ย้ายหมวดเนื้อหาวิจารณ์

ก่อนหน้านี้ ก็จะทยอยเอาบทวิจารย์ มาลงใน duckblog แห่งนี้ ซึ่งบล็อกแห่งนี้นี่ก็ทำไว้นานแล้ว ใช้โลโก้การ์ตูนเป็ด หน้าตาก็ดูโง่ ๆ ซื่อ ๆ พอมาใส่บทวิจารณ์ ที่มันดูหนัก ๆ มันก็ไม่เหมาะสักเท่าไรนัก

ก็เลยสร้างเว็บไซต์อีกเว็บหนึ่งขึ้นเพื่อมาเผยแพร่บทวิจารณ์โดยตรงเลย ซึ่งก็ดีในแง่ของน้ำหนัก ที่ว่าจะลงน้ำหนักให้หนักขึ้น ส่วนบล็อกแห่งนี้ก็เอาไว้ใช้อัพเดทอะไรที่มันเบา ๆ ไม่ต้องมีรายละเอียดมาก ไม่ต้องหนักหัวมาก เป็นข่าวสารธรรมดา ๆ รับรู้กัน แจ้งเพื่อทราบกัน ก็อะไรประมาณนี้ก็น่าจะพอแล้ว

โลกาจินตา : Lokajinta.com

เว็บอัพเดท สิงหาคม 2019

ก็ปล่อยทิ้งร้างมาเป็นช่วง ๆ เพราะชีวิตประจำวันมีภารกิจที่ต้องทำค่อนข้างมาก เช้า สาย บ่าย เย็น เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องนาน ๆ พอหลายเดือน มันก็ลืม ๆ เรื่องอัพเดทเว็บไป

ส่วนมากพอไปใช้ใน facebook ก็ลืมการเข้ามาบันทึกในบล็อกแห่งนี้ ซึ่งจริง ๆ มันก็สำคัญ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นอีกแหล่ง 1 ฐานข้อมูล ที่จะทำให้ค้นเจอเรื่องราวและเนื้อหาที่ผมได้พิมพ์เผยแพร่

สำหรับผู้ที่สนใจแวะเวียนมาติดตาม สามารถติดตาม account ที่มีการขยับอัพเดทมากที่สุดของผม นั่นก็คือ facebook  https://www.facebook.com/dinh.writer อันนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของบทความ ความคิดเห็น สำหรับการติดต่อสอบถาม ในบัญชีนี้ก็เป็นบัญชีที่ผมใช้บ่อยที่สุด สามารถที่จะติดต่อมาได้ในช่องทางนี้ครับ

อีกส่วนจะเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวัน อาหารการกิน สาระไม่ค่อยมาก นั่นก็คือบัญชี instagram.com/diiinp/ ผู้ที่สนใจก็เข้าไปติดตามกันได้

 

ไปร่วมกิจกรรมค่ายพระไตรปิฎก ๒๒

ไปร่วมกิจกรรมค่ายพระไตรปิฎก ๒๒ ของเครือข่ายแพทย์วิถีธรรมมา เขามีกิจกรรม ทำการบ้านส่งแนวทางการวิเคราะห์อริยสัจ ๔ กับกิเลสของตัวเอง …. สมุทัย ได้ชื่อว่าเข้าใจยากที่สุด ผมเชื่อมั่นตามนั้น เพราะมันไม่ง่ายเลย ที่จะทำความเข้าใจ หรือบอกให้ใครเข้าใจ

เหตุแห่งทุกข์ ยากแท้หยั่งถึงเพียรพิจารณาให้ลึกซึ้งจึงจะเข้าใจ

กำแพง

cover-wall

กำแพง…

ระหว่างนั่งรถผ่านไปในเมืองเชียงใหม่ ก็มองไปเห็นกำแพงเมืองเก่า เห็นรูปทรงที่แปลกตา ก็เลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย

ตอนสร้างกำแพงเขาก็คงจะสร้างตรง ๆ นั่นแหละ แต่พอนานวันไปผ่านเดือนผ่านปี อะไร ๆ ก็คงจะเปลี่ยนไป มันทำให้ผมนึกถึงธรรมะที่กำลังจะเสื่อมไป สมัยพุทธกาลนั้นอะไร ๆ ก็แข็งแรง แต่พอมายุคนี้ก็หย่อนยาน พอคิดอย่างนั้นมันก็นำมาระลึกให้เราไม่ประมาทได้

ในอีกนัยหนึ่ง แม้กำแพงนี้จะแข็ง แต่ก็มีความพริ้วไหวในรูปทรง มันก็เอามาเป็นกรรมฐานได้อีกมุมเหมือนกัน คือให้จิตใจแข็งแกร่งเหมือนหินนั่นแหละ แต่ก็ต้องมีศิลปะแววไหวพริ้วไหวไปตามกุศล

เทวดาร้อนอาสน์

คือสภาพของคนดีที่ทุกข์ร้อนใจ ทนอยู่เฉยไม่ได้ต่อบางสิ่งบางอย่าง

ผมเคยได้ยินคำนี้มาจากครูบาอาจารย์ แต่ก็เพิ่งจะเคยได้เห็นสภาพนี้ในคนทั่วไป คือเมื่อวานไปสนามหลวง และช่วงค่ำจิตอาสาก็ยกทีมกันไปเปิดร้าน ตักถั่วเขียวต้มแจกหน้าเต็นท์รอคอย แบบว่าใครสนใจก็เดินออกมารับได้

ภาพที่จิตอาสามาเสียสละ มาแจกของก็คงจะไม่แปลกอะไร แต่ภาพที่เห็นเมื่อวานนี้คือคนที่เขามารอในเต็นท์รอคอยนี่แหละ เดินมาเสนอตัวว่าจะช่วยเอาถั่วเขียวต้มไปแจกในเต็นท์

…ก็คงจะเป็นสภาพของเทวดาร้อนอาสน์ คือ ไม่ได้ตั้งใจมาช่วยตั้งแต่แรกหรอก แต่เห็นแล้วมันอยากช่วย จะไม่ช่วยใจมันก็ไม่ยอม มันร้อนใจ อยากจะช่วยเขา อยากจะทำดี

จริง ๆ เขาจะนั่งรอคอยอยู่เฉย ๆ ก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร แต่นี่เขายินดีลุกขึ้นมาช่วยไง อันนี้จริง ๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปนะ ถ้าใครมีจิตแบบนี้ก็เข้าท่าเลย จิตเทวดานี่แหละ มีจิตที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น แบบไม่ต้องมีใครสั่ง จิตมันจะสั่งให้ทำดีของมันเอง ไม่ให้อยู่เฉย

เพราะลึก ๆ แล้วมันเกิดจากปัญญารู้ว่า ทำดีแล้วมีประโยชน์ ถ้าไม่ทำดีจะเสียประโยชน์ ก็เป็นสภาพของจิตรูปแบบหนึ่ง เหมือนกับจิตที่เป็นเดรัจฉาน อสูรกาย เปรต ฯลฯ จริง ๆ ก็เหมือนจิตเทวดานี่แหละ เป็นสภาพในจิต คือแม้ร่างเป็นคนแต่จิตข้างในต่างกัน

จิตเทวดาก็ตามที่เล่ากันไป ส่วนจิตที่เป็นเปรตก็คือความโลภ ร่างเป็นคนแต่จิตเป็นเปรตก็โลภมาก สะสมมาก ไม่รู้จักพอ ของที่เขาไม่ได้ให้ก็อยากได้ ของที่เขาจะให้ก็อยากได้มากกว่าที่เขายินดีให้

เมื่อมีคนมาให้ทานกันมาก ๆ เราก็อาจจะได้พบกับเปรต ทั้งเปรตข้างนอกและเปรตข้างใน เปรตคนอื่นเราก็ยกไว้ก่อน เอาแค่ดูไว้ ศึกษาไว้ ว่า…อ๋อ…นั่นเปรตเขาตัวขนาดนั้น ส่วนเปรตในจิตเรานี่ต้องขัดเกลากันให้หนัก จิตเปรตนี่ไม่ควรเอาไว้ เพราะมีแล้วตนเองก็ทุกข์ คนรอบข้างก็ทุกข์

