เหตุแห่งทุกข์ อยู่แห่งไหน ใครใคร่รู้

เป็นอีกบทความหนึ่งที่นอนๆอยู่แล้วนึกได้ จริงๆก็ตั้งหัวข้อไว้สักพักแล้ว แต่บ่ายนี้นอนคิดอะไรไปเพลินๆก็เผลอหลับไป สุดท้ายก็ได้หลายๆประเด็นที่จะมาพิมพ์บทความจากฝันนี่แหละ ประมาณว่าอ่านหนังสือจบแล้วเอาไปฟุ้งต่อในฝัน วิธีนี้ก็สะดวกดีเหมือนกัน

อันความว่าเหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัยนั้น เป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะใกล้ เพราะเราเจอทุกข์กันอยู่ทุกวัน เหตุแห่งทุกข์มันก็อยู่แถวๆนั้นแหละ แต่ความจริงแล้วมันช่างไกลเหลือเกิน การจะค้นเจอเหตุแห่งทุกข์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แม้จะเพียรพยายามก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเจอได้ง่ายๆ เพราะเราไม่สามารถหักดิบปฏิบัติอธิศีลที่ยากๆได้ตั้งแต่แรก จึงต้องค่อยถือศีลไปเรื่อยๆจนสามารถเห็นเหตุแห่งทุกข์ที่ลึกลงไปเรื่อยๆได้

ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย งดงามไปตามลำดับ การปฏิบัติก็เช่นกัน เราไม่สามารถที่จะได้คำตอบสุดท้ายแต่แรกได้ จึงต้องเพียรพยายามทำไปตามโจทย์ ตามฐาน ตามบารมีที่มี ลองมาอ่านกันดูจากบทความที่จะมาช่วยกันค้นหาเหตุแห่งทุกข์นี้

อ่านต่อได้ที่บทความ : เหตุแห่งทุกข์ ยากแท้หยั่งถึงเพียรพิจารณาให้ลึกซึ้งจึงจะเข้าใจ
เหตุแห่งทุกข์ ยากแท้หยั่งถึงเพียรพิจารณาให้ลึกซึ้งจึงจะเข้าใจ

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

ใช้เวลากับห้องสมุด

ตอนนี้เหมือนผมจะไปห้องสมุดบ่อยกว่าที่เคยครับ เพราะต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลมาทำงานวิจัยอิสระครับ งานนี้เกี่ยวกับที่เรียนนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับต้นไม้หรืออื่นๆแต่อย่างใด

แต่การไปห้องสมุดครั้งนึงเนี่ย มันใช้เวลาเยอะมาก ผมเองไม่เคยรู้สึกว่าห้องสมุดมีคุณค่ามาก่อน จนกระทั้งหัดอ่านหนังสือครับ เขาว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 7-8 บรรทัดเท่านั้นครับ ซึ่งน้อยมากๆ แต่อาจจะเป็นแบบผมแต่ก่อนก็ได้ จริงๆก็อ่าน แต่อ่านอย่างอื่นน่ะนะ แต่ไม่ได้อ่านหนังสือวิชาการหรือหนังสือทั่วไปแต่อย่างใด เอาเป็นว่าแต่ก่อนนั้นเป็นการอ่านแบบอ่านเพื่อบันเทิงหรือไม่ก็เพื่อแก้ปัญหาเท่านั้นเอง

แต่วันนี้พฤติกรรมการอ่านของผมเปลี่ยนไปมาก เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นการอ่านเพื่อเรียนรู้ เพราะอยากรู้ เพราะอยากเข้าใจ เพราะว่าจำเป็นต้องรู้ จนกระทั่งอ่านไม่ค่อยจะทัน เพราะเรื่องที่อยากรู้มันเต็มไปหมด ซื้อหนังสือมาก็เยอะ ยืมหนังสือมาก็บ่อย อ่านๆไปเรื่อยๆก็เพลินดีครับ

มาถึงเรื่องการใช้เวลากับห้องสมุดของผมในวันนี้…

ผมใช้เวลากับห้องสมุดวันนี้เพื่อค้นคว้าอยู่ 5-6 ชั่วโมงก่อนที่ห้องสมุดจะปิด เพราะว่าติดธุระเลยมีเวลาจำกัด จึงเข้าไปหาข้อมูลเท่าที่ได้ แต่ครึ่งนึงของเวลาที่มีผมกลับไปหาหนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัยอิสระมาอ่านครับ พอมีนิสัยรักการอ่านแล้วกลายเป็นพวกอยากรู้แบบสุดขีด ถ้าไม่รู้ไม่เลิก

จริงๆแล้วผมเป็นคนค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องที่ทำอยู่พอสมควร อะไรที่ยังสงสัย ยังคาใจ หรือหาข้อสรุปไม่ได้ก็จะพยายามค้นหาหรือทำจนเสร็จให้ได้ เป็นข้อดี ที่มีข้อเสียมหาศาล นั่นคือมันทำให้ผมแบ่งเวลายากมาก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตในวันหนึ่งๆเราจะมุ่งสมาธิไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าทำได้คงต้องอยู่ในถ้ำที่มีแต่ข้อจำกัดให้เหลือแต่สิ่งที่สนใจเท่านั้นเอง

