จุ๊บนอนหลบฝนที่มีความหิวเป็นเพื่อน

จุ๊บนอนหลบฝนที่มีความหิวเป็นเพื่อน เป็นเรื่องของวันฝนตก กับแมวเหงาๆ หิวๆ ที่อยู่บ้านตัวเดียว

ผมกลับบ้านมาพร้อมกับสายฝนที่ซาๆ วันนี้เป็นวันที่ชุ่มชื้นมากๆ ฝนตกทั้งวัน เมื่อจอดรถเสร็จแล้วก็มองไปเห็นจุ๊บที่นั่งอยู่ตัวเดียว ที่เก้าอี้หวายซึ่งเป็นหนึ่งในที่นอนสุดโปรดของมัน แต่วันนี้ไม่ได้นอนเพลินเหมือนทุกวัน

จุ๊บนั่งมองเหมือนรอคอยใครสักคน นั่นอาจจะเป็นผมก็ได้ เพราะถ้ามีใครสักคนมาถึงบ้าน จุ๊บก็จะได้กินข้าว วันนี้ผมเทอาหารให้มันไปตอนเช้าและเทไม่เยอะมากเพราะคิดว่ายังไงเดี๋ยวนกพิราบก็มากินหมดก็เลยไม่ได้เทเผื่อมื้อเย็นไว้

cat-waiting-food

แมวหิืวตัวหนึ่งเมื่อเห็นเจ้าของเดินมาก็รีบลุกวิ่งเข้าใส่ทันที แถมเดินนำไปยังจานข้าว เหมือนจะบอกว่า “รออยู่นะ รีบๆเทอาหารได้แล้ว” เห็นจุ๊บตอนหิวนี่น่ารักผิดกับตอนปกติเลย เพราะว่ามันจะไม่ค่อยสนใจอะไรเวลามันไม่ได้หิว จะน่ารักก็สองเวลา นั่นคือเวลาตื่นกับเวลาหิว จะเล่นด้วยได้มากหน่อย

หลังจากนั้นก็เทอาหารให้มัน ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ไม่มีนกพิราบมากินตอนเย็น เพราะฉะนั้นมื้อเย็นก็เลยเป็นมื้อที่จุ๊บกินได้มากที่สุดนั่นเอง

สวัสดี

หลากลีลา กับแมวหิว

เวลาที่เราต้องการอะไร ก็จะพยายามเพื่อให้ได้มา แมวก็เช่นกันเมื่อต้องการ จึงพยายาม…

จุ๊บเวลาหิวนี่มันจะเชื่องเป็นพิเศษ เรียกก็มา ลูบก็นอน นั่งก็ไซร้ เดินวนไปมาขออาหารตลอด แค่เดินผ่านก็เดินตามแล้ว ซึ่งมันจะมีอาการประมาณนี้แค่ตอนหิวเท่านั้น…

cat-in-hungry-motion

ไม่รู้เหมือนกันว่าการเล่นหรือแหย่มัน ตอนมันหิวนี่เป็นการทรมาณแมวรึเปล่า แต่เวลาเห็นมันแสดงท่าทีที่ต่างจากที่เคยเป็นที่ไรก็อดขำและเดินไปหยิบกล้องมาถ่ายไม่ได้เสียที กว่าจุ๊บจะได้กินก็ต้องมาเป็นนายแบบอยู่หลายรูปเลยทีเดียว

จากรูปก็จะเห็นว่ามันผอมลงไป ผอมไปกว่าเดิมมากจริงๆ อาจเพราะอาหารไม่ถูกปากหรือเป็นเพราะแมวแก่อยากจะลดความอ้วนก็ไม่รู้มันเหมือนกัน แต่รู้แค่ว่าช่วงที่มันหิวนี่มันบ่อยจริงๆ หรือมันอาจจะอยากกินปลาทูอย่างเดียวก็ได้

ปลาทูบางทีก็มีหมด ไม่ได้ซื้อมาในหลายๆครั้งก็เลยต้องกินอาหารเม็ดไปก่อน แต่ทุกครั้งผมก็ยังรู้สึกว่าจุ๊บมันก็ยังคาดหวังปลาทูอยู่ดี ดูจากความพยายามในการอ้อน เคล้าเคลียอยู่บ่อยๆนั่นแหละนะ

สวัสดี

กำแพงกระจก

ก่อนที่จะพิมพ์ตอนนี้ ย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมลังเล ว่าจะเล่า หรือไม่เล่าดี และเล่าอย่างไร จบอย่างไรดี เป็นเรื่องที่ทำให้นึกอะไร อะไร..ในใจ ได้มากมายเหลือเกิน…

วันนี้ผมก็ไปอ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยเหมือนเคย เหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ผมสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากความขี้เกียจต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผมในแต่ละวันได้ ด้วยการเปลี่ยนที่…

หลังจากเวลาผ่านไปจากเที่ยงวัน จนตกเย็น และหลังจากที่อ่านและลองทำโจทย์ต่างๆเสร็จไปบ้างผมและเพื่อนๆก็แยกย้ายกลับบ้าน ระหว่างที่เดินไปที่อาคารจอดรถ เพื่อที่จะไปเอารถที่จอดอยู่กลับบ้านไปด้วย ก็บังเอิญว่าเจอนกตัวหนึ่งอยู่ในอาคารจอดรถ ซึ่งด้านในจะเหมือนพื้นที่ให้เช่าและกั้นด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่กำแพงก็เป็นกระจก

ผมมองนกตัวนั้น มันพยายามอย่างมากที่จะบินออกจากอาคารแห่งนี้ แต่สิ่งที่มันทำคือบินชนกระจก ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมยืนดูมันอยู่พักหนึ่ง ก็สังเกตุเห็นว่าปากมันแปลกๆ นกปกติคงจะไม่อ้าปากแน่ๆ แต่นกตัวนี้เวลายืนเฉยๆมันอ้าปาก ผมเลยเดาๆเอาว่ามันน่าจะเจ็บจากการที่บินไปกระแทกกระจกนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่รู้ว่าก่อนที่ผมจะเห็น มันอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็คิดในใจว่าถ้าผมเดินเข้าไปตามที่คิดว่าอยากจะช่วยมัน มันก็คงจะบินหนีซึ่งก็คงจะไปชนกับกระจกอีกแน่ ซึ่งอาจจะทำให้มันเจ็บหนักขึ้น

