลย มันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากๆสำหรับครอบครัวผมซึ่งเป็นวิถีชีวิตแบบไมโครเวฟ 100% เปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ครับ ซึ่งนี่คือผลจากการที่แม่ได้ไป ฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา

จริงๆแล้วผมก็หวังให้เรื่องทำอาหารนี้เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนที่หลายๆครอบครัวเขาเป็นกันนะครับ อยากให้่ชีิวิตได้ช้าลงบ้าง เพื่อที่จะได้มีเวลาหยุดคิดไตร่ตรองสิ่งต่างได้มากขึ้น ผมหวังอย่างนั้นจริืงๆ

สวัสดี

เรื่องเล่าจากเช้าที่ท่าพระจันทร์

เป็นเรื่องเล่าจากเช้าเมื่อวาน เป็นเช้าที่ไม่เหมือนเช้าอื่น เพราะเช้านี้ผมไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่อยู่ที่ท่าพระจันทร์…

เริ่มต้นจากหลายวันก่อนผมได้ลงสมัครสัมมนา กับรายการเถ้าแก่ ในตอนที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ งานจะจัดเมื่อเวลา 9.30 วันพฤหัส และเนื่องจากที่มันเป็นวันธรรมดาเวลาเช้า สำหรับผมแล้วซึ่งไม่ได้ออกไปไหนเวลานี้ทำให้ต้องมีการเตรียมตัวกันไม่น้อยทีเดียว

เริ่มจากการตื่นเช้าไปจอดรถที่หมอชิต ตื่นเช้าไปจอดของผมนี่ต้อง ตี 5 เลย เพราะอยากได้ที่จอดใกล้ๆ และที่จอดแบบไม่มีรถมาจอดขวาง เวลาจะออก สัมมนาวันนี้เลิก 5 โมงแต่ผมก็คงจะต้องเลิกก่อนเพื่อเดินทางกลับไปเรียน ดังนั้นที่จอดที่ออกง่ายและสะดวกน่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะเวลา ที่ผมคิดว่าจะกลับมาุถึงหมอชิตน่าจะสี่โมงครึ่ง ที่จอดน่าจะยังเต็มอยู่ ก็เลยจอดใกล้ๆทางออกนั่นแหละ มาเช้าเลือกจอดที่ไหนก็ได้ มันง่ายดี

หลังจากจอดรถก็ขึ้นรถเมล์ไปธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ เพราะว่าเขาจัดสัมมนากันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั่นเอง เมื่อมาถึงก็มาเช้าก่อนเวลาไปมากสักหน่อย แต่คิดเอาไว้แล้วก็เลยหอบงานมานั่งทำรอสัมมนาด้วย แต่ตอนนี้ก็เวลาเช้าเหลือเกิน เพิ่งจะ 7 โมง สัมมนาเริ่มตอน 9.30 เลยไปเดินหาอะไรกินก่อน

หลังจากเดินไปมาแถวท่าพระจันทร์ ดูว่ามีอะไรให้เลือกกินบ้าง ก็ตัดสินใจกินโจ๊กหน้าท่าพระัจันทร์เลย ซึ่งโจ๊กร้านนี้ มีแม่เป็นคนทำและลูกชายลูกสาวอยู่ช่วย ผมเดินไปสั่งโจ๊กใส่ทุกอย่าง+ไข่ด้วย เพื่อเป็นอาหารในเช้าวันนี้ ซึ่งหลังจากนั่งก็มีลูกสาวร้านโจ๊ก วัยดูๆแล้วก็น่าจะประมาณ 4-6 ขวบเดินมาถามว่ารับน้ำอะไร

เด็กน้่อยพูดด้วยเสียงใสๆ แววตาเหมือนบอกว่าให้สั่งน้ำเถอะๆ ผมก็เลยสั่งน้ำเปล่าไปขวดหนึ่ง ตอนแรกบอกเด็กว่าเอาแค่แก้วเปล่าไม่ใส่น้ำแข็ง แต่เด็กน้อยทำหน้างงเหมือนผิดบท ก็เลยให้ใส่น้ำแข็งเหมือนเคยๆไป ไม่นานนักโจ๊กก็มาเสริฟและเ็ด็กสาวก็เดินเอาแก้วใส่น้ำแข็ง และน้ำเปล่ามาให้หนึ่งขวดพร้อมส่งยิ้มบอกว่า “น้ำค่ะ”

