เลี้ยงสัตว์ ฆ่าสัตว์ ขายเนื้อสัตว์ ทำไมรวย อยู่สบาย?

ก็อาจจะนึกสงสัยกันได้บ้างว่าทำไมคนที่ทำธุรกิจบาปพวกนี้ เขาถึงไม่ตกนรกให้เห็นกันกับตาสักที

ถ้าเขาทำบาปคนเดียวรับคนเดียว น้ำหนักมันก็มาก แต่นี่เขาเลี้ยงฆ่าขายให้กับคนจำนวนมาก ผลมันก็แบ่งไปตามสัดส่วนที่เกี่ยวเนื่องนั่นแหละ มันมีผลบาป มันสะสม มันส่งผลอยู่ แต่ทุกข์จากบาปใช่ว่าจะรู้ได้ง่าย ๆ ต่อให้ชี้นิ้วบอกก็ใช่ว่าจะเชื่อ เช่นไปบอกคนเป็นมะเร็งว่าเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะกินเนื้อสัตว์ เขาจะทำใจเชื่อได้ไหม

สรุปมันก็เป็นนรกแบบแบ่งปันไปตามสัดส่วนของความหลงติดหลงยึด และความเบียดเบียน อันนี้ไม่ใช่แบ่งผลกรรมกันนะ กรรมของใครของมัน ใครทำอะไรก็ได้รับผลของคนนั้น

ส่วนที่เขารวยเอารวยเอาก็เพราะคนไปซื้อเนื้อสัตว์ ถ้าไม่หลงติดก็ไม่ซื้อ ไม่ซื้อเขาก็ไม่รวย ไม่เห็นจะมีอะไร ธุรกิจบาปของเขา ก็ร่ำรวยได้จากการเพิ่มความหลงติดหลงยึดหลงรสหลงสัมผัส ของคนกินนั้นแหละ

ธุรกิจที่ดำเนินไปตามความหลงของคน มันก็จะดูรวยตามแบบโลก ๆ ส่วนธุรกิจที่ดำเนินไปตามปัญญา นับวันมันจะมีแต่จนลง เพราะมีปัญญา สละออก แบ่งปัน ไม่สะสม กินน้อยใช้น้อย ชีวิตมันจะเอามาแบกให้เยอะทำไมให้โง่

ปีศาจ กระหายเลือด

ในประวัติศาสตร์จะมีกรณีที่คนถูกตีตราว่าเป็นปีศาจ กระหายเลือด เพราะเอาเลือดคนมาอาบ ดูคลิปนี้ก็เห็นว่า สมัยนี้โหดกว่าเยอะ เพราะคนฆ่าสัตว์ สูบเลือดตัดเนื้อเขามากินได้อย่างปกติ แถมสังคมก็ส่งเสริม สนับสนุนบาปนี้อีก นี่มันนรกบนดินจริง ๆ สัตว์ที่ถูกฆ่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็เพื่อน ๆ คนกินเนื้อสัตว์ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ยังอยู่ในนรก ยังไม่หมดวิบากกรรม ถูกเขากิน แล้วก็กินเขาสลับกันไป ยุติธรรมดีออก

https://www.facebook.com/watch/?v=2317141878540918

คนใจเหี้ยมฆ่าสัตว์

คนที่เขาฆ่าสัตว์นี่ใจเขาต้องเหี้ยมมากนะ ศีล เศิล เมตตง เมตตา นี่ไม่ต้องมีกันหรอก คิดอย่างเดียวทำยังไงให้มันตาย ให้มันขายได้ราคาแพง มันจะเจ็บปวดทรมานยังไงเรื่องของมัน

คนมีหิริโอตตัปปะ เขาทำไม่ลงนะ มันทำไม่ได้ เห็นสัตว์เจ็บเขาก็ละอายเกรงกลัวบาปแล้ว ให้เขาร่วมวงด้วยเขาก็ไม่เอา ให้เขายินดีด้วยเขาก็ไม่เอา ให้เขากินด้วยเขาก็ไม่เอา