เสียงนกที่ร้องอย่างผิดปกติ เหมือนเรียกร้องอิสระที่เคยเป็นของมัน ตอนนี้มันเหมือนติดอยู่ในอะไรก็ไม่รู้ เห็นต้นไม้ เห็นฟ้า อยู่ข้างหน้า แต่พยายามไปเท่าไหร่ก็ชนอะไรก็ไม่รู้ เหมือนกำแพงอากาศที่มันไม่สามารถข้ามไปได้ กระจกของอาคารจอดรถคงจะใสมากทีเดียว จนเห็นอิสระได้ชัดเจนเกินไป แต่ในความใสก็ทำให้มันไม่เห็นกระจกเลย ทำให้นกน้อยๆตัวนั้น ชนกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า

มาถึงตอนนี้ผมแยกกับเพื่อนที่มาอ่านหนังสือด้วยกัน โดยที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่ทำอะไร เพราะกลัวว่าทำไปจะแย่กว่าเดิม ในระหว่างที่เดินหันหลังมาผมได้ยินเสียงน้องๆผู้หญิงเดินมาและพูดถึงนกตัวนั้น ทำให้ผมเดินออกไปได้อย่างสบายใจขึ้นนิดหน่อย ผมเดินไปหาห้องน้ำและพบว่ามันปิด ก็เลยเดินขึ้นไปอีกชั้นในอาคารจอดรถก็พบว่ามันปิดอีกเช่นกัน เลยเดินลงบันไดมายืนอยู่ที่เดิม

ข้างหน้าผมคือนกตัวหนึ่งที่สับสนในทิศทาง มันเริ่มออกอาการเมาๆ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ยืนดูมักสักพัก เสียงร้องของมันทำให้ผมรู้สึกผิดที่เดินหันหลังให้มัน จึงเดินไปด้วยความคิดว่า มันคงเพลียและผมจะจับมันง่ายขึ้น…

แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เพลียขนาดที่ผมจะจับมันได้ และมันก็บินหนีผมไปตามที่ผมคิด แต่ทิศทางที่มันบินหนีกลับเข้าลึกไปในตัวอาคารเข้าไปอีก…

ผมเดินตามมันไป ระหว่างทางพบเพื่อนที่เพิ่งแยกกันไป ดูเหมือนเขาจะไปทำธุระที่ธนาคารและพึ่งจะเสร็จ ผมกับเขาเดินไปทางที่มีนกตัวหนึ่งยืนงงๆอยู่ ผมบอกเขาว่า ผมพยายามจะจับมันเพราะมันดูแย่เต็มที เขาเสนอความคิดว่าน่าจะมีพวกตาข่ายจับมัน

การจับนกนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าจับนกด้วยมือเปล่าได้ เมนูอาหารที่เป็นนกก็คงเพิ่มมากกว่านี้เป็นแน่ แต่การจับนกนั้นก็ต้องมีอุปกรณ์ช่วยด้วย มันถึงจะสำเร็จโดยง่าย ระหว่างที่เดินคิดและระหว่างที่มันพยายามจะบินให้ห่างผมไปนั้นก็เดินไปเจอห้องน้ำพอดี ห้องน้ำนี้อยู่ใกล้กับทางออกของอาคารอีกฝั่งหนึ่ง ผมที่ซึ่งยังคิดไม่ออกว่าจะหาอะไรมาจับมันดี ก็คิดว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนก็น่าจะดี

ระหว่างที่เข้าห้องน้ำไปก็หันไปดู ก็เห็นว่านกน้อยๆตัวนั้นกำลังบินไปที่ทางออก ซึ่งทางออกนั้นเป็นทางเล่นระดับ ซึ่งต้องเดินลงไปและ เดินขึ้น เพื่อออกไปยังอิสระ แต่แน่นอนว่าเรามีการประดับที่สวยงาม ห้องที่อยู่ด้านล่างก่อนจะพบอิสระนั้นเต็มไปด้วยกำแพงกระจกซึ่งหลอกไว้ด้วยธรรมชาติด้านนอก ประตูเล็กๆที่เปิดอยู่นั้น มันใหญ่พอที่นกจะบินออกไปได้อย่างสบาย แต่ชัดเจนพอที่จะำทำให้มันแยกออกระหว่างทางออกและกระจก

ผมมองดูมันอยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในระยะห่างแค่สายตามองเห็น ผมอยู่ห่างจากมันมากเพราะคิดว่าไม่อยากไปใกล้จนกดดันมัน แต่ความเครียดและสัญชาตญาณของมัน ทำให้มันต้องขยับและพยายามหลีกหนีออกไปให้เร็วที่สุด มันบินออกไปอีกครั้งและชนกระจกอีกครั้ง ความเร็วและความแรงก็เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผลไม่เหมือนกัน

นกน้อยที่สะสมความเจ็บปวดและความอ่อนล้าแทบทนไม่ไหว กระเด็นออกมานานหงายขาชักสั่น ผมรีบเดินเข้าไปหามันทันที นี่คือโอกาสที่ผมจะได้พามันออกไปข้างนอก ผมรีบเดินไปจับมันมาไว้ในอุ้งมือ นกยังขยับตัวได้อยู่และพยายามดิ้น แต่ผมคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เพราะนี้คือโอกาสของมันด้วย ผมพามันออกไปด้านนอกอาคารซึ่งด้านหลังก็จะเป็น คลองรอบมหาวิทยาลัย และ ต้นไม้รอบรั้วซึ่งห่างจากถนนพอสมควร

นกเจ็บที่พอจะขยับได้บินออกจากมือของผมไปซุกยังพงหญ้า ผมเดินไปหามันอีกครั้งเพื่อที่จะพาไปให้ไกลๆกว่าเดิม แต่มันก็บินหนีไปเกาะเถาไม้เตี้ยๆ ซึ่งสูงระดับฟุตใกล้ๆ ผมเลิกที่จะสนใจมัน เพราะคิดว่ามันก็จะดีขึ้นแล้ว และมีแรงพอที่จะหนีผมด้วย หลังจากนี้ถ้ามันไม่เซ่อมาก ก็คงจะได้กลับบ้านไวๆ หรือถ้าพาร่างกายเจ็บๆไปบินเล่นแถวถนนก็อาจจะเสี่ยงที่จะเป็นนกแผ่นได้ ทั้งนี้ก็คงสุดแล้วแต่กรรมของมัน ซึ่งกรรมของผมและมันนั้นคงได้สิ้นสุดแค่นี้ ขอให้มีความสุข

หลังจากนั้นผมก็ลาเพื่อนกลับ ต่างคนต่างกลับบ้านไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกันไป ระหว่างทางรถติดพอสมควร ผมนั่งนึกถึงเรื่องนี้ เรื่องที่ผ่านไปไม่นาน ผมจะเอามาเล่าดีไหม…

เรื่องของ กำแพงกระจก…
ในชีวิตของเรา เราเคยรู้บ้างไหมว่าอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร ภาพที่มองนั้นชัดเจน จนไม่เห็นปัญหา ผมคิดถึงนกตัวนั้นและย้อนไปนึกถึงตัวเอง มีบ้างไหมที่ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ และมีบ้างไหมที่คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น เรามองเห็น เราคิดว่าเข้าใจ แต่ไม่เคยผ่านมันไปได้…

สวัสดี

จุ๊บที่กลัวฝน

การที่แมวกลัวฝนหรือกลัวน้ำก็ดูเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ซึ่งจะสังเกตุได้ว่าเวลาฝนตกนั้น เราจะสามารถเจอจุ๊บได้รอบๆบ้าน…

วันนี้จุ๊บมาพร้อมเสียงเปิดประตูเข้าบ้านของแม่ วันนี้แม่กลับบ้านมาเร็วอาจเพราะพายุฝนก็เป็นได้ จุ๊บเป็นแมวที่เวลาได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านก็จะวิ่งเข้าบ้าน เหมือนรู้ว่ามีเจ้าของมาให้อาหารแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้าบ้านก็จะไปเดินเล่นอยู่บ้านอื่นๆ…

หลังจากมันมาอ้อนแม่ แม่ก็เทอาหารให้มัน เพราะอาหารแมวมักจะหมดไปกับนกพิราบที่มาคอยกินอาหารแมวที่เททิ้งไว้ให้จุ๊บในช่วงสายๆ – บ่าย ถ้าหลังจากพระอาทิตย์ตกแล้วเทอาหารก็จะไม่มีใครมาแย่งจุ๊บกิน มันก็เลยกินอย่างสบายๆ

jub-runaway-from-rain-1

ถ่ายรูปดูจะเป็นการขัดจังหวะและขัดใจในการกินอาหารของแมวอยู่ไม่น้อย เพราะมันก็คงคิดว่ามาเล่นอะไรตอนกินกันเนี่ย

jub-runaway-from-rain-2

กินไปได้สักพักก็เดินไปแอบอิงขอบประตูบ้าน

jub-runaway-from-rain-3

ดูหน้าตรงกันชัดๆ จะเห็นได้ชัดว่าหูแหว่งไปข้างหนึ่ง เพราะไปทะเลาะกับใครหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ จำได้แต่ตอนนั้นแผลมันเน่าหนองขึ้นก็เลย หยอดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซ์ ที่ใช้กับแผลเน่าได้ แต่ผลคือทำลายเนื้อเยื่อไปบางส่วนด้วย เลยกลายเป็นแมวอิมบาล๊านขึ้นมาทันที แต่ก็ดูมันมีความสุขดี บางครั้งนั่งมองมันก็แอบอิจฉาความไม่ทุกข์ที่มันไม่เหมือนเรา มันไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัวมากเหมือนเรา สำหรับเวลาที่เครียดๆก็อิจฉาแมวอยู่ไม่น้อย

jub-runaway-from-rain-4

วิ่งฝ่าฝนเข้าบ้านมาหลังเลยเปียกนิดหน่อย ดูแล้วฟูๆดี ตอนนี้จุ๊บผอมลงนิดหน่อย เพราะพุงย้วยๆไม่เต่งตึงเหมือนเดิม

ตอนนี้เหมือนจะมีหนูอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ผมพยายามให้จุ๊บเข้ามาในบ้านเพื่อหาสารอาหารกินด้วยตัวมันเอง หวังว่ามันคงจับหนูในบ้านได้ในเร็ววัน หรือที่หนูมาอยู่ในบ้านนั้น คงเป็นเพราะแมวมันอยูนอกบ้านนั่นเอง

สวัสดี

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง หลักจากห่างหายจากการเรียนในห้องเรียนมาเกือบสี่ปี วันนี้ไปเรียนครั้งแรก หลังจากได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่ ymba ม.เกษตร เหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว …ไม่เป็นไรผมจะเล่าให้ฟัง

15 พฤศจิกายน 2552 สมัครสอบ ผมไปยื่นใบสมัครสอบที่ คณะบริหาร ม.เกษตร ซึ่่งในใบประกาศเขาบอกว่าวันนี้เป็นวันรับสมัครวันสุดท้าย และผมก็มีเวลาแค่วันนั้นพอดี ผมเองจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นทำอะไรอยู่ จำได้แต่ว่างานยุ่งมากๆเลย พอไปถึงที่ เกษตรเขาก็ให้เลือกว่าจะสอบเข้าสาขาไหนบ้าง ถ้าเลือกสองสาขาแบบว่าสำรองได้ก็ 900 สาขาเดียวก็ 700 ร้อย

ด้วยความมุ่งมั่นที่ตัวผมมี และจากการวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่เรียนบริหาร SME มาแล้วนั้น ผมจึงตัดสินใจเรียนภาคค่ำวันธรรมดา ซึ่งเรียนด้วยกัน 3 วันคือจันทร์ พุธ และศุกร์ ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้นั้น อาจเพราะมีเหตุผลเดียวนั่นคืออยากเก็บวันเสาร์อาทิตย์ไว้ใช้เวลาไปไหนมาไหนบ้าง ซึ่งสิ่งนั้นมันจะดูสำคัญในเชิงสังคม(ของผมเอง)มากพอสมควรเลยทีเดียว และหลังจากนี้ก็รอสอบไป..

29 พฤศจิกายน 2552 วันสอบ และแล้ววันสอบข้อเขียนก็มาถึง เวลาที่ผมใช้ทบทวนนั้นมีไม่มาก ประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ซึ่งในเวปบอร์ดของ ymba รุ่น 15 เขาก็บอกว่าข้อสอบแนว GMAT ผมเองก็ไม่รู้หรอกมันคืออะไร ก็ไปหาตามร้านหนังสือทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เจอ…

ด้วยความที่ว่าจะไปตามหาหนังสือมันก็ดูจะลำบากไป ก็เลยให้เพื่อนๆช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริหาร และข้อมูลแนวข้อสอบที่ใกล้เคียง สรุปผมโหลดข้อสอบเลชอะไรมาไม่รู้ครับ ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็ดันอ่านไปตั้งหลายข้อ แต่จริงๆก็ไม่ได้อ่านมากหรอกครับ วาดรูปไปสลับกับอ่านไปบ้าง เน้นไปทางวาดรูปซะเยอะหน่อย แล้วก็ดูเวปพวกบริหารบ้างตามที่เพื่อนส่งให้

มาถึงวันสอบแล้วทีนี้ ผมไปตั้งแต่เช้า แต่เช้าของผมคือสายของคนอื่นและแน่นอน คนเต็มไปหมด คนสอบสาขาบริหารการจัดการ รอบวันธรรมดามีอยู่ประมาณ 128 คน ซึ่งยังไม่รวมคนที่เลือกอันดับสองที่ผิดหวังมาจากสาขาอื่นๆด้วย เฉลี่ยๆแล้วน่าจะประมาณ มากกว่า 200 คนที่เลือก บริหารการจัดการ รอบวันธรรมดา

ครับมันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านโจทย์นี้ไปได้ ผมตัองแข่งขันกับคนเกินกว่าร้อย เพื่อที่จะได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 30 กว่าคนที่ได้โอกาสเรียนที่นี่ ( ดูจากสถิติของรุ่นที่ผ่านมานะ ) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของผมครับ ก่อนสอบผมมักจะทำใจให้สบาย หลังสอบก็ทำใจให้สบาย สรุปคือจะสอบตอนไหนผมก็สบาย สบายเหมือนเดิมครับอาจจะดูไม่ดีที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่นี่คือธรรมชาติของผมจริงๆครับ

การสอบของวันนี้เริ่มช้ากว่ากำหนดการที่ตั้งไว้ จากตอนแรกให้เวลา 3 ชม เหลือ 2 ชม โดยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ชี้แจง ไม่เป็นไรยังไงเราก็เท่ากันทุกคน แล้วก็เข้าห้องสอบครับ โจทย์ถือว่าไม่ยากมากมายเท่าไรนัก ผมใช้ความรู้ระดับ ม 6 + ดวง + ความน่าจะเป็นช่วยในการแก้ไขปัญหาแต่ละข้อจริงๆครับ และในระหว่างการสอบมีเหตุการณ์ำำไฟดับ ซึ่งผมคิดว่าคนที่อยู่หลังห้องเสียเปรียบเรื่องแสงพอสมควร แต่ห้องไม่ถึงกับมืดครับ ผมนั่งข้างหน้าอยู่ในแนวประตู ซึ่งเปิดออกหลังจากไฟดับก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ ก็ดูสมเหตุสมผลกับคนสายตาไม่ค่อยดีอย่างผมนั่นเอง

เดินออกจากห้องสอบ พร้อมค่าประมาณในหัวที่่ต้องเตรียมไปตอบ พ่อแม่พี่น้อง กับคำถามที่ว่าทำได้ไหม ผมก็จะตอบไปว่าทำได้ 30 อีก 40 ไม่แน่ใจ อีก 30 นั้นเดา… ครับนี่คือคำพูดที่ตอบให้กับทุกคนที่ถามเรื่องสอบ ดูตรงไปตรงมาดีไหมครับ แต่มันก็ประมาณนี้แหละนะ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

8 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสอบข้อเขียน และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ ผมลุ้นตั้งแต่เช้าเลยครับ ตื่นมารอกดรีเฟรชอัพเดทในหน้าเวป ymba กันตั้งแต่ตื่นนอนเลยทีเดียว ลุ้นไปลุ้นมาก็ง่วงเลยเดินไปนอนต่อ ตื่นมาดูอีกทีก็บ่ายๆครับ ผลออกมาน่าตกใจมาก ผมสอบผ่านครับ ซึ่งติดอยู่ในรายชื่อ 1 ใน 48 คน หมายความว่ามีคนอีกกว่า 70 คนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งในขั้นตอนต่อไปก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์กันล่ะครับ ซึ่งในการสอบสัมภาษณ์นี้ ผมก็สบายๆอีกเหมือนเดิมครับและแล้วก็มาถึงวันที่ ….

15 ธันวาคม 2552 สอบสัมภาษณ์ วันนี้อากาศดีครับ ผมออกจากบ้านแต่เช้าด้วยชุดเก่งพร้อมความมั่นใจเต็มร้อย พอไปถึงก็รับบัตรคิวรอสอบสัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างนั่งรอผมก็ได้สังเกตุเห็น….

ผมแต่งตัวสบายเกินไปหน่อยครับ แน่นอนว่าชุดเก่งของผมเป็นชุดสบายๆซึ่งก็คือเสื้อเชิตกางเกงยีนต์เสริมหล่อด้วยรองเท้าหนังสุดโปรดที่เอาไว้ใส่ยามออกงานเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนแถวนั้นถือว่าดูแปลก..แต่จริงครับ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางดงใส่สูทผูกไท ทุกคนสวยหล่อและดูดีกันจริงๆ เอาละซิ งานนี้ผมจะเอาอะไรไปเป็นจุดขายดี ในเมื่อตัวโปรดักส์ของผมนั้นใส่แพคเกจที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมมา แล้วจะทำอย่างไร แน่นอนครับ ผมเองไม่ได้กังวลกับมันเท่าไหร่นัก…

ถึงเวลาเรียกสอบสัมภาษณ์ และผมเองก็มั่นใจมากสำหรับความมุ่งมั่น ความพร้อมด้านการเรียน ความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งดูๆแล้วเขาจะให้ส่วนนี้มีน้ำหนักมากในการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ ติดตรงการแต่งตัวนี่แหละครับ ด้านอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เกิดสงสัยตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งผมก็สามารถอธิบายได้ในรูปแบบและธรรมชาิติของผมให้ ท่านอาจารย์แกเข้าใจได้ ส่วนท่านจะเข้าใจว่าอย่างไรจริงๆก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ

สุดท้ายอาจารย์ท่านก็บอกว่าคะแนนสอบสัมภาษณ์นี้มีแค่ไม่กี่คะแนนซึ่งจะส่งผลน้อยมาก เพราะยังไงถ้าคนที่สอบข้อเขียนได้คะแนนเยอะ แต่สอบสัมภาษณ์ ก็ยังติดอยู่ในผู้ได้โอกาศอันดับต้นๆอยู่ดี ซึ่งพอได้ยินดังนี้แล้ว ความกังวลเล็กน้อยก็เกิดขึ้นมาว่า หมายความว่าถึงจะได้คะแนนสอบสัมภาษณ์เต็ม แต่สอบข้อเขียนน้อยก็ไม่ติด….สินะ

ไม่เป็นไรครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามดวงครับ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้แต่แรกแล้ว

22 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสัมภาษณ์ อีกแล้วครับ ผมผ่านมาได้อีกด่านอีกแล้ว คราวนี้จาก 48 คนลดเหลือ 38 คน ผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันตั้ง 10 คน แต่เท่าที่รู้ๆเขารับ 30 คนครับ ผมอยู่อันดับ 34 ซึ่งหมายความว่านั่นคือสำรองอันดับสี่ และมันหมายความว่าต้องมาคนสละสิทธิ์สี่คนผมถึงจะได้เข้าไปเรียน

ตอนนี้่ผมเองไม่มีข้อมูลอะไรแล้วครับ ไม่มีสถิติเก่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ลุ้นอย่างเดียว โดยขั้นตอนการสละสิทธิ์คืองานไม่โอนเงินเข้าไปในวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องลุ้นในวันสิ้นสุดการจ่ายเงินของตัวจริง

11 ธันวาคม 2553 โอกาสของตัวสำรอง แน่นอนครับว่าตัวสำรองทุกคนก็ต้องการเป็นตัวจริง แต่ในความจริงแล้วนั้น ไม่มีใครได้เป็นตัวจริงทั้งหมด ซึ่งโอกาสของผมช่างดูริบหรี่เสียจริง ผมโทรไปแถมที่คณะ ได้คำตอบมาว่า มีคนสละสิทธิ์แค่สองคน และดูเหมือนคนที่สำรองอยู่เขาจะเรียนด้วย นี่คือคำตอบที่ผมตีความมาจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ และยังมีทิ้งท้ายว่าจะรู้แน่ชัดอีกทีก็วันที่ 13 เย็นๆ…

14 ธันวาคม 2553 แน่นอนว่าผมเองชอบความแน่นอน ซึ่งความแน่นอนนั้นดูจะไม่แน่นอนตลอดเวลา ผมยังมีความหวังบนความสิ้นหวังในนาทีสุดท้าย ของวันที่ 14 เวลา บ่ายแก่ๆ รวบรวมสมาธิโทรไปถามว่าผมจะได้โอกาสนั้นหรือไม่ เหตุที่ผมต้องการคำตอบขนาดนี้ เพราะว่าผมต้องการสมาธิในการทำงาน แน่นอนช่วงนี้ผมติดงานอยู่ครับ และเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก ผมจำเป็นต้องตัดเรื่องกวนใจออกให้หมด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมกังวลใจจริงๆ

ผมโทรไปที่คณะ และได้คำตอบมาว่า ตัวสำรองใช้สิทธิ์เข้าเรียนกันหมดแล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็ตัดใจแล้วครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมคุยเรื่องทางเลือกอื่นๆเช่นมหาวิทยาลัยอื่นกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้อง ลองกันใหม่นะ

ผ่านไปไม่นานนัก มีโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์บ้าน ซึ่งปกติผมไม่ค่อยอยู่รับเท่าไหร่ น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยบอกให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาส ใช่ครับ อย่างที่ผมคิดจริงๆ ทาง ymba โทรมาบอกว่าผมได้สิทธิ์เรียนโดยมีข้อกำหนดว่าผมต้องจ่ายแคชเชียร์เชคก่อนเที่ยงวันที่ 15 หรือวันพรุ่งนี้ และผมก็ตอบตกลงในทันที แน่นอนว่าเรื่องเงินนั้นคุณพ่อผมเป็นคนจัดการให้ครับ ซึ่งท่านก็นำมาให้ในเย็นวันนั้นนั่นเอง

15 ธันวาคม 2553 ผมมามหาลัย พร้อมความกังวลเล็กน้อยครับ ว่าผมได้เรียนจริงๆหรอ มันดูเหมือนเรื่องโกหกยังไงไม่รู้ แต่มันก็ดูสนุกดี และผมก็โทรไปถามวิธีกับทางคณะอีกครั้งด้วยเหตุผลทางใจหลายๆอย่าง สุดท้ายก็เอาเชคไปจ่ายให้่ที่คณะพร้อมเซ็นชื่อครับ ตอนเซ็นก็เห็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายพอดี ที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณผู้สละสิทธิ์ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมไม่เสียเวลากังวลใจไปอีกหนึ่งปีครับ

หลังจากตอนเช้า ผมกลับมาทำงานต่อ และออกไปเรียนปรับพื้่นฐานอีกครั้งในเวลา 6 โมงเย็น สำหรับการเดินทางนั้นไม่ยุ่งยากนัก เพราะหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกเกษตรนั่นคือความสะดวกในการเดินทางจากทุกทิศทุกทาง และใกล้บ้านผมเป็นหลัก ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาทีครับ

พอไปถึงก็คนเต็มห้องเลยครับ รู้สึกว่าวันนี้จะเรียนรวมกันทุกสาขาเพราะเป็นการปรับพื้นฐานครับ แน่นอนว่าคนที่จบศิลปกรรมอย่างผมมานั้นคงต้องปรับกันเยอะเลย แต่ดูท่าเพื่อนๆในรุ่นจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วครับ ซึ่งผมคิดว่าดีครับ จะได้มีคนปรึกษาเยอะๆ และผมก็มั่นใจว่าผมก็มีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้อยู่เหมือนกัน

เรียนๆกันไปก็มีพักด้วย ผมเดินลงไปเจอกับชามก๋วยเตี๋ยวนับร้อยที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะรอให้นิสิตทุกท่านรับไปทานกันให้อิ่มหนำสำราญกาย สบายใจ ซึ่งเรื่องอาหารว่างนี่ผมก็ได้ยินมาจากเพื่อนบ่อยๆครับ แต่ที่ผมเห็นตรงหน้านี่มัน…เป็นมื้อหลักได้เลยทีเดียว วันนี้ผมกินบะหมี่ไปสองชามครับ จริงๆจะกินชามเดียว แต่พอดีว่างๆไม่มีอะไรทำ แล้วเห็นว่าทำมาเยอะ แต่คนมาน้อยก็เลยช่วยเขากินอีกชาม ก็อร่อยดีครับ

สุดท้ายนี้เรื่องเรียนคงให้เป็นเรื่องของอนาคตต่อไปครับ ส่วนจุดประสงค์ในการเรียนหรือการเลือกเรียนนั้นคงต้องอธิบายกันในตอนต่อๆไป ถ้ามีโอกาส

และสุดท้ายนี้ เรื่องทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่า ” ดวงดีช่วยผมได้ “

สวัสดีครับ

To do list

To do list คือการจดบันทึกย้ำเตือนสิ่งที่ต้องทำ ควรจะทำ หรือน่าจะทำ…

การจดนั้นสามารถป้องกันการลืมได้อย่างดี โดยเฉพาะคนลืมง่ายแบบผม โดยปกติแล้วก็จะจดสิ่งที่ต้องทำประจำวันไปในกระดาษแผ่นเล็กๆเสมอๆ เพื่อป้องกันการลืม เพราะการออกจากบ้านแต่ละครั้งมันมีเหตุการณ์ชวนให้หลงลืมจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้จริง หรือแม้แต่การทำงานในบ้าน หรืองานที่ต้องทำในช่วงนั้นๆ ผมก็จะทำ to do list ไว้เสมอ

dinh-to-do-list

นี่เป็น to do list สำหรับงานที่ต้องทำตลอดครึ่งปีแรกของปี 2553 นี้จริงๆอยากเขียนให้หมดทั้งปี แต่แบ่งเป็นสองช่วงไว้ก่อนดีกว่าเผื่ออะไรจะเปลี่ยนแปลงไปได้ สำหรับแผนในครึ่งปีแรกนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำเวปไซด์ใหม่ และวาดโปสการ์ดใหม่ๆซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับปีก่อนๆ แต่ในส่วนของเวปไซด์นั้น ผมมุ่งเน้นไปทางเวปเครือข่าย เพื่อจะได้ปั้นเวปไซด์ที่สามารถสร้างรายได้ในเวลาต่อๆไป ซึ่งจะนำพารายได้รายเดือนแบบต่อเนื่องมาสู่ผมนั่นเอง(คิดไปว่าอย่างนั้น)

จริงๆแล้วสำหรับแผนการเวปไซด์ของผมนั้นไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะสร้างรายได้ให้รุ่งเรืองได้เลย เพราะมันเหมือนเป็นกาีรเสี่ยงล้วนๆ แถมเป็นการลงทุนด้วยเวลาที่ให้ผลตอบแทนช้ามากๆ ยกเว้นแต่ผมจะมีความสามารถในการสร้างเม็ดเงินจริงๆ

จริงๆแล้วผมกำลังลองเสี่ยงดูกับความสามารถที่ผมมีอีกครั้งครับ ผมเองไม่แน่ใจนักว่าผมเก่งหรือเชี่ยวชาญด้านไหนกันแน่ เพราะลองไปจับอะไรแล้วมันก็ดูสนุกและน่าเรียนรู้ไปซะหมด ผมเองไม่เลือกที่จะเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เก่ง และแน่นอนความคิดของผมแบบนั้นมันไม่ดีเอาซะเลย เพราะว่าการไม่เก่งด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้การหางานลำบากนิดหน่อย และดูอนาคตจะลำบากมากตามไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ผมน่าจะมีเวลาอย่างน้อย 4 – 5 ปีก่อนที่ผมจะต้องเลือกเส้นทางหลักของชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ก่อนที่ผมจะต้องเริ่มแบกรับภาระในชีวิตด้วยตัวเองทั้งหมด ผมควรจะเสี่ยงเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่คือก้อนความคิดของผมที่เป็นแนวทางในการเรียนรู้ในปีที่ผ่านๆมาและปี 2553 นี้นี่เอง

สวัสดี

อรุณสวัสดิ์แมวหมู

เมื่อวานก่อนตื่นนอนลงไปดูบอนสีตามปกติ และก็พบจุ๊บตามปกติ…

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็กๆตัวใหม่ที่แม่ซื้อมาให้ ดูๆแล้วเหมือนเก้าอี้ซักผ้า แต่มันก็นั่งสบายกว่าเก้าอี้พลาสติก อาจจะเพราะมั่นใจว่ามันจะไม่หัก.. จุ๊บนอนอยู่ข้างหลังผม บนตู้ที่ใช้เก็บของ ตื่นมาอย่างงัวเงียและกระโดดลงมาเดินผ่านผมไป

จุ๊บไปหยุดอยู่กลางทาง หันมามองหน้าผมแล้วร้อง “เหมียว” เป็นสัญญาณว่า ไปให้ทำหน้าที่ได้แล้ว นั่นคือให้อาหารมันนั่นเอง จริงๆมันแสนรู้ขนาดนี้แล้วก็น่าจะเปิดถุงอาหารเองได้แล้วนะ แต่มันอาจจะขี้เกียจก็ได้ หรือไม่ก็เป็นแมวมารยาทดี

ผมเดินผ่านในบ้านไปเพื่อเปิดประตูหน้าบ้านที่ยังลงกลอนไว้อยู่ และเมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับจุ๊บ ซึ่งภาพแบบนี้เป็นเหตุการณ์ที่เดาได้ง่ายสุดๆว่าจุ๊บจะมารอ ณ จุดนี้ ซึ่งมันก็คงรู้เหมือนกันว่าผมคงจะเดินมาเปิดประตูแน่นอน

jub-cat-wait-fish

นี่คือภาพแมวจุ๊บกับจานอาหารที่ว่างเปล่า ที่บ้านผมใช้จานสแตนเลส ซึ่งมีอยู่ใบเดียวที่ซื้อมาสำหรับแมวโดยตรงกันเลยทีเดียว เพราะเคยใช้ชามพลาสติกแล้วมันเสื่อมสภาพและพังไวมากๆจะไม่เปลี่ยนมันก็ไม่ดี ก็เลยใช้จานแบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว

แถมท้ายด้วยคลิปวีดีโอจุ๊บ โชว์โหม่งประตู และเลียปากแพล่บ ๆ ( อาการเห็นหน้าผมแล้วหวังว่าจะได้กินปลาทู )

เรื่องเล่าไม่ประจำวัน ความหิวของจุ๊บ ความฝันของตัวใหญ่

เรื่องเล่าวันนี้ ที่ไม่เล่าประจำวันก็เพราะว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องแมวสองตัวให้อ่านกัน…

เริ่มจากจุ๊บก่อน วันนี้ผมเปิดประตูหลังบ้านไปชมบอนสีตามปกติ และก็เหมือนเดิมตามปกตินั่นคือจุ๊บจะนอนอยู่ที่ประตู พอเปิดไปก็ชนมันพอดี ก็ดันๆมันไปมันก็ลุกออกไป ทีนี้พอมันเดินไปนิดหนึ่งก็หันกลับมาร้อง ผมก็ยืนดูบอนสีอยู่ หันไปมองมันก็ร้องอีก มันเดินไปอีกนิดก็หันมาร้องอีก หลาย เหมียวมาก ซึ่งปกติหลายปีผ่านมาผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงจุ๊บร้องเลย คนที่บ้านก็คิดว่ามันเป็นแมวใบ้ แต่ตอนนี้มันเริ่มร้องบ่อยขึ้น

กลับมาที่หลังบ้าน บอนสี และแมวจุ๊บ ผมยืนดูมัน มันหันกลับมาดูผม มองหน้าผม และร้องอีกครั้ง ผมพอจะเดาความต้องการของมันได้เลยบอกมันว่า ” รอแปปหนึ่ง เดี๋ยวจะไปเทให้ ” เทที่ว่านี้คือเทอาหารแมวนั้นเอง ผมเข้าบ้านปิดประตูหลัง เปิดตู้เย็นหยิบแก้ว หยิบขวดน้ำ เทน้ำ กินน้ำและเอาขวดใส่ตู้เย็นและวางแก้วไว้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อออกไปกินข้าว

เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านก็พบจุ๊บอยู่หน้าบ้านนอนพิงประตูอยู่เลย เหมือนว่ามาจองที่อย่างไรอย่างนั้น ผมดันมันออกไปและลูบหัวมันทีหนึ่งเล่นกับมันนิดหน่อยแล้วเทอาหารแมวให้มัน

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ผมเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ว่า ที่จุ๊บมันมานอนหลังบ้านมันรู้หรือเปล่าว่าผมจะออกมาดูบอนสี หรือมันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ…?

————————————————–

กลับมาที่เรื่องตัวใหญ่กันบ้าง หลังจากผมออกไปกินข้าวและขับรถกลับมานั้น ในระหว่างเข้าซอยในหมู่บ้านผมเป็นฝูงแมวสามตัว และหนึ่งในนั้นคือตัวที่ผมคุ้นเคยดี…

tuayai

ตัวใหญ่เป็นแมวที่อยู่กับบ้านผมมานาน และไม่นานนี้หลังจากเราได้ย้ายมาบ้านใหม่ที่นี่นั้น ตัวใหญ่เริ่มจะออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น และบ่อยขึ้นจนไม่กลับมาให้เห็นเป็นเดือนๆเลย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันตายไปแล้วด้วยซ้ำ

ตัวใหญ่เป็นแมวหนุ่มที่ดูเหมือนจะเก็บกด ตอนเด็กๆก็โดนเจ้านายรังแก ( ผมเอง ) โตมาแม้จะตัวใหญ่ก็ไม่มีความมั่นใจ อยู่ที่บ้านเก่าที่ลาดพร้าวก็ต้องกลัวแมวเจ้าถิ่นเขาเดินมาก็ยอมให้อาหารกิน โดนขู่ก็วิ่งหนี…

และหลังจากที่ผมพบฝูงแมวสามตัววันนี้ และหลังจากที่ผมรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือตัวใหญ่ ผมจึงขับรถไปเทียบเพื่อลองเรียกมันดู ตัวใหญ่นั่งนิ่งมองดูผม ในขณะที่แมวตัวอื่นดูงงๆและตกใจ ผมรู้ทันทีว่าตัวใหญ่ได้อยู่ในที่ ที่มันชอบแล้ว มันมีฝูงของมัน มีกลุ่มของมัน มีเพื่อนของมัน และมันก็ดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มเสียด้วย

แม้ว่ามันจะไม่ได้กลับบ้าน แต่เห็นมันวนเวียนอยู่แถวบ้านก็ยังอุ่นใจ อย่างน้อยที่แน่นอนเลยคือต้องมีคนคอยให้อาหารมันแน่ๆ เพราะมันไม่ได้ดูผอมอย่างที่คิดเลย และปลอกคอของตัวใหญ่นั้นก็ยังติดอยู่ แต่ของจุ๊บนั้นหลุดไปแล้ว

จุ๊บไม่ชอบปลอกคอเอามากๆ อยากจะถอดจะเป็นจะตาย แต่ตัวใหญ่ไม่มีอาการแบบนั้น เมื่อถึงสถานะการที่มีข้อจำกัดดูเหมือนตัวใหญ่จะทนได้ดีกว่าจุ๊บหลายเท่านัก จริงๆอาจจะไม่เรียกว่าทนก็ได้ อาจจะเป็นไม่รู้อะไรเลย หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไรเลยนั่นเอง

สำหรับวันนี้ ผมดีใจที่ได้เจอตัวใหญ่อีกครั้ง

สวัสดี

หมาข้างบ้าน

ดูแมวในบ้านกันมาก็เยอะแล้ว คราวนี้มาดูหมาข้างบ้านกันดีกว่า…

thedognextdoor

สองตัวนี้อยู่แถวๆบ้านผมเองครับ เดินข้ามถนนไปหน่อยก็เจอบ้านที่เลี้ยงหมาครับ ผมชอบเดินไปดู ดูๆใกล้แล้วไอ้ไซบีเรียน ฮัสกี้ นี้หน้ามันก็ตลกอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนเคยคิดว่ามันเป็นหมาเท่ห์ แต่สองตัวนี้มันตลกจริงๆ

แรกๆเดินไปหาก็เห่าๆหน่อยแหละครับ หลังๆเริ่มไม่เห่า ไม่รู้ว่าจะทำให้ผมตายใจรึเปล่า แต่มันก็ดูไม่เป็นมิตรเท่าโกลเดนละนะ

คราวนี้ลองเดินไปดูๆตอนแรกมันก็นอนเล่นๆกันอยู่ เห็นผมคงนึกว่าอาหารเลยวิ่งมากันใหญ่ พยายามจะเอาหัวลอดรั้วมา แต่ตัวก็ใหญ่ลอดได้แต่หัวนั่นแหละ มองๆไปก็เห็นมันสั่นหางดิ๊กๆเลย แต่ก็ไม่กล้าไปจับมันหรอกนะครับ ยังเกรงใจอยู่ แต่ดูจากอาการของมันก็พอรู้เลยว่า …อ่อ นี่มันหมาเหงานี่เอง ตัวซ้ายหน้าตาเกเรนิดหน่อย แต่ตัวขวานี่หน้าตาท่าทางเหมือนพยายามเป็นมิตรสุดๆ แต่ผมไม่หลงกลมันหรอกครับ ยื่นมือไปมันอาจจะงับมือผมเป็นของว่างก็ได้

แต่จะว่าไปพันธุ์นี้มันก็ไม่น่ากลัวเท่าบางแก้วละนะ ท่าทางไม่เป็นมิตรสุดๆเลย ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องหมาหรอกครับ ฟังๆเขาพูดเอา เห็นมากับตาตัวเองบ้างก็นิดหน่อย เอาเป็นว่าสองตัวนี้ดูน่ารักดีก็เลยถ่ายรูปมาเขียนถึงแล้วกัน

สวัสดี

พักหายใจ

กับเหตุการณ์ช่วงนี้ที่เกี่ยวกับตัวผมคงจะไม่มีอะไรมาก แต่ที่จะมาเล่ากันวันนี้ เป็นอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลาหนึ่ง ในวัน วันหนึ่ง เท่านั้นเอง

ตัวผมนั้นปกติจะตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดคอมพิวเตอร์ เปิดกาน้ำร้อน ชงชา แล้วดูอะไรๆที่เปลี่ยนแปลงในอินเตอร์เนท แล้วก็ค่อยทำงานกัน หลังจากทำงานนั้นผมจะค่อนข้างมีสมาธิพอสมควร แต่การมีสมาธินั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาของมันเอง

เพราะบางทีผมจดจ่ออยู่กับมันมากเกินเวลาที่สมควรทำให้มีการเมื่อยล้าปวดกล้ามเนื้อจนต้องลงมานอนบิดขี้เกียจกันทีเดียว ดังนั้นการจดจ่อมากเกินไปคงไม่เรียกว่าสมาธิสักทีเดียว คงจะเรียกว่าความหมกมุ่นมากว่า ถ้าใช้คำว่ามีสมาธินั่นหมายถึงผมคงต้องไปกินข้าวอาบน้ำ เดินเล่น แล้วกลับมาทำงานได้อย่างปกติเหมือนเดิม

แต่ปกติแล้วมันจะไม่เป็นเช่นนั้น เวลาที่ผมเดินไปที่อื่นผมก็จะคิดเรื่องอื่นๆ ในหัวมีอะไรตลอดเวลา ผมจำไม่ได้ว่าเวลาไหนผมไม่ได้คิด พอว่างสักหน่อยก็จะเอาอะไรออกมาคิด หรือไม่มีเรื่องคิดก็เปิดอินเตอร์เนทหาเรื่องใส่สมองมาคิดจนได้

เรื่องที่คิดมีทั้งมีสาระและไม่มีสาระบ้างปะปนกันไป แต่สำหรับผมมันมีประโยชน์มาก ความคิดหนึ่งๆเมื่อคิดไว้แล้ว ผ่านวันนานไปเราอาจจับมาต่อยอดกับความคิดปัจจุบันได้เรื่อย อาจเพราะเหตุนี้ผมเลยไม่ค่อยมีปัญหากับการคิดงานสักเท่าไร

วันนี้ตอนเย็นแม่กลับบ้านเร็วหน่อย ประมาณห้าโมงเย็นได้ ผมเปิดหน้าต่างไปทักทายแม่ และมองออกไปนอกหน้าต่าง อากาศเย็นกว่าให้ห้องมาก ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ผมอยู่ในห้องที่อากาศไม่ค่อยหมุนเวียนตลอด แม้ตอนนี้จะเอาพัดลมดูดอากาศข้างนอกเข้ามาบ้าง แต่มันก็ไม่เท่ากับเปิดหน้าต่างออกไปสูดอากาศแม้แต่น้อย

การเปิดหน้าต่างออกไปนั้นผมเพียงแค่ลุกและเอื้อมตัวไป มันใช้พลังงานและเวลาน้อยกว่าเดินไปห้องน้ำมากมาย แต่ผมกลับไม่ค่อยได้ทำมันเลย ผมเข้าห้องน้ำประมาณวันละ 20-30 ครั้งเพราะปริมาณน้ำชาที่กินเข้าไป และอาบน้ำบ่อย แต่ผมเปิดหน้าต่างวันละไม่ถึงหนึ่งครั้ง…

evening_outside

…หลังจากนี้คงต้องเปิดหน้าต่างเอาหัวออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง
…เพื่อ
…พักหายใจ

สวัสดี