วิธีปราบเปรตก็คือให้ทานนี่แหละ เห็นจิตอาสาเขามาแจกของ แม้เราไม่มีของเราก็ใช้แรงงานแทนได้ แจกเข้าไป ถ้าเราไม่หวง เราแจกได้ สละได้ ไม่สะสมได้เท่าไหร่ นั่นคือเราปราบเปรตในจิตเราได้เท่านั้นแล้ว

เมื่อปราบเปรตได้จิตก็จะสูงขึ้น วันหนึ่งก็จะสูงถึงขั้นเป็นเทวดา(คนใจสูง) แต่ไม่ต้องรอให้ร้อนอาสน์หรอก เพราะตอนนี้มีโอกาสมากมายให้ได้ทำความดี ก็ทำกันไปตามแต่จะมีกำลัง…

[15] ที่ราบ คลอง ภูเขา

diary-0015-ที่ราบ-คลอง-ภูเขา

15. ที่ราบ คลอง ภูเขา

สมัยที่ยังเด็ก ๆ ผมเคยมีภาพฝันว่า อยากมีบ้าน ที่สามารถทำสวนทำไร่ได้ มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติตัดผ่าน มีภูเขาล้อมรอบ อารมณ์แบบบ้านเล็กในป่าใหญ่

ฝันนั้นค่อย ๆ เลือนลางไปตามกาลเวลา แต่วิถีชีวิตผมยังเลือกเส้นทางที่จะเอื้อต่อฝันนั้นอยู่ เช่น เลือกเรียนในสาขาที่สามารถรับงานอิสระได้ คือศิลปกรรม

เพราะผมเป็นคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตตั้งแต่ยุค 56 kbps ก็พอจะเดาได้ว่าในอนาคต การทำงานแล้วส่งผ่านอินเตอร์เน็ตต้องสะดวกแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริงอย่างในทุกวันนี้

แต่สุดท้ายฝันนั้นก็เลือนหายไป ผมกลายเป็นคนเมืองทำงานออฟฟิศอยู่ช่วงหนึ่ง จนลาออกมาทำงานส่วนตัว และเรียนต่อ …ในใจตอนนั้นก็เรียกว่าลืมฝันไปหมดแล้ว เพราะเรียนต่อด้วยเหตุผลที่ว่าจะหางานในเมืองทำ

แต่สุดท้ายชีวิตก็พลิกผัน ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มันก็มีปัญญาเกิดขึ้นว่า ทำงานแบบที่คิดไว้นั้นไม่ดี เราหาทางออกดีกว่า

ผมปักมั่นที่จะออกจากวังวนนั้นจนกระทั่ง พ่อได้มอบที่ดิน ที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อนให้พร้อมเงินจำนวนหนึ่งให้มาตั้งตัวที่นี่

ที่นี่มีความฝันของผมอยู่ครบ มีที่ราบมากพอจะปลูกพืชได้ มีภูเขาล้อมรอบ มีแหล่งน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าได้มาทั้งหมดโดยไม่ต้องแสวงหา

นี่คงจะเป็นกรรมเก่าที่ผมทำมาในชาติใดชาติหนึ่งแน่ ๆ เพราะมีทั้งเหตุคือความฝัน ความตั้งใจ และมีผลคือได้สิ่งเหล่านั้นมา(ให้ผ่านมือพ่อ) เพื่อสร้างเหตุใหม่ที่จะเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

อนาคตเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอก ผมมีหน้าที่แค่ทำให้ที่นี้มันเจริญขึ้นเท่านั้นเอง ความฝันมันจบไปแล้ว เพราะที่มีอยู่นี่แหละคือความจริง

เรื่องลวงโลกอะไรบ้างที่เข้าใจผิดกันมานาน

จากกระทู้ : เรื่องลวงโลกอะไรบ้างที่เป็นที่เข้าใจผิดกันมาเป็นเวลานาน

ชอบกระทู้แบบนี้นะ เปิดประเด็นมาดี แต่ถ้าเราไปตอบมันจะหลุดโลกไปเลย 55

เรื่องที่เราลวงโลกอยู่นี่ก็พยายามจะลดๆลงไป ส่วนเรื่องที่โลกลวงเรานี่ก็เยอะเลย ยิ่งถ้าได้มาศึกษาพุทธนี่ยิ่งแบบ… อธิบายเป็นคำก็ยาก

เอาเรื่องเด็ดๆ แล้วกัน เช่น เราต้องมีคู่!, เราต้องกินเนื้อสัตว์!, เราต้องรวย!, เราต้องประสบความสำเร็จ(แบบโลกๆ)! จึงจะมีความสุขอะไรแบบนั้น

วันนี้นึกหัวข้อได้เรื่องหนึ่งตอนบ่ายๆ คือ “เราไม่จำเป็นต้องมีคู่ครอง” กะว่าจะเอาไปใส่ในหมวดคู่มือคนโสดในเพจละนะ…

ที่คิดจะพิมพ์เรื่องนี้เพราะมันลวงจริงๆ โลกเขาลวงให้เราหลงว่ามันเป็นสิ่งควรมีควรได้ควรแสวงหา ไอ้เราก็หลงเมาตามเขาอยู่กว่า 30 ปี กว่าจะโงหัวขึ้นมาได้

ในฐานความรู้ที่ผมมีตอนนี้มันก็สุดแค่นี้แหละ จะไปพิมพ์เรื่องที่มันยากกว่านี้มันก็เกินฐานะไป เอาเรื่องที่ตัวเองเข้าใจและมั่นใจที่สุดก็เรื่องโสดเรื่องคู่นี่แหละ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเด่นที่ถนัดแล้ว

ส่วนตัวแค่คิดว่าเรื่องกิเลสในคู่ครองนี่ก็เรียกได้ว่าพอใช้ความรู้นี้แบ่งปันได้ชั่วชีวิตแล้ว เพราะคงยากที่จะมีคนพ้นด่านนี้มาได้ (พวกหมดโควต้านี่ไม่นับว่าผ่านนะ)

แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ มันตันอยู่ฐานนี้นานละ เดี๋ยวจะพยายามพัฒนาไปเรื่อยๆ ให้มีความรู้ใหม่มาพิมพ์บทความกัน แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว…แต่ล้างกิเลสนี่ไม่สนุกเลย~ ทุกข์สุดทุกข์ กว่าจะสุขก็นู่นนนนน หมดกิเลสในเรื่องนั้นๆ ไกลจัง~

ย้ายบล็อกมานาน แต่ก็ยังไม่ได้กลับมาเล่น

บล็อกนี้ย้ายมาจากอีกโดเมน แต่ก่อนอยู่ในอีกโดเมน แต่เลิกใช้อันนั้นไปแล้ว ย้ายมาอันใหม่ก็ไม่ได้เขียนอะไรมากมาย อย่างมากก็ประชาสัมพันธ์

แต่คิดว่าต่อไปก็คงจะใช้เป็นที่วิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมืองและเรื่องราวทั่วไปต่างๆ เพราะลำพังเรื่องชีวิตส่วนตัวก็ไม่ได้ศึกษาอะไรเป็นพิเศษนอกจากธรรมะ ซึ่งก็จะเขียนอยู่ในส่วนของ minimal life อยู่แล้ว

ก็จะพยายามใช้บล็อกแห่งนี้เพื่อสร้างประโยชน์ให้มากที่สุด เพราะไหนๆก็สร้างขึ้นมาแล้ว จะปล่อยว่างก็กระไรอยู่ แต่ก็ไม่แน่นะ กลับมาพิมพ์ได้ช่วงหนึ่งก็อาจจะหายไปอีกก็ได้เช่นกัน ถ้าหายไปก็ติดตามได้ที่ เพจ ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ แล้วกันนะ วนเวียนอยู่ที่นั่นมากที่สุด