หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ หว่านข้าวดำนา

ยังอยู่กับวันที่สองแต่เป็นช่วงบ่ายครับ ในกิจกรรม “หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ” โดยทีวีบูรพา เมื่อเช้าเราไปปลูกป่ากันชนกันมาแล้ว ช่วงบ่ายถึงเย็นนี่กิจกรรมเยอะเลยครับ

หลังจากปลูกป่ากันแล้วกิจกรรมต่อไปก็คือการไปหว่านข้าวดำนาครับ แต่ก่อนจะไปทำกิจกรรมกันต่อเราก็ต้องมากินข้าวเที่ยงกันก่อน

หลังจากปลุกป่ากันมาเสร็จก็ต้องมาต่อกันด้วยข้าวกลางวัน
หลังจากปลุกป่ากันมาเสร็จก็ต้องมาต่อกันด้วยข้าวกลางวัน

กินข้าวเที่ยงกันแล้ว แต่ผมยังอิ่มข้าวเช้าอยู่เลย ที่กินไปนี่มันอยู่ท้องนานมาก อาจจะเพราะกินข้าวเที่ยงกันเร็วไปด้วย? แต่ก็ตามเวลาที่เหมาะสมนะ อาจจะเพราะผมกินมากไปในตอนที่ปลูกป่าหรือไม่ก็ผมใช้พลังงานน้อยไปละมั้ง

เตรียมตั้งวงสนทนาเกี่ยวกับมาตราฐานเกษตรอินทรีย์เชิงคุณธรรม
เตรียมตั้งวงสนทนาเกี่ยวกับมาตราฐานเกษตรอินทรีย์เชิงคุณธรรม

ก่อนจะไปหว่านข้าวก็มีตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานของข้าวคุณธรรม หรือการผลิตพืชเกษตรอินทรีย์เชิงคุณธรรมกันเสียก่อน งานนี้มีอาจารย์จาก ม.เกษตร มาด้วย บังเอิญสุดๆว่าผมดันไปนั่งกลางวงอาจารย์ก็เลยได้คุยกับท่านนิดหน่อยครับ

เมล็ดข้าวพระราชทาน
เมล็ดข้าวพระราชทาน

หลังจากแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้วเราก็จะมาหว่านข้าวกันครับ ข้าวที่ได้มาเป็นเมล็ดข้าวพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพฯ ครั้งที่ท่านเสด็จมามูลนิธิธรรมะร่วมใจแห่งนี้ครับ

เป็นเมล็ดข้าวที่คัดสรรมาแล้ว
เป็นเมล็ดข้าวที่คัดสรรมาแล้ว

เมล็ดข้าวที่ได้มาเป็นเมล็ดข้าวที่คัดสรรมาแล้ว ผมถามแม่ชาวนาคุณธรรมที่เดินมาด้วยกันว่า เราจะคัดข้าวดีไม่ดีโดยมองจากข้าวเปลือกนี่อย่างไร สรุปได้ความว่าที่เห็นมันคล้ายๆกันเพราะเขาคัดกันมาแล้วนั่นเอง

ควายข้างทาง
ควายข้างทาง

ควายข้างทางครับ ควายเป็นสัตว์ที่หน้าตาน่ารักมาก สายตาของควายนั้นดูซื่อบื้อจริงๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกว่ามันไม่มีพิษมีภัย เวลาที่มันหันมามองเราเป็นกลุ่มนี่เหมือนโดนอะไรดึงดูดจริงๆ อยากเข้าไปทักทายควายเหมือนกันแต่ไกลและไม่ค่อยคุ้น เอาไว้ก่อนแล้วกันนะ

ผืนนาที่เตรียมไว้ให้เกลอเมืองหว่านข้าว
ผืนนาที่เตรียมไว้ให้เกลอเมืองหว่านข้าว

ผืนนาที่ทางมูลนิธิธรรมะร่วมใจเตรียมไว้ให้ นี่คือสัมผัสแรกในชีวิตที่เดินเข้าผืนนาที่จะต้องหว่านเมล็ดข้าว ทะเลที่ว่าทรายนุ่มที่สุดที่เคยเจอมายังไม่นุ่มเท่านี้ ดินปนทรายที่นี่นุ่มเท้ามากที่สุดเป็นสัมผัสที่ยากจะจินตนาการถ้าไม่ได้มาลองดู

ก่อนจะหว่านก็ต้องมีการสาธิตกันก่อน
ก่อนจะหว่านก็ต้องมีการสาธิตกันก่อน

ก่อนจะหว่านข้าวก็ต้องสาธิตท่าเสียก่อน อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับ ชาวนาเขามีท่าที่ฝึกและส่งต่อกันมาหลายพันปีแล้ว เป็นเหมือนการศึกษาการเคลื่อนไหว (Motion study) ตามธรรมชาติจนออกมาเป็นท่าหว่านข้าวอย่างที่เห็นครับ เกลอเมืองที่ไม่เคยหว่านควรดูไว้เป็นตัวอย่างครับ

สำหรับการหว่านข้าวนี่ผมได้คุณแม่จรัสพร เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงช่วยแนะนำในการหว่านครับ แรกๆก็หว่านแล้วเมล็ดข้าวออกไปเป็นกระจุกๆเลยครับ หลังๆก็พอทำได้ดีขึ้น ผมสังเกตุว่าชาวนามืออาชีพนั้นมีการขยับที่น้อยแต่ได้ผลมากทีเดียว ไม่ใช่ง่ายนะครับ

จังหวะวัชพืช
จังหวะวัชพืช

หลังจากหว่านข้าวเสร็จ เราก็จะเดินมาดำนาครับ ระหว่างทางก็มีแปลงข้าวที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ยังไม่ได้ทำอะไร มีวัชพืชขึ้น ผมมองวัชพืชแล้วนึกถึงแพทเทิร์น ของกระเป๋าชื่อดังยี่ห้อหนึ่งครับ

กล้าข้าวสำหรับทำนาโยน
กล้าข้าวสำหรับทำนาโยน

มาถึงนาแล้วครับ นาส่วนหนึ่งมาชาวนากำลังดำนาอยู่ครับ สำหรับรูปที่เห็นด้านบนจะเป็นกล้าสำหรับทำนาโยนครับ โดยเขาจะเพาะข้าวไว้ในแผงเพาะชำครับ

จับก้านแล้วก็โยนไปเลย
จับก้านแล้วก็โยนไปเลย

เวลาใช้ก็ดึงออกมาจากแผงเลยครับ หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ สามารถโยนไปได้เลย โดยใช้แรงเพียงนิดหน่อยครับ หลักการเดียวกับลูกแบตที่เราตีๆกันนั่นแหละครับ ตุ้มดินจะตกลงพื้น และฝังตัวลงในนาเองโดยใช้หลักแรงโน้มถ่วงนิดหน่อย สำหรับนาโยนเราควรเตรียมน้ำในนาให้พอขลุกขลิกนะครับ ไม่สูงจนเกินไปไม่งั้นน้ำจะท่วมต้นหรือไม่ก็โยนไปแล้วกล้าก็ลอยน้ำครับ

เตรียมใจก่อนลงนา
เตรียมใจก่อนลงนา

มีคนลงไปก็เยอะแล้ว ผมเองแม้จะเป็นกางเกงขาสั้นแต่ก็ต้องใช้เวลาพับกันขึ้นอีกหน่อย ถอดรองเท้าแล้วก็ลุยลงไปเลยครับ

ยวบๆดี แต่นุ่มละมุนสุดๆ
ยวบๆดี แต่นุ่มละมุนสุดๆ

นี่ก็อีกสัมผัสแรกในชีวิตครับ หนุ่มเมืองกรุงอย่างผมนี่โอกาสจะมาเดินในนานี่หายากครับ มีโอกาสแล้วมีหรือที่ผมจะพลาด เดินลงไปก็ยุบๆยวบๆ แต่ยังมีพื้นชั้นล่างที่แน่นอยู่ครับ มีแค่ชั้นโคลนบางส่วนเท่านั้นเอง สัมผัสที่ได้นั้น แว่บแรกที่เข้ามาในหัวรู้สึกเข้าใจสัตว์โลกอย่าง วัว ควาย หมูที่ชอบนอนจมปลักกันเลยทีเดียว มันสบายมาก นี่ถ้ามีนาส่วนตัวก็คงจะหาเวลาลงไปนอนเหมือนกัน ยิ่งเป็นนาอินทรีย์ด้วยแล้ว เลิกกังวลไปได้เลยสำหรับสารเคมี

กล้าข้าวสำหรับดำนา
กล้าข้าวสำหรับดำนา

นาโยนก็เพิ่งลองมาหมาดๆคราวนี้มาลองแบบท้องถิ่นบ้าง (Original style) งานนี้ยังได้แม่จรัสพรเป็นพี่เลี้ยงอยู่เหมือนเดิมครับ แน่นอนว่าไม่ยาก แต่ไม่สมบูรณ์ ต้องลองทำเองสักแปลงหนึ่งถึงจะรู้ได้ครับ อันนี้ผมลองได้ประมาณแค่ 1-2 ตารางเมตรเท่านั้นครับ จริงๆยังไม่หายอยาก เดี๋ยวค่อยหาเวลามาลองใหม่ คราวนี้ก็พอชิมๆไปก่อน

พอกโคลนแบบธรรมชาติ
พอกโคลนแบบธรรมชาติ

เดินขึ้นมาจากนา นี่ขาพอกโคลนมาเลยครับ พอกแบบนี้เลิกกังวลเรื่องยุงไปได้เลย เสียอย่างเดียวเข้าบ้าน เข้าชานไม่ได้แค่นั้นเอง

สภาพนาที่เราไปดำนา และ ทำนาโยนกัน
สภาพนาที่เราไปดำนา และ ทำนาโยนกัน

หันกลับมามองดูสิ่งที่ผมและชาวคณะทำทิ้งไว้ ดูไม่ค่อยเป็นนาสักเท่าไหร่ครับ  แต่ก็ได้เรียนรู้กันสนุกดีเหมือนกันครับ