สุดท้ายผมก็คงจะต้องแวะเวียนไปห้องสมุดให้บ่อยและนานกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ใช้โอกาสของเวลา สร้างผลประโยชน์ให้ชีิวิตและงานให้มากที่สุด

สวัสดี

กำแพงกระจก

ก่อนที่จะพิมพ์ตอนนี้ ย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมลังเล ว่าจะเล่า หรือไม่เล่าดี และเล่าอย่างไร จบอย่างไรดี เป็นเรื่องที่ทำให้นึกอะไร อะไร..ในใจ ได้มากมายเหลือเกิน…

วันนี้ผมก็ไปอ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยเหมือนเคย เหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ผมสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากความขี้เกียจต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผมในแต่ละวันได้ ด้วยการเปลี่ยนที่…

หลังจากเวลาผ่านไปจากเที่ยงวัน จนตกเย็น และหลังจากที่อ่านและลองทำโจทย์ต่างๆเสร็จไปบ้างผมและเพื่อนๆก็แยกย้ายกลับบ้าน ระหว่างที่เดินไปที่อาคารจอดรถ เพื่อที่จะไปเอารถที่จอดอยู่กลับบ้านไปด้วย ก็บังเอิญว่าเจอนกตัวหนึ่งอยู่ในอาคารจอดรถ ซึ่งด้านในจะเหมือนพื้นที่ให้เช่าและกั้นด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่กำแพงก็เป็นกระจก

ผมมองนกตัวนั้น มันพยายามอย่างมากที่จะบินออกจากอาคารแห่งนี้ แต่สิ่งที่มันทำคือบินชนกระจก ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมยืนดูมันอยู่พักหนึ่ง ก็สังเกตุเห็นว่าปากมันแปลกๆ นกปกติคงจะไม่อ้าปากแน่ๆ แต่นกตัวนี้เวลายืนเฉยๆมันอ้าปาก ผมเลยเดาๆเอาว่ามันน่าจะเจ็บจากการที่บินไปกระแทกกระจกนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่รู้ว่าก่อนที่ผมจะเห็น มันอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็คิดในใจว่าถ้าผมเดินเข้าไปตามที่คิดว่าอยากจะช่วยมัน มันก็คงจะบินหนีซึ่งก็คงจะไปชนกับกระจกอีกแน่ ซึ่งอาจจะทำให้มันเจ็บหนักขึ้น

เสียงนกที่ร้องอย่างผิดปกติ เหมือนเรียกร้องอิสระที่เคยเป็นของมัน ตอนนี้มันเหมือนติดอยู่ในอะไรก็ไม่รู้ เห็นต้นไม้ เห็นฟ้า อยู่ข้างหน้า แต่พยายามไปเท่าไหร่ก็ชนอะไรก็ไม่รู้ เหมือนกำแพงอากาศที่มันไม่สามารถข้ามไปได้ กระจกของอาคารจอดรถคงจะใสมากทีเดียว จนเห็นอิสระได้ชัดเจนเกินไป แต่ในความใสก็ทำให้มันไม่เห็นกระจกเลย ทำให้นกน้อยๆตัวนั้น ชนกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า

มาถึงตอนนี้ผมแยกกับเพื่อนที่มาอ่านหนังสือด้วยกัน โดยที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่ทำอะไร เพราะกลัวว่าทำไปจะแย่กว่าเดิม ในระหว่างที่เดินหันหลังมาผมได้ยินเสียงน้องๆผู้หญิงเดินมาและพูดถึงนกตัวนั้น ทำให้ผมเดินออกไปได้อย่างสบายใจขึ้นนิดหน่อย ผมเดินไปหาห้องน้ำและพบว่ามันปิด ก็เลยเดินขึ้นไปอีกชั้นในอาคารจอดรถก็พบว่ามันปิดอีกเช่นกัน เลยเดินลงบันไดมายืนอยู่ที่เดิม

ข้างหน้าผมคือนกตัวหนึ่งที่สับสนในทิศทาง มันเริ่มออกอาการเมาๆ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ยืนดูมักสักพัก เสียงร้องของมันทำให้ผมรู้สึกผิดที่เดินหันหลังให้มัน จึงเดินไปด้วยความคิดว่า มันคงเพลียและผมจะจับมันง่ายขึ้น…

แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เพลียขนาดที่ผมจะจับมันได้ และมันก็บินหนีผมไปตามที่ผมคิด แต่ทิศทางที่มันบินหนีกลับเข้าลึกไปในตัวอาคารเข้าไปอีก…

ผมเดินตามมันไป ระหว่างทางพบเพื่อนที่เพิ่งแยกกันไป ดูเหมือนเขาจะไปทำธุระที่ธนาคารและพึ่งจะเสร็จ ผมกับเขาเดินไปทางที่มีนกตัวหนึ่งยืนงงๆอยู่ ผมบอกเขาว่า ผมพยายามจะจับมันเพราะมันดูแย่เต็มที เขาเสนอความคิดว่าน่าจะมีพวกตาข่ายจับมัน

การจับนกนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าจับนกด้วยมือเปล่าได้ เมนูอาหารที่เป็นนกก็คงเพิ่มมากกว่านี้เป็นแน่ แต่การจับนกนั้นก็ต้องมีอุปกรณ์ช่วยด้วย มันถึงจะสำเร็จโดยง่าย ระหว่างที่เดินคิดและระหว่างที่มันพยายามจะบินให้ห่างผมไปนั้นก็เดินไปเจอห้องน้ำพอดี ห้องน้ำนี้อยู่ใกล้กับทางออกของอาคารอีกฝั่งหนึ่ง ผมที่ซึ่งยังคิดไม่ออกว่าจะหาอะไรมาจับมันดี ก็คิดว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนก็น่าจะดี

ระหว่างที่เข้าห้องน้ำไปก็หันไปดู ก็เห็นว่านกน้อยๆตัวนั้นกำลังบินไปที่ทางออก ซึ่งทางออกนั้นเป็นทางเล่นระดับ ซึ่งต้องเดินลงไปและ เดินขึ้น เพื่อออกไปยังอิสระ แต่แน่นอนว่าเรามีการประดับที่สวยงาม ห้องที่อยู่ด้านล่างก่อนจะพบอิสระนั้นเต็มไปด้วยกำแพงกระจกซึ่งหลอกไว้ด้วยธรรมชาติด้านนอก ประตูเล็กๆที่เปิดอยู่นั้น มันใหญ่พอที่นกจะบินออกไปได้อย่างสบาย แต่ชัดเจนพอที่จะำทำให้มันแยกออกระหว่างทางออกและกระจก

ผมมองดูมันอยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในระยะห่างแค่สายตามองเห็น ผมอยู่ห่างจากมันมากเพราะคิดว่าไม่อยากไปใกล้จนกดดันมัน แต่ความเครียดและสัญชาตญาณของมัน ทำให้มันต้องขยับและพยายามหลีกหนีออกไปให้เร็วที่สุด มันบินออกไปอีกครั้งและชนกระจกอีกครั้ง ความเร็วและความแรงก็เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผลไม่เหมือนกัน

นกน้อยที่สะสมความเจ็บปวดและความอ่อนล้าแทบทนไม่ไหว กระเด็นออกมานานหงายขาชักสั่น ผมรีบเดินเข้าไปหามันทันที นี่คือโอกาสที่ผมจะได้พามันออกไปข้างนอก ผมรีบเดินไปจับมันมาไว้ในอุ้งมือ นกยังขยับตัวได้อยู่และพยายามดิ้น แต่ผมคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เพราะนี้คือโอกาสของมันด้วย ผมพามันออกไปด้านนอกอาคารซึ่งด้านหลังก็จะเป็น คลองรอบมหาวิทยาลัย และ ต้นไม้รอบรั้วซึ่งห่างจากถนนพอสมควร

นกเจ็บที่พอจะขยับได้บินออกจากมือของผมไปซุกยังพงหญ้า ผมเดินไปหามันอีกครั้งเพื่อที่จะพาไปให้ไกลๆกว่าเดิม แต่มันก็บินหนีไปเกาะเถาไม้เตี้ยๆ ซึ่งสูงระดับฟุตใกล้ๆ ผมเลิกที่จะสนใจมัน เพราะคิดว่ามันก็จะดีขึ้นแล้ว และมีแรงพอที่จะหนีผมด้วย หลังจากนี้ถ้ามันไม่เซ่อมาก ก็คงจะได้กลับบ้านไวๆ หรือถ้าพาร่างกายเจ็บๆไปบินเล่นแถวถนนก็อาจจะเสี่ยงที่จะเป็นนกแผ่นได้ ทั้งนี้ก็คงสุดแล้วแต่กรรมของมัน ซึ่งกรรมของผมและมันนั้นคงได้สิ้นสุดแค่นี้ ขอให้มีความสุข

หลังจากนั้นผมก็ลาเพื่อนกลับ ต่างคนต่างกลับบ้านไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกันไป ระหว่างทางรถติดพอสมควร ผมนั่งนึกถึงเรื่องนี้ เรื่องที่ผ่านไปไม่นาน ผมจะเอามาเล่าดีไหม…

เรื่องของ กำแพงกระจก…
ในชีวิตของเรา เราเคยรู้บ้างไหมว่าอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร ภาพที่มองนั้นชัดเจน จนไม่เห็นปัญหา ผมคิดถึงนกตัวนั้นและย้อนไปนึกถึงตัวเอง มีบ้างไหมที่ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ และมีบ้างไหมที่คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น เรามองเห็น เราคิดว่าเข้าใจ แต่ไม่เคยผ่านมันไปได้…

สวัสดี