เรื่องเล่าวันนี้ ที่ไม่เล่าประจำวันก็เพราะว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องแมวสองตัวให้อ่านกัน…
เริ่มจากจุ๊บก่อน วันนี้ผมเปิดประตูหลังบ้านไปชมบอนสีตามปกติ และก็เหมือนเดิมตามปกตินั่นคือจุ๊บจะนอนอยู่ที่ประตู พอเปิดไปก็ชนมันพอดี ก็ดันๆมันไปมันก็ลุกออกไป ทีนี้พอมันเดินไปนิดหนึ่งก็หันกลับมาร้อง ผมก็ยืนดูบอนสีอยู่ หันไปมองมันก็ร้องอีก มันเดินไปอีกนิดก็หันมาร้องอีก หลาย เหมียวมาก ซึ่งปกติหลายปีผ่านมาผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงจุ๊บร้องเลย คนที่บ้านก็คิดว่ามันเป็นแมวใบ้ แต่ตอนนี้มันเริ่มร้องบ่อยขึ้น
กลับมาที่หลังบ้าน บอนสี และแมวจุ๊บ ผมยืนดูมัน มันหันกลับมาดูผม มองหน้าผม และร้องอีกครั้ง ผมพอจะเดาความต้องการของมันได้เลยบอกมันว่า ” รอแปปหนึ่ง เดี๋ยวจะไปเทให้ ” เทที่ว่านี้คือเทอาหารแมวนั้นเอง ผมเข้าบ้านปิดประตูหลัง เปิดตู้เย็นหยิบแก้ว หยิบขวดน้ำ เทน้ำ กินน้ำและเอาขวดใส่ตู้เย็นและวางแก้วไว้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อออกไปกินข้าว
เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านก็พบจุ๊บอยู่หน้าบ้านนอนพิงประตูอยู่เลย เหมือนว่ามาจองที่อย่างไรอย่างนั้น ผมดันมันออกไปและลูบหัวมันทีหนึ่งเล่นกับมันนิดหน่อยแล้วเทอาหารแมวให้มัน
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ผมเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ว่า ที่จุ๊บมันมานอนหลังบ้านมันรู้หรือเปล่าว่าผมจะออกมาดูบอนสี หรือมันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ…?
————————————————–
กลับมาที่เรื่องตัวใหญ่กันบ้าง หลังจากผมออกไปกินข้าวและขับรถกลับมานั้น ในระหว่างเข้าซอยในหมู่บ้านผมเป็นฝูงแมวสามตัว และหนึ่งในนั้นคือตัวที่ผมคุ้นเคยดี…
ตัวใหญ่เป็นแมวที่อยู่กับบ้านผมมานาน และไม่นานนี้หลังจากเราได้ย้ายมาบ้านใหม่ที่นี่นั้น ตัวใหญ่เริ่มจะออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น และบ่อยขึ้นจนไม่กลับมาให้เห็นเป็นเดือนๆเลย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันตายไปแล้วด้วยซ้ำ
ตัวใหญ่เป็นแมวหนุ่มที่ดูเหมือนจะเก็บกด ตอนเด็กๆก็โดนเจ้านายรังแก ( ผมเอง ) โตมาแม้จะตัวใหญ่ก็ไม่มีความมั่นใจ อยู่ที่บ้านเก่าที่ลาดพร้าวก็ต้องกลัวแมวเจ้าถิ่นเขาเดินมาก็ยอมให้อาหารกิน โดนขู่ก็วิ่งหนี…
และหลังจากที่ผมพบฝูงแมวสามตัววันนี้ และหลังจากที่ผมรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือตัวใหญ่ ผมจึงขับรถไปเทียบเพื่อลองเรียกมันดู ตัวใหญ่นั่งนิ่งมองดูผม ในขณะที่แมวตัวอื่นดูงงๆและตกใจ ผมรู้ทันทีว่าตัวใหญ่ได้อยู่ในที่ ที่มันชอบแล้ว มันมีฝูงของมัน มีกลุ่มของมัน มีเพื่อนของมัน และมันก็ดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มเสียด้วย
แม้ว่ามันจะไม่ได้กลับบ้าน แต่เห็นมันวนเวียนอยู่แถวบ้านก็ยังอุ่นใจ อย่างน้อยที่แน่นอนเลยคือต้องมีคนคอยให้อาหารมันแน่ๆ เพราะมันไม่ได้ดูผอมอย่างที่คิดเลย และปลอกคอของตัวใหญ่นั้นก็ยังติดอยู่ แต่ของจุ๊บนั้นหลุดไปแล้ว
จุ๊บไม่ชอบปลอกคอเอามากๆ อยากจะถอดจะเป็นจะตาย แต่ตัวใหญ่ไม่มีอาการแบบนั้น เมื่อถึงสถานะการที่มีข้อจำกัดดูเหมือนตัวใหญ่จะทนได้ดีกว่าจุ๊บหลายเท่านัก จริงๆอาจจะไม่เรียกว่าทนก็ได้ อาจจะเป็นไม่รู้อะไรเลย หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไรเลยนั่นเอง
สำหรับวันนี้ ผมดีใจที่ได้เจอตัวใหญ่อีกครั้ง
สวัสดี
ความหิวคือหัวหน้ากิเลศ
…หากเราเอาชนะหรือรู้จักความหิวได้อย่างถึงที่สุดแล้ว
เราก็จะเอาชนะกิเลศทั้งหมดในโลกนี้ได้อย่างแน่นอน
เมื่อใดที่ร่างกายเราต้องการอาหารมาเลี้ยงร่างกายนี้ยามมันร้องหาอาหาร
ทุกส่วนในร่างกายนี้และเซลล์ต่างๆในร่างกายนี้มันจะรวมตัวกันวิ่งจู๊ด
ไปสั่งสมองให้เกิดความรู้สึกหิว หิวแล้วนะ หิวแล้วนะ หิว หิว
สมองก็จะไปสั่งตัวสติอีกที ตรงนี้สำคัญ ว่าเราจะให้สมองเรา
ไปสั่งตัวสติตัวไหนหล่ะ ให้พาไปหาอาหาร ตามปัจจัยที่เรามีจะหามาได้
ถ้าหากเราไม่เคยฝึกสติมาเลย สมองก้อนเนื้อ(จิตหยาบ)ก็จะไปสั่งสติตัวหยาบให้ทำงาน
สติตัวหยาบก็คือสติที่อยู่ในมันสมองคือตัวสติที่เราเรียนรู้ตั้งแต่เราแรกเกิดมา
นี่คือสติแบบหยาบหากสมองไปสั่งสติแบบหยาบสติตัวนี้ก็จะสรรหา
อาหารที่คิดว่าดีที่สุดถูกใจที่สุดตามปัจจัยที่เรามีเราก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์
หรือกิเลศทันทีสิ่งที่แสดงออกมาก็จะมีแต่ความหลงผิด ให้สติหยาบนำจิตหยาบไป
เกิดการกินที่น่ารังเกียจ มูมมาม กินด้วยความเอร็ดอร่อยซะจริงๆ ไม่สังเกตุอาหาร
เกิดอยากกินต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดสรรหาของกินไปเรื่อยๆไม่รู้จักความพอดี
หรือรู้จักความอิ่มที่แท้จริง ซึ่งสุขใจกว่ามากมายนัก
…แต่ถ้าว่าหากสมองเราที่ฝึกสติ ดีแล้วสั่งไปที่จิตที่ละเอียดคือจิตแท้ที่อยุ๋ภายในเรา
มาก่อนที่เราจะเกิดมาอีกซึ่งติดตัวเรามาทุกภพชาติหลายๆชาติแล้วซึ่งเป็นจิตแท้
จิตนั้นจะเกิดการสั่นสะเทือนไปถึงตัวสติที่ละเอียด คือสติที่ดูแลจิตแท้นั่นเอง
สติก็จะกลับไปสั่งจิตแท้ให้เกิดความรู้สึกรู้ เกิดปัญญาที่ละเอียดทันทีว่า
อ๋อ…ร่างกายที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้มันทรงอยู่ได้โดยอาหารเท่านั้นเอง
ส่วนจิตของเรานี้ก็ต้องอาศัยร่างนี้เพื่อฝึกฝนเพื่อที่จะทางหลุดพ้นหากไม่มีร่างกายนี้
จิตนั้นจะไร้ซึ่งที่อาศัยอยู่ ไม่สามารถที่จะฝึกได้คงต้องเสียเวลาหาที่อยู่ใหม่อีกร่ำไป
