ศิลปะในการให้ข้อมูลและวิจารณ์

จากกระทู้ : [อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก] อาชีพนักท่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกัน เรื่องที่เขาไม่เคยบอกคุณ!!?

กระทู้นี้มีศิลปะในการให้ข้อมูลดีครับ ผมว่าแบบนี้ก็เนียนดี ว่าจะหัดอย่างเขาไว้หน่อย

แหม่… ถ้าเราจะแฉใครว่าเขาชั่วเขาไม่ดี ใครเขาจะไปฟัง มันต้องเนียนๆ ให้ข้อมูลกันไปให้คนเขาพิจารณาเอง คนมีปัญญาก็รู้ได้ คนไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ บางทีบางเรื่องไปกระทบมันก็เสียหายมาก… จริงๆผมถนัดงานประเภทฟ้าผ่ามากกว่า แบบชี้ขยี้แหกไส้มาดูนี่เก่งนัก แต่ก็ยังไม่กล้าผ่าใคร กลัวเขาตาย…

ส่วนเรื่องในกระทู้นี้ก็เอาไว้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ ท่องเที่ยวนี่มันก็เหยียบขาอยู่บนอบายมุขอยู่แล้ว คนปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหมกมุ่นกับมากเนาะ แต่เราก็ศึกษาคนอื่นเขาไป เพราะยุคนี้ท่องเที่ยวเขาแรง

ละคร ความจริงบนความลวงที่ไม่ควรทำให้ชัด

จากข่าวที่มีความเห็นประมาณว่า : ละครต้องสมจริง

การสื่อสารให้คนรู้เรื่อง ผมว่าบางทีมันไม่ต้องบอกทั้งหมดก็ได้นะ เราใช้ศิลปะบอกเขา เขาก็รู้ได้ การแสดงสัญลักษณ์หลายๆ อย่าง อย่างที่ผมเคยเรียนมาก็มีเรื่องการใช้สัญลักษณ์ในการนำเสนอเรื่องราวในภาพยนต์

จะว่าเป็นเรื่องพื้นฐานก็ว่าได้ เพราะการจะไปสื่อให้ชัดหรือสมจริงนั้น บางครั้งมีอันตรายมากไป หรือเป็นโทษมาก เช่นฉากโดนงูกัดก็ไม่เห็นมีใครจะเอางูไปกัดกันจริงๆเสียหน่อย หรือพวกฉากในละครเช่น ฉากกอด ฉากจูบ จากปล้ำ ข่มขืน ตบตีอะไรก็ว่าไป ถ้าใช้หลักการของเมืองพุทธก็ถือว่าไม่ควร เพราะมันจะไปเร่งกิเลสคนอื่นเขา ให้เขาเกิดความ โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใช้หลักกูก็แล้วแต่จะพิจารณากันไป

ทุกวันนี้สื่อที่นำเสนอส่วนใหญ่นี่ก็ออกแนวลามกอนาจารกันมากอยู่แล้ว เร่งเร้ากันสารพัด กิน กาม เกียรติ ก็พากันเมากันไป

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง

ณ วันนี้ดูเหมือนจะมีกิจกรรมที่หลายอย่าง ดูจะสับสนในชีวิตพิกล การมีกิจกรรมและงานที่หลากหลายดูจะเป็นข้อดีในชีวิต

แต่ในปัจจุบันนั้นความหลากหลายเหล่านั้นกลับมาเล่นงานผม ในวันหนึ่งผมมีสมาธิอยู่ปริมาณหนึ่ง แน่นอนมันสามารถเพิ่มเป็นอนันต์ได้ถ้าหากผมฝึกบ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วกิจกรรมหลายๆอย่างนั้น ทำให้ผมกลายเป็นคนสมาธิสั้นไป

การรับข้อมูลข่าวสาร จากทุกๆมุมของเรื่องที่สนใจ มีผลทำให้เราไขว้เขวไปจากเรื่องที่กำลังจดจ่อหรือมุ่งมั่นอยู่ ครั้นไอ้การจะไม่สนใจก็ดูจะเป็นการยากไปหน่อยเพราะส่วนใหญ่กิจกรรมเหล่านั้นก็มักจะอยู่รอบๆ หรือปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ก็คล้ายๆกับกินกาแฟตอนเช้า แปรงฟันก่อนนอนอะไรอย่างนั้น

แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป…

แน่นอนว่าถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ผมเองสามารถควบคุมความหลากหลายของตัวเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับมัน จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ณ จุดนี้ที่กำลังพิมพ์อยู่นั้นเป็นเวลาของเทอมสุดท้ายในการเรียนปริญญาโท ของผม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยจะถนัดนัก นั่นคือการวิจัยเชิงสถิติและบรรยายในรูปแบบวิชาการ

ผมเองเรียนศิลปะมา ผมคิดว่าศิลปะเหมือนจักรวาล ไม่มีขอบ ไม่มีสูงสุด ไม่มีต่ำสุด ความคิดผมจึงไม่เคยมารูปแบบหรือกรอบใดๆทั้งนั้น มันกลายเป็นทัศนคติ กลายเป็นนิสัย และกลายเป็นอนาคตของผมไปในเวลาเดียวกัน แต่ในปัจจุบันนี้ผมจำเป็นต้องทำตามกฏเกณ หรือรูปแบบ หรือ แบบทดสอบใดๆก็ตามที่จำเป็นต้องผ่านไปให้ได้ การเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีนั้น ไม่ยากเท่ากับการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำกิจกรรมอย่างหลากหลายในแต่ละวัน

สถานการณ์เปลี่ยนคนก็ต้องเปลี่ยน

เมื่อสถานการณ์บีบคั้นกว่าที่คิด ผมจึงจำเป็นต้องตัดสินใจ และเข้าใจสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะจำได้ ผมนึกถึงประโยคหนึ่งได้ในขณะที่ตั้งสมาธิ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” ประโยคนี้พุ่งเข้ามาในหัวผมทันที โชคดีที่ผมเคยได้ยินและได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับความหมายของประโยคนี้ ผมเองชินกับความหลากหลาย จนขาดความสามารถในการจดจ่อในสถานการณ์ที่จำเป็นเช่นนี้ เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง เป็นประโยคที่สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างดี

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง ทำให้ผมรู้ว่าผมควรจะเรียงลำดับความสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดในสิ่งที่สำคัญมากมายนั้น ถ้าไม่ใช้สติคิดก็คงจะลำบาก เพราะผมเองมีสิ่งสำคัญหลายสิ่งที่ต้องทำไม่ทำก็อาจจะทำให้ชีวิตแย่ก็ได้ แต่สิ่งนี้ การทำวิจัยในครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ ผมพิมพ์บทความนี้เพื่อบอกกับตัวเอง ทุกคำที่พิมพ์ลงไปได้ตอกย้ำข้อความเหล่านี้ในสมองของผม และเป็นสิ่งยืนยันแนวทางของผมเองด้วย ซึ่งเรื่องนี้คงไม่ต้องการ การพิสูจน์หรือการทดลอง แต่จำเป็นต้องทำอย่างจริงจัง เวลาที่เหลือไม่มากในช่วง 1-2 เดือนนี้ผมจะขอใช้เพื่อการทำวิจัยนี้เท่านั้น

สวัสดี