เป็นบริการยามเช้าที่ดูสดใสจริงๆ เช้าๆตื่นมาทุกคนก็คงอยากเห็นอะไรดีๆแจ่มใส ไม่หม่นหมอง และสิ่งที่ผมเจอก็เป็นความรู้สึกที่สดใสทีเดียว

หลังจากกินเสร็จจ่ายเงินแล้วก็เดินไปหาอะไรกินต่อ จริงๆก็มองก่อนจะมากินโจ๊กแล้วนั่นคือน้ำเต้าหู้ ปัญหาคือน้ำเต้าหู้เนี่ยพอคิดไปแล้วซื้อมาจะกินยังไงละ ถือถุงเดินดูดกินหรอ หรือว่าต้องไปหาแก้วมากิน ที่นั่งก็ไม่มี มองๆไปก็เหลือบไปเห็น “ใส่แก้ว 8 บาท” ครับ ร้านที่ผมสนใจและเดินเข้าไปซื้อมีแก้วด้วย เป็นแก้วกระดาษใส่น้ำเต้าหู้ให้ลูกค้าที่ไม่ค่อยสะดวกแต่อยากกินได้กินน้ำเต้าหู้ นี่คือสิ่งที่ผมประทับใจว่าทำไมเรื่องง่ายๆเราต้องทำให้ยากด้วย อยากกินแต่ไม่สะดวกก็แค่มีแก้ว ปกติผมซื้อน้ำเต้าหู้สมัยก่อนๆก็จะมีแต่ใส่ถุง พอมาเจอใส่แก้วนี่รู้สึกดีอย่างประหลาด

เพราะวันนี้นอกจากดูรีบๆยุ่งๆแล้ว ยังจะไม่สะดวกอีกต่างหาก การซื้อน้ำเต้าหู้ใส่แก้วกินเลยดูเป็นเรื่องธรรมดาที่มาแก้ปัญหาในเรื่องธรรมดาของคนอยากกินน้ำเต้าหู้แต่ไม่มีปัญญานั่นเอง

หลังจากนั้นก็เดินเข้าธรรมศาสตร์ไปหามุมสงบๆ เย็นๆ หน่อย นั่งทำงานต่อรอจนถึงเวลาสัมมนารอบเช้าของวันนี้…

สวัสดี

หมาข้างๆบ้าน (เพิ่มเติม)

ที่ว่าเพิ่มเติมในตอนนี้ ไม่ใช่ว่ามีเนื้อหาเพิ่มเติม เพราะจากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 9 เดือนแล้ว ถือว่านานมากๆทีเดียว

กับตอนเก่าที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับ ” หมาข้างบ้าน ” ไว้ มาวันนี้มีอะไรมาเพิ่มเติม?

ไซบีเรียนฮัสกี้

สิ่งที่เพิ่มมาคือหมาเด็กมากมายผมไม่ได้นับว่ามีกี่ตัว แค่คิดว่าอย่างต่ำๆก็สามตัว พอดีว่าเดินไปเฉี่ยวๆไปมันก็ออกมารุมดูผมกันใหญ่ ตอนแรกก็เห่านิดหน่อย ต่อมาก็ค่อยๆมองผม ทุกๆสายตาของทุกตัวมองผม มองไปอย่างนั้น ไม่ได้เห่าไม่ได้ทำอะไร มองเฉยๆเหมือนอยากดู อารมณ์เหมือนไปซาฟารีแล้วเราเปิดกระจกดูสัตว์ มันก็คงตื่นเต้นเหมือนกันที่เห็นผม พาเพื่อนๆน้องๆพี่ๆออกมาดูกันมากมาย

ผมเคยสงสัยว่าหมามันคิดอะไรเวลามันมอง มอง จริงๆแล้วก็สงสัยทุกอย่างแหละไม่ว่า แมว เต่า นก หรือวัว เวลามันมองมา มันคิดอะไร อยากรู้จริงๆ แต่มันก็คงไม่ออกมาเป็นคำพูดอยู่ดีจริงๆก็ต้องรู้สึกกันไปต่างๆนาๆตามใจแต่ละคนนะว่าจะแปลอาการของสัตว์ออกมาเป็นอย่างไร

กลับมาที่บ้านก็มานั่งมองหน้าแมวตัวเองว่ามันเป็นยังไง ก็รู้ทันทีเลยว่ามันหิว นอกจากมันมองมาแล้วยังเอาลิ้นเลียปากแพร่บๆด้วย อย่างแรกที่รู้คือมันหิวแน่ๆแต่หิวแบบไหน อย่างไรนั้น ไม่สามารถรู้ได้เลย

สวัสดี