แล้วมันจะดีกว่าร่างกายนี้หรือไม่ก็ไม่รู้ เราจึงมาต้องดูแลร่างกายนี้เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของจิตแท้
เราจะขอใช้ร่างกายนี้เป็นร่างกายสุดท้ายแล้ว ไม่เอาแล้ว เบื่อแล้ว ขอครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อจิตเกิดความระลึกรู้ทาสแท้ของความหิว มันมีสาเหตุมาจากอะไร และจะทำให้เกิดผลอย่างไร
เจ้าตัวสติละเอียดก็จะเกิดการพิจารณาอาหารที่เราจะกินว่ากินเพื่ออะไร ทำไมต้องกิน
สตินี้จะเข้าไปดูแล เจ้าตัวความหิว เดี๋ยวนะรอหน่อยนะ เดี๋ยวจะหาอะไรให้กิน
เกิดสติรู้ จิตรู้ ว่าเรากินเพื่อทรงร่างนี้อยู่เพื่อให้จิตได้มีเวลาปฎิบัติมากขึ้นไปอีก1วัน
เราอย่าให้ความหิวโหยมันพาเราไปกิน เพราะมันจะพาเราไปติดกิเลศ ระดับหัวหน้า
จงเอาสติรู้ พาตัวความหิวไปกินจงพิจารณาอาหารก่อนกินเข้าไปว่ามีอะไรบ้าง
เมื่อใดเราหิวจงเกิดสติรู้ทันที เท่ากับเรานี้คือหัวหน้าความหิว จะให้อดก็ได้ให้กินก็ได้
ความหิวมาสั่งเราไม่ได้เรานี้สั่งความหิวได้ดูแลได้ ควบคุมได้ เราจะไม่หลงกิเลศแน่นอน
เพราะเราชนะหัวหน้ากิเลศแล้วนั่นเอง
…สรุป…
มนุษย์เราเกิดมาต้องหิวต้องกิน เพื่อทรงร่างนี้ไว้เท่านั้น
เลยจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองอิ่มก่อนค่อยว่ากัน
ธรรมชาติของคนเมื่อมันอิ่มมันก์เริ่มหาสิ่งอื่นที่เป็นความสุข
ความสบายใส่ตัวเองเสมอๆก็จะทำการไขว้คว้าสรรหามาให้ได้
ตามปัจจัยของแต่ละคนไม่เหมือนกันบางครั้งไม่คำนึง
ถึงความเดือดร้อนของคนอื่นและตัวเอง กว่าจะรู้บางครั้งสายเกินแก้เสียแล้ว
ติดคุก ติดตะราง หรือบาดเจ็บ เสียชีวิตไป หากเรามาระลึกรู้ได้ก่อน
ตรงนี้ต้องทำจนเป็นนิสัย เคยชิน มันจะมาเองอัตโนมัติ เปิดปุ๊บติดปั๊บ
เริ่มต้นจากการเอาชนะความหิวด้วยการระลึกรู้ ต้นสายปลายเหตุของความหิวเป็นอันดับแรกก่อน
หลังจากอิ่มแล้วความอยากโน่นอยากนี่จะตามมา ขอให้เอาสติระลึกรู้บาปบุญคุณโทษที่จะได้รับ
เท่านี้เราก็จะเอาชนะกิเลศทั้งมวลได้ ขอให้เริ่มต้นจากการเอาชนะความหิวก่อนเถิด จะเกิดผลที่ตามมา
อย่างรวบรัด ได้ผลเร็ว ก็เพราะว่าเราเอาชนะหัวหน้ากิเลศซะแล้วลูกน้องจะมาสู้อะไรกับเราได้อีกหล่ะ
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างอยู่ที่ใจ และความอดทน พยายาม ขอให้ทุกท่านสู้ๆๆ ให้ได้ชัยชนะทุกท่านเถิด
โอ ระยอง เขียน
เกิดมาทำไมต้องร้องไห้
…เราเกิดมาเราร้องไห้เพราะว่าเราหิวเรากลัวจะอดเกิดมาก็โดนกิเลศเล่นงานทันที
เลยครับตอนที่อยู่ในท้องแม่เราหายใจเรากินอาหารทางสายสะดือเหมือนเราโดนดองไว้
ปากของเราตาเราไม่กล้าอ้าหรอกตอนนั้นเดี๋ยวสำลักน้ำคร่ำถึงตายนะครับเรากับแม่
เราตอนนั้นเป็นเหมือนคนๆเดียวกันมันอบอุ่นไม่หิวแต่พอออกมาปุ๊บเจออากาศหนาวแถม
เรายังโดนตัดช่องส่งอาหารน้ำและอากาศอัตโนมัติอีกร่างกายมันกลัวจะอดครับเกิดปฏิ!
มันเลยร้องว่า หิวแล้ว หิวแล้ว หิวแล้ว กินตรงไหน ร่างกายมันตกใจกลัวจะอดกลัวหิว
กลัวอดตายเพราะยังไม่รู้วิธีกิน ไม่รู้ว่าจะเอาส่วนไหนกิน ในขั้นแรกที่เกิดมามันจึงร้อง
เพราะโดนตัดช่องส่งสารอาหารอากาศน้ำ ร้องใหญ่เลย แต่พอมีคนเอานมยัดใส่ปากให้ปุ๊บ
เงียบเลยหยุดร้องกินใหญ่เลยร่างกายมันก็เกิดปฏิ!อาการรับรู้ตรงนี้คือสติเล็กๆคือดีใจโล่งอก
อ๋อ!เออ!ดีนะที่ยังมี ช่องสำรองอีกที่ นึกว่าจะอดตายเสียแล้ว จริงไหมครับท่านผู้อ่าน
เมื่อเราอยู่ในท้องแม่ของเรานั้นน้ำอากาศและอาหารมันไหลมาเองสมองมันไม่หิวไม่อยาก
มันบริสุทธิ์เปรียบเหมือนอาหารทิพย์เราไม่ต้องออกแรงกินแต่เมื่อตัดสายสะดือช่องส่งอาหาร
นั้นแล้วร่างกายมันเกิดปฏิ!ตกใจมันกลัวจะอดเกิดหิวกลัวจะหิว เพราะยังไม่รู้วิธีกินมันงง
แต่พอมีอะไรมาใส่ปากมันก็ลองงับลองกินดู มันจึงรับรู้ว่า นี่คือทางรอดทางเดียวที่หิวเมื่อไร
ก็ร้องพอกินอิ่มก็หลับสลับกันไป ตอนอยู่ในท้องแม่นั้นเราอิ่มตลอดเราจึงไม่อ้าปากไม่ลืมตา
ไม่นึกหิวแต่พอออกมาอยู่ข้างนอกธรรมชาติมันสอนต้องช่วยตัวเองให้รอดก่อนเราจึงต้องใช้ปาก
จำไว้นะเราต้องใช้ปากๆถ้าเราหิวเราต้องร้องๆดังๆเราจึงจะได้กิน ถ้าเราไม่ร้องเราอดแน่ๆ
นี่คือสัญญาเล็กๆกับสมองเกิดปฏิ!การรับรู้โดยธรรมชาติเพื่อการอยู่รอดในขั้นตอนแรกๆ
ว่าต้องออกแรงดูดถึงจะอิ่ม เด็กที่ร้องก็เพราะว่ามันเสียดายความสะดวกสบายคล้ายอาหาร
เป็นทิพย์และต่อไปนี้มันต้องช่วยตัวเองแล้วคงต้องหิวมั่งอิ่มมั่งจนกระทั่งสิ้นลมหายใจไปจากโลกนี้
ต่อไปนี้คงต้องทุกข์มั่ง สุขมั่งไปจนตาย ต้องร้องไห้ทางปากหรือทางใจไปจนตายแน่ๆนั่นเอง
และนี่คือสิ่งที่เด็กต้องร้องไห้เวลาเกิดมาครับ ท่านคิดว่ายังไงครับ
โอ ระยอง เขียน
เฉยเฉยสอนใจ
อ่านเฉยๆ ดูเฉยๆ รับรู้เฉยๆ สัมผัสเฉยๆ หิวเฉยๆ หอมเฉยๆ เหม็นเฉยๆ
สุขหรือทุกข์ก็เฉยๆ โกรธก็เฉยๆ แค้นก็เฉยๆ อิจฉาก็เฉยๆ เรียนก็เรียนเฉยๆ
เที่ยวก็เที่ยวเฉยๆ ทำงานก็ทำงานแบบเฉยเฉยๆอะไรอะไร เราก็เฉยๆ แต่ไม่เฉื่อยนะ
รับรู้สรรพสิ่งรอบตัวก็รับรู้มันแบบเฉยๆ หยุดอยู่แค่เฉยๆ ผู้หญิงคนดีสวยก็สวยแบบเฉยๆ
มันก็มีความสุขแบบเฉยๆแล้วชีวิตมันก็เท่านี้ครับภาษาลาวว่า(เบิ่งเฉยๆ)หยุดอยู่แค่เฉยๆ
แล้วก็เฉยๆ เฉยๆอย่างเดียวชนะทุกอย่าง มันเป็นคำกลางๆที่ทำที่คิดแล้วใจสบายดีเฉยๆ
เราจะทำอะไรอะไร ก็ทำแบบเฉยๆเถิดนะ แล้วจะสุขใจแบบเฉยๆ ชนะใจชนะทุกสิ่งครับ
ฝากตรงนี้นิดครับสำคัญมากครับ
…ผิดศลีเฉยๆไม่ได้ได้นะครับ เพราะเฉยๆตรงนี้ใจทุกข์จริงไม่ทุกข์เฉยๆนะครับ
เพราะมันจะทำให้จิตเราไม่เฉยๆจริงครับ ต้องเฉยๆในสิ่งที่ที่ดีที่งามจึงจะได้ผลถึงจิตครับ
ฝากเอาไว้ด้วยนะครับ
โอระยองเขียน