กลับมาที่ศาลาไทวัตร
กลับมาที่ศาลาไทวัตร

กลับมาที่ศาลาไทวัตรเพื่อทำกิจกรรมส่วนตัวก่อนที่จะได้เวลากินข้าวครับ สำหรับผมก็ต้องขออาบน้ำกันสักหน่อย เพราะอบเหงื่อมาหนึ่งวันเต็มๆ

ทานมื้อค่ำกับแมว และเพลงประกอบอาหาร
ทานมื้อค่ำกับแมว และเพลงประกอบอาหาร

ระหว่างกินข้าวก็มีแมวมาเล่นด้วย แล้วก็มีเพลงบรรเลงประกอบด้วยครับ เพลงระหว่างทานข้าวนี่บรรเลงโดยพี่โต้งครับ เป็นชาวนาคุณธรรมคนหนึ่งที่มีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจทีเดียวจริงๆ แต่เสียดายเวลาคุยน้อยไปหน่อย

พิธีบายศรีสู่ขวัญ
พิธีบายศรีสู่ขวัญ

ตอนกลางคืนหน่อยก็มีพิธีบายศรีสู่ขวัญกันครับ หลังจากพิธีนี่ก็เขามีช่วงให้พูดความในใจกันนิดหน่อย ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสพูด แต่ได้รับเร็วไปหน่อยยังคิดไม่เสร็จว่าจะพูดอะไร ก็เลยพูดเท่าที่คิดได้ละนะ เกี่ยวกับจุดประสงค์ในการมาของผม และมาในครั้งนี้แล้วได้อะไรกลับไป ซึ่งเล่าเรื่องคุณแม่ของผมที่เคยมาที่นี่และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง

หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน ผมเองยังคุยเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้อีกนิดหน่อยกับพี่ทิดโส แกเป็นผู้มีความรู้ด้านต้นไม้ น่าจะเชี่ยวชาญในเรื่องเกษตรสวนผสมด้วย เจอแกได้ที่เว็บเกษตรพอเพียงและเว็บไซต์ทิดโส ซึ่งผมจะคุยเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่เป็นส่วนมาก สำหรับข้าวนี่เดี๋ยวต้องรอมีที่ทางค่อยคุยกันอีกทีเพราะ ข้าวเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวกันเป็นรอบๆ แตกต่างจากต้นไม้ที่ลงทีเดียวแล้วยาวเลย ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับต้นไม้ก่อน

แต่คุยไม่นานต้องบอกตรงๆว่าทนพลังของ ยุงป่า ไม่ไหวก็เลยต้องลาไปอาบน้ำนอน

สวัสดี

เรียนจบ สรุปกันหน่อยดีไหม?

จริงๆก็เรียนจบมาสักเดือนหนึ่งแล้ว ทุกวันนี้ก็นั่งคิดว่าจะวางแผนจัดการกับชีวิตหลังจากนี้ยังไงดี จนมาคิดได้ว่าผมเองควรจะสรุปให้อ่านกันหน่อยดีไหมเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับในการเรียนโทใน 2 ปีที่ผ่านมานี้

ประเด็นคือ…

สำหรับประเด็นที่มีในหัวก็คือประสบการณ์ที่ได้รับ แล้วก็เรียนปริญญาโท MBA แล้วได้อะไร? จะพยายามรวบสองประเด็นนี้เข้าเป็นบทความเดียวกันให้ได้ซึ่งบอกตรงๆกันเลยว่าในบทความนี้ ยังคิดไม่ออก …จะเรียกว่าคิดไม่ออกก็คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว คงต้องเรียกว่ายังเรียบเรียงได้ไม่สมบูรณ์เสียมากกว่าเพราะทุกอย่างนั้นอยู่ในหัวหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิด แค่เพียงนั่งนึกแล้วเอามาเรียบเรียงเท่านั้นเอง

วันก่อน…

วันก่อนมีจดหมายจากทางบ้าน (email) เข้ามาแสดงความยินดีที่ผมได้เรียน ป โท (ผมจบแล้วด้วยนะเอ้อ) ซึ่งก็ได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการที่เคยสอบเข้าในรุ่น 21 และเวลาในการสอบที่น้อยนิด นั่นคือ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ประเด็นคือเตรียมตัวอย่างไรจึงจะสอบติด? ผมคิดว่าคนที่สนใจจะสอบหรือสมัครเรียน YMBA KU หลายคนก็คงจะเคยเห็นบล็อกผมผ่านตากันไปบ้างไม่มากก็น้อย

ตอนแรกผมเองก็ยังงงๆอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงสอบติด จนกระทั่งวันนี้ก็ยังงงอยู่ ส่วนเรื่องเรียนจบนี่ไม่งงนะครับ บอกตรงๆว่าถ้าขยันเรียน อ่านเยอะๆ หัดวิเคราะห์บ่อยๆ ที่สำคัญคือหัดเขียนครับ การเขียนจะช่วยให้เราสามารถเรียบเรียงสิ่งต่างๆได้ไวขึ้น เชื่อไหมว่าผมเรียนจบมาได้เพราะมีทักษะในการเขียนบล็อกเข้ามาช่วย จนวันนี้ผมเขียนบล็อกไปมากกว่าหลักพันบทความ มันสนุกและช่วยให้เราจำอะไรได้ดีขึ้นด้วยครับ

กลับมาที่ทำไมถึงสอบติด YMBA KU โครงการนี้และหลายๆโครงการของ ม.เกษตร เขาจะคัดคนเบื้องต้นจากคะแนนสอบครับจากนั้นก็คัดอีกทีจากความพร้อมในการเรียนด้วยการสอบสัมภาษณ์ เพราะฉนั้นจึงมีสองด่านที่ต้องทำการบ้านมาดีหน่อยครับ ผมบอกตรงๆว่าในปีหนึ่งๆ รุ่นหนึ่งๆ นั้นมีคนมาสมัครกันเยอะมาก แต่คนได้ก็ไม่เยอะด้วยเหตุแห่งอะไรก็ได้ทั้งปวง แต่ผมเชื่อว่าคนที่เตรียมตัวมาดีย่อมได้เปรียบครับ

สำหรับผมเองถ้าถามว่าทำไมถึงสอบติด จนวันนี้ผมก็ตอบว่ายังงงๆอยู่เหมือนเดิมครับ เพราะผมเองไม่ได้อ่าน ไม่ได้ติว หรือไม่ได้ทบทวนอะไรก่อนสอบเลย ใช้แต่ความรู้เก่าที่ติดตัวมาเท่านั้น น่างงไหมครับ ถ้าจะมีเหตุแห่งการสอบติดที่พอจะตอบเป็นเหตุเป็นผลได้ก็คือความรู้เก่าของผมนั่นแหละครับ ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นความบังเอิญไปแล้วกันครับ ซึ่งคงจะอธิบายกันยากสักหน่อย เอาเป็นว่าใครที่สนใจก็ขยันๆแล้วกันนะครับ

ส่วนสรุปเรื่องเรียนก็เอาไว้… บทความหน้าแล้วกันนะยังเรียบเรียงไม่เสร็จ

สวัสดี

เรื่องเล่าลุยน้ำ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับรู้เรื่องน้ำท่วมตามแหล่งข่าวสารมากมาย แน่นอนว่าผมเองมีความเสี่ยงด้วยเหมือนกัน แต่ก็คงไม่มีใครอยากโดนน้ำท่วมเป็นแน่

ก่อนอื่น…

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบเดือนที่แล้ว ผมลังเลที่จะพิมพ์เรื่องนี้ออกมา เพราะไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง เพราะมันเป็นเรื่องราวของหนึ่งวันที่อัดแน่นไปด้วยเหตุการณ์มากมายจนผมไม่คิดว่าเวลาหนึ่งวันจะสามารถมีเรื่องราวผ่านมาในชีวิตผมได้เข้มข้นขนาดนี้

หลายคนได้เห็นน้ำท่วมจากในทีวี ภาพในอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ สิ่งนั้นก็คล้ายๆกับเราดูละครนั่นแหละ มันผ่านประสาทสัมผัสของเราได้เพียงแค่ 2 ใน 5 นั่นคือตาดูหูฟังนั่นเอง สำหรับความเข้าใจนั้นก็ตามประมาณ 2 ใน 5 นั่นแหละการจะเข้าใจคนที่เขาประสบอุทกภัยจริงๆ ถ้าไม่ได้ลงไปรับทุกประสบการณ์เหมือนกันกับเขาคงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าเข้าใจ…

เรื่องมันมีอยู่ว่า

แน่นอนว่า คนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ผมเองก็มีญาติ กระจายอยู่ตามมุมต่างๆของกรุงเทพ และปริมณฑล ซึ่งก็อยู่ในเขตเสี่ยงน้ำท่วมทั้งนั้น เช่น ดอนเมือง รังสิต จนกระทั่งนนทบุรี การที่มีคนที่ผูกพันกับเราอยู่ใต้ภาวะความเสี่ยง เราก็คงจะไม่สามารถกินอิ่มนอนหลับได้ตามปกติ ความเป็นห่วงนั้นเหมือนเชือกดึงรั้งระหว่างคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง นั่นคือความสัมพันธ์ เอาง่ายๆเรียกกันว่าร่วมทุกข์ การร่วมทุกข์ร่วมสุข ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติของคนที่มีความผูกพันกัน

เมื่อน้ำท่วมถึงดอนเมือง มีญาติบางส่วนอพยพหนีน้ำมาที่บ้านผม แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังอยู่ ส่วนจะอยู่ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ผมขอละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจ เพราะแต่ละคนมีความจำเป็นและความห่วงกังวลไม่เหมือนกัน ผมไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นคิดได้ทั้งหมด สิ่งที่ผมต้องทำคือเตรียมตัวเตรียมใจในลำดับต่อไป นั่นคือการเข้าไปช่วย หรือส่งความช่วยเหลือเข้าไปในจังหวะที่เกินใจ (ของใคร) จะทนไหว..

และแล้ววันหนึ่งเมื่อถึงเวลาผมก็ได้่รับสัญญาณไว้ ให้เข้าไปช่วยอพยพออกมาได้แล้ว ผมเองรอความคิดนี้มานานแล้ว เพราะถ้าคนเขาคิดว่าไหวเขาจะทน แต่เมื่อเขาคิดว่าไม่ไหว เราก็จะช่วยนั่นไม่ใช่ปัญหา การเดินทางของผมจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้…

เริ่มเล่าลุยน้ำ…

การเดินทางของผมในวันนี้ รายละเอียดเยอะมากจึงขอแนบแผนที่ เผื่อว่าดูแล้วจะเห็นภาพมากขึ้น

แผนที่เดินทางลุยน้ำ

ผมเริ่มต้นกับวันที่ฟ้าฝนเป็นใจอากาศค่อนข้างดี ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะติดตามข่าวสาร ถึงเกือบเช้า และทานอาหารเช้าไปนิดหน่อยเพื่อรองท้อง ไม่นานนักมีข่าวมาว่าต้องออกไปช่วยพี่สาวอพยพที่ดอนเมือง ซึ่งก็พ่อก็มารับและออกไปด้วยกันทันที ภารกิจนี้ผมดำเนินเรื่องไปพร้อมกับพ่อครับ

1.ผมเริ่มเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าไปจอดรถที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งตอนนั้นน้ำยังไม่ท่วมครับ ไปจอดรถทิ้งไว้เพราะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งต่อจากนี้เราจะเดินทางต่อกันด้วยแท็กซี่ครับ

2.เรานั่งแท็กซี่จาก ม. เกษตร ไปให้ไกล้ดอนเมืองมากที่สุดเท่าที่จะไปได้ พี่แท็กซี่แกส่งแถวๆ สะพานเข้าสนามบินในประเทศนั่นแหละครับ แล้วเราก็ลงและเดินต่อเพื่อที่จะไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถเมล์ต่อ

3.เราขึ้นรถเมล์ได้ในระยะทางไม่ไกลนักก็ต้อง แต่ก็ยังดีกว่าเดิน เพราะไม่รู้เลยว่าถ้าไม่มีรถเมล์เราจะนั่งอะไรได้ เรารู้แค่เป้าหมายเท่านั้น แต่วิธีนั้นคงได้แต่งมๆไปตามทาง

4. เมื่อลงจากรถเมล์ก็ต้องขึ้นรถทหาร ซึ่งรถทหารสูงมาก พี่ทหารเขาจะมีเก้าอี้ให้ปีน แต่ผมก็ว่ายากอยู่ดี นี่มองจากคนตัวสูงช่วงขายาวยังว่ายาก แล้วคนตัวเล็กๆก็คงจะยากกว่าแน่นอน แต่ด้วยความจำเป็นและทางเลือกที่มีไม่มาก เราจึงเห็นผู้คนหลากหลายในรถทหารคันนี้ครับ

5. รถทหารมาส่งถึงปากซอย เข้าหมู่บ้านของพี่สาว ซึ่งเราลง ณ จุดนี้ รถทหารมุ่งหน้าต่อไปทางรังสิต เพื่อส่งคนให้ถึงยังที่หมายต่อไป ส่วนพวกผมก็เดินเข้าซอยครับ แต่เมื่อกำลังเดินไปถึงหน้าปากซอยเราเห็น รถใหญ่ๆ คล้ายๆรถดับเพลิงกำลังมุ่งหน้าเข้าไปในซอยครับ ซึ่งผมก็ถามเขาเรื่องเส้นทาง สรุปว่าเราติดรถเขาเข้าไปได้ครับ เพราะผ่านทางที่ผมจะลงพอดี

บนรถดับเพลิงคันนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตา หลายคนทักทายกันยิ้มให้กันแม้ว่าจะไม่รู้จักกัน ผมกับพ่อดูจะเป็นคนที่ดูแปลกไป นั่นอาจจะเพราะความสดใหม่ ซึ่งต่างกับคนที่อยู่บนหลังคารถที่ดูเปียกและเหนื่อยอ่อน ผมคิดว่าเขาคงเข้าออกช่วยคนกันหลายรอบแล้วเลยเป็นอย่างที่เห็น เพราะรถดับเพลิงที่ผมนั่งนั้นคือรถที่ช่วยขนคนจากด้านในซอยออกมาครับ ซึ่งตอนขาเข้าไปในซอยรถจะว่าง เราเลยติดไปได้ครับ

ระหว่างที่นั่งบนหลังคารถดับเพลิงที่วิ่งผ่านไปอย่างช้าๆ ผมได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ผมได้กลิ่นน้ำ และเสียงรถที่วิ่งผ่านน้ำ แม้ว่าสองข้างทางจะมีคนเดินออกมาตลอด แต่ทุกอย่างดูเงียบ..เหลือเกิน

ผมมองไปที่คนที่บ้านอยู่ข้างทาง เป็นบ้านเช่าเล็กๆแบ่งเป็นล็อคๆที่ติดถนน บนชั้นสองของเขามีแค่ระเบียงที่ติดกับถนน บนระเบียงมีข้าวของบางอย่างที่เอาขึ้นมาวางหนีน้ำรวมทั้งสุนัขและจักรยาน… มีคำทักทายจากคนบนรถดับเพลิง และคำตอบที่ได้ยินก็ประมาณว่า “ไม่รู้จะอพยพไปไหน นี่ก็ขอเขาขึ้นมาอยู่” ครับ ที่ผมเห็นคือผู้อพยพจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบน เขาไม่ได้สบายกันอย่างที่ตาเห็น น้ำเสียงที่ได้ยินบอกให้รู้ว่า ไม่รู้ ไม่รู้ เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่รู้ว่าน้ำจะลดเมื่อไหร่ และไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากรอให้มันผ่านพ้นไปเสียที

จนวันนี้ผมไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง เพราะเมื่อด้านในอพยพกันออกมาแล้ว อาจจะมีรถหรือคนวนเวียนผ่านมาน้อยลง และถ้าน้ำขึ้นอีกก็คงจะมีแต่เรือที่ผ่านได้ คงจะลำบากกันไม่น้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนที่ลำบากและไร้ทางออกมากเท่าไหร่ ในกรุงเทพฯ

6. ผมมาสุดทางของการนั่งรถดับเพลิงและลงเดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร มันเป็น 300 เมตรที่ไกลมากๆ  เพราะต้องเดินบนน้ำที่สูงระดับน่องจนเกือบถึงเอวผมในบางจุด และเดินมาจนถึงบ้านพี่สาวที่อยู่ในหมู่บ้านด้วยความกังวลเล็กน้อย ว่าถ้าบ้านไหนไฟรั่วผมจะได้รู้ตัวก่อนจะตายรึเปล่า หรือเดินผ่านปุ๊ปตายปั๊บอะไรแบบนี้ เพราะน้ำนั้นท่วมเกือบถึงระดับพื้นบ้านแล้ว ซึ่งบางบ้านก็ยังเปิดน้ำพุหน้าบ้านอยู่เลยแม้จะน้ำท่วมก็ตาม

ผมเห็นสายตาของคนในหมู่บ้านมองด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรสักเท่าไรนัก อาจจะเพราะด้วยความเครียดหรือความระแวงคนแปลกหน้าก็ได้ แน่นอนว่าในภาวะเช่นนี้ใครๆก็สามารถเป็นโจรได้ง่ายๆ เพราะข้อมูลข่าวสารที่เราได้รับ ทำให้เรามองเป็นอย่างนั้นจริงๆ

สุดท้ายเมื่อมาถึงก็จัดการอพยพ ยังดีที่พี่สาวมีเรือเล็กๆที่ต่อด้วยท่อพีวีซีและฟิวเจอร์บอร์ดอยู่ในบ้าน ทำให้เราใส่เด็กๆ 8,3 ขวบไว้ในเรือได้ (ตอนแรกผมเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องอุ้่มออกไป) แน่นอนว่ามันดีกว่าที่คิดไว้ เพราะการลากเรือนั้นทุ่นแรงไปได้มากทีเดียว เด็กๆยังสนุกอยู่บ้าง นั่นก็ถือว่าดี เพราะถ้าเด็กๆงอแงแล้ว ผู้ใหญ่อาจจะเครียดกันมากขึ้นซึ่งคงไม่ดีแน่

7. เราเดินออกมาจากหมู่บ้าน โดยมีเด็กๆอยู่ในเรือขนาดเล็กๆ ซึ่งขากลับนั้นยากกว่าเพราะต้องเดินทวนน้ำออกมา มันไม่ใช่น้ำนิ่งๆ แต่เป็นน้ำที่มีกระแสการไหลอยู่ ส่วนจะไหลไปไหนผมไม่รู้เหมือนกัน แต่การเดินทวนน้ำที่ไหลนี่มันเปลืองแรงมากจริงๆ

8.มาถึงจุดนี้ถือเป็นโชคดีของเราครับ มีพ่อลูกคู่หนึ่งเขาขับรถมาส่งอาหารให้เพื่อน เป็นรถที่สูงพอจะลุยน้ำได้แต่ก็ไม่ใหญ่พอจะให้คนทั้งหมดขึ้นไป ณ จุดนี้เป็นจุดแยก ผมให้พี่สาวและชาวคณะอพยพ แยกไป โดยคุณพี่เขาใจดีให้โดยสารไปด้วยครับ และเขาก็จะออกไปจนกระทั่งใกล้ถึงจุดนัดพบ ที่ ม เกษตรเลยครับ เป็นอีกหนึ่งน้ำใจที่ให้กับคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกันจริงๆ

ผมเดินลากเรือต่อไปกับพ่อ เพื่อที่จะไปยังอีกจุดหมายหนึ่ง นั่นคือหมู่บ้านย่านรังสิต อยู่ก่อนเมืองเอกครับ ได้ยินว่าน้ำสูงระดับอกของผม และมีคนแก่ประมาณคุณยายอยู่ เป็นคุณยายที่เป็นเครือญาติกันครับ ผมกับพ่อเลยตัดสินใจเอาเรือไปรับครับ และเดินทวนน้ำออกมาได้ไม่นาน เราก็ได้ติดรถออกจากซอยหมู่บ้านไปลงที่ถนนวิภาวดีรังสิตอีกครั้งครับ บังเอิญจริงๆนะครับ ทุ่นแรงไปได้อีกหน่อย ส่วนรถคันนี้ของใครยังไงไม่รู้ครับ รู้แต่มีคนมากหน้าหลายตาในรถเยอะดีครับ

หลังรถเราก็ลากเรือไปด้วยครับ เพราะต้องใช้ต่อในภารกิจหน้า โดยจับเชือกที่ผูกเรือไว้ โดยที่ต้องใช้ขาควบคุมบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นเรืออาจจะเซไปโดนชาวบ้านที่กำลังเดินลุยน้ำออกมาได้ครับ

9.เราเดินต่อจากวิภาวดีรังสิต ต่อไปจนเลยอนุสรณ์สถานแห่งชาติไปนิดหน่อยครับ เป็นการเดินที่ยากลำบากมาก เพราะคนเดิน และรถใช้ช่องทางเดียวกันครับ ทางเดินมีทั้งเกือบแห้งและน้ำสูงเป็นช่วงๆ คลื่นที่ซัดมาพร้อมกับการวิ่งผ่านของรถนั้นทำให้การลากเรือลำบากมากครับ เรือที่ผมลากแอบไปกระทบรถที่จอดอยู่หลายคัน หวังว่าเขาคงไม่ว่าอะไร ซึ่งไม่นานนักก็ได้รับการติดต่อว่ามี ญาติอีกฝ่ายสามารถนำเรือเข้าไปช่วยคุณยายได้แล้ว ภารกิจของผมและพ่อจึงจบลงครับ

แต่ระหว่างที่รอการยืนยันข้อมูลนั้น ผมได้นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของถนน นั่นคือเกาะกลางถนนของวิภาวดีรังสิต เป็นที่ที่ในเวลาธรรมดาคงไม่สามารถมานั่งเล่นๆได้ แต่การได้หยุดนั่งแล้วมองทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ชาวบ้านที่ขนของออกมาโดยมีอุปกรณ์กันน้ำแค่ถุงพลาสติกเท่านั้น บางคนดีหน่อยก็มีกะละมัง แต่ภาพที่เห็นส่วนใหญ่ก็มีแต่แบบนี้ทั้งนั้น

ระหว่างที่ผมนั่งอยู่ก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมา ผมเองไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ ก็ได้แต่นั่งคิดไปว่าทำไม ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นไม่ได้กินอาหารมาอย่างพอเพียง และขาดน้ำครับ ผมนั่งก้มหน้าอยู่ข้างทางได้สักพัก คิดว่าตัวเองน่าจะแย่ลงอีกเพราะเริ่มรู้สึกหนาวเย็น จึงมองไปที่ถนนและเห็นรถสวนมาพอดี รถหลายคันมองสบตาผมและชะลอ เพื่อที่จะสื่อสารอะไรสักอย่าง ผมทำได้แต่ยิ้มและปล่อยให้เขาผ่านไป

จนกระทั่งถึงรถคันหนึ่งผ่านมา ผมเริ่มคิดว่าตัวเองไม่น่าจะไหว เลยโบกเขาและขอน้ำสักหน่อย รถที่ผมโบกนั้นเป็นรถตู้ ที่มีพ่อแม่ลูกนั่งอยู่ ซึ่งเขาก็ช่วยกันหาน้ำให้ผมซึ่งไม่รู้จักกัน และไม่ได้เคยช่วยเหลืออะไรกันมาก่อน เพียงแค่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น ไม่นานนัก เขาก็ยื่นน้ำขวดใหญ่ และบอกผมว่า ” เหลืออยู่เท่านี้เอง” (เหลือ 3/4 ของขวด) ผมเองรับน้ำขวดนั้นมาและกล่าวคำขอบคุณ ผมไม่รู้ว่าน้ำขวดนั้นคือขวดสุดท้ายของเขารึเปล่า รู้แค่ว่าน้ำขวดนี้คงหาไม่ได้ง่ายๆในชีิวิตปกติแน่ๆ เพราะนั่นคือน้ำใจ…

น้ำขวดใหญ่ที่ได้รับมา
น้ำขวดใหญ่ที่ได้รับมา

ผมได้กินน้ำและไม่นานนักร่างกายก็ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนเดิม ภายหลังมาถามเพื่อน เขาบอกว่าผมอาจจะเหนื่อยเกินไปเท่านั้นเองไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ในใจผมแอบคิดว่าการที่ไม่ออกกำลังกายมันทำให้ผมปวกเปียกขนาดนี้เชียวหรือ?

เมื่อได้รับคำยืนยันว่ากลับได้แล้ว พ่อก็ยกเรือให้ชาวบ้านที่กำลังขนของอพยพหนีน้ำอยู่ใกล้ๆ เขากำลังขนของใส่กะละมังและเดินลอยน้ำ ทันทีที่ได้เรือไปเขาเอาของที่ขนมาใส่เรือและลากเรือไปกับน้ำต่อไป เราคิดว่าเรือนี้คงทำประโยชน์ให้กับเขาได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ทำให้สีหน้าของเขายิ้มแย้มทันทีเมื่อได้รับเรือ

10. ไม่นานนัก เราก็โบกรถกลับ เป็นรถกระบะที่มีคนขับอยู่คนเดียว ผมกับพ่อขอนั่งไปด้วย ซึ่งผมเองนอนหมดแรงที่ท้ายกระบะ และค่อยๆจิบน้ำที่ได้มาทีละน้อย บอกตรงๆว่าหมดสภาพมาก ผมเองประมาทในสถานการณ์มากเกินไป คิดว่าตัวเองจะมีแรงพอ แต่ท้ายที่สุดมันก็เกินกำลังไปหน่อย ผมนั่งของเขามาเรื่อยจนถึงหลักสี่ พี่เขาจะเข้าหลักสี่เราก็เลยขอลงช่วงหลักสี่ เพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถต่อในถนนวิภาวดีรังสิต

11. ผมยืนรอรถแท็กซี่อยู่ัสักพัก และก็มีรถประมงของ ม เกษตรผ่านมา และเขาจอดส่งคนพอดี ก็เลยขอขึ้นไปด้วยอย่างน้อยก็ได้ไปลง ม. เกษตรพอดี เป็นรถสูงขึ้นยากอีกเหมือนเคย กำลังคิดว่าปกติเขาขนของขึ้นรถกันยังไงนะ สูงจริงๆ ก็คงมีบันไดละนะ

และพอมาถึง ม.เกษตร เขาก็จะเขาประตูฝั่งวิภาวดี ซึ่งผมต้องการไปประตูฝั่งงามวงศ์วาน ก็เลยลงและต่อรถแท็กซี่ไปอีกนิดหน่อย สุดท้ายก็กลับถึงรถ และถึงบ้านอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว

สภาพของซองหมากฝรั่งที่เอาใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วย
สภาพของซองหมากฝรั่งที่เอาใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วย

เหตุการณ์ในวันนี้สอนให้ผมรับรู้และเข้าใจกับคำว่าน้ำท่วมครบทั้ง 5 สัมผัสกันเลยครับ

ผมได้เห็นน้ำที่ท่วมด้วยตาตนเอง

ผมได้ยินเสียงของผู้ประสบภัยและความเงียบ ทุกๆอย่างรอบตัวด้วยหูของผม

ผมได้สัมผัสน้ำท่วม ที่กำลังเน่าด้วยผิวหนังของผม

ผมได้กลิ่นน้ำ กลิ่นที่นอนอยู่บ้านคงไม่มีวันเข้าใจ ด้วยจมูกของผม

บางครั้งเมื่อน้ำกระเด็นมาเพราะคลื่นที่เกิดจากรถสวนทางกัน ผมก็ได้ลิ้มรสน้ำท่วมกับเขาด้วยเหมือนกัน

ไอ้ที่เขาบอกว่าไม่เจอไม่รู้นี่ผมว่าจริงนะครับ แต่เราก็ไม่จำเ้ป็นต้องไปเจอทุกอย่างก็ได้ครับ มันอาจจะเหนื่อยเกินไป ทำในสิ่งที่เราทำกันได้จะดีกว่า และเข้าใจคนที่ประสบภัยด้วยใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ตัดสินด้วยมุมของเรานะครับ เพราะถึงแม้เราจะเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกับเขา เราก็ไม่มีวันจะเข้าใจเขาได้หรอกครับ ดังนั้นก็ให้เผื่อใจกับเรื่องนี้ให้มากๆ ใจกว้าง ใจเย็น และอดทนต่อกันนะครับ

สิ่งที่ผมไปเผชิญในครั้งนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆของความเดือนร้อนเท่านั้นครับ ถ้าให้ทุกคนเขียนความเืดือดร้อนของตัวเองออกมาจากน้ำท่วมครั้งนี้ หนึ่งชีวิตก็คงจะอ่านไม่หมด…

แม้ว่าในวันนี้ในบางพื้นที่จะดูคลี่คลายลงแล้ว แต่มันเป็นเพียงแค่วันนี้ครับ เราจำเป็นต้องเตรียมใจรับความผันแปรของธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของพวกเรากันต่อไปครับ

สวัสดี