ส่วนคนโลกๆ ทั่วไปก็ โหดร้ายจัง ไม่อยากดู แต่ถ้าเขาไม่ฆ่า แล้วเราจะมีกินได้อย่างไร… อย่ากระนั้นเลย เราปล่อยวางแล้วกินต่อไปดีกว่า…พวกคิดแบบนี้มันพวกเฉโกชัด ๆ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว ยังสนับสนุนให้เขาฆ่าอีก อยู่ไปไม่ได้เกื้อกูลอะไรสัตว์อื่นเล้ย กิน ๆ เสพ ๆ บ้ากาม เมาอัตตา อยู่ๆ อยากๆ แล้วก็ตายไป เสียชาติเกิดจริงๆ

พุดโถ่ พุดถัง เถียงกินเนื้อสัตว์

ว่าจะพิมพ์เรื่องนี้หลายทีแล้วก็ลืมทุกที วันนี้ได้โอกาส นำเรื่องนี้มาพิมพ์กัน ว่าทำไมเมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้วจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

ซึ่งก็มีเถียงกันมากมาย อ้างเหตุให้ได้ จะกิน จะกิน จะกินให้ถูกตามธรรมด้วย เอาข้อธรรมมาอ้างให้ได้กินนั่นแหละ ชีวิตมันจะต้องลำบากปกป้องตนเอง เสียเวลากับการปกป้องตนเองไปเพื่ออะไร

หลายวันก่อนระลึกถึงพระสูตรหนึ่ง ค้นเจอว่าเป็น เวฬุทวารสูตร ว่าด้วยธรรมที่ควรน้อมเข้ามาในตน ผมเคยใช้พระสูตรนี้อธิบายเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่คราวนี้มันนึกขึ้นได้ว่า จริง ๆ มันก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง ทำไมคนไม่เข้าใจ

เนื้อความก็ประมาณว่า สัตว์เขาอยากมีชีวิต เขาไม่อยากตาย เราก็ไม่อยากตายเช่นกัน เมื่อเราเข้าใจเช่นนั้น เราจึงไม่ฆ่าเขา และยังชักชวนให้คนไม่ฆ่า มีความยินดีในการไม่ฆ่า… เอาแค่นี้ก่อน

เอาแค่ภาษาแค่นี้ผมว่าคนมีปัญญาก็ทะลุได้แล้วนะ เลิกกินได้เลย เอ้อนี่ เราก็ไม่อยากให้ใครฆ่าเราไปให้ใครกิน ดังนั้นเราจึงไม่กินเนื้อใครซะเลย มันก็ตรรกกะง่าย ๆ คือถ้าไม่โง่จนเกินไปก็น่าจะพอเข้าใจ

แต่ผมก็เข้าใจอีกอย่างคือ ยุคนี้มันใกล้กลียุค คนมีวิบาก แม้ธรรมง่าย ๆ ก็ฟังไม่เข้าใจ มันจะมืดบอดไปหมด ไม่น้อมเข้ามาในใจ ไม่เห็นอกเห็นใจสัตว์อื่น ทำตัวเป็นใหญ่ ทำตัวเป็นเทพ อยู่เหนือสัตว์อื่น จิตมันเลยไม่น้อมไปว่า สัตว์อื่นทุกข์อย่างไร แม้เราโดนเช่นนั้น เราก็ทุกข์อย่างนั้น

ถ้าธรรมะเจริญจริง มันไม่ยากหรอกที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่น สัตว์อื่น เมตตาที่เพิ่มขึ้นมันจะมีผล มันจะเปลี่ยนแปลง มันจะมีความรู้สึกผิด กลัวบาป เพราะรู้ชัดในกรรมว่าทำไปแล้วโดนแน่ ๆ ผลของกรรมมันกลับมาเอาคืนแน่ ๆ ในเมื่อมันไม่ได้ติดเนื้อสัตว์มันก็ไม่รู้จะไปกินเอาวิบากร้ายทำไม

ใครอยากศึกษาต่อก็ไปตามอ่านกันเอา แต่ที่เถียง ๆ กิน นี่ยังไม่เจริญเท่าไหร่หรอก ก็มีแต่ตรรกะ สภาวะไม่ได้ เพราะถ้าจะเจริญอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนนั้นก็ต้องไม่ฆ่า อันนี้คนทั่วไปก็พอจะทำได้ พอมาชักชวนให้คนอื่นไม่ฆ่า สายปฏิบัติกินเนื้อสัตว์นี่น้ำท่วมปากแล้ว พูดไม่ออก จะไปชวนคนที่เขาฆ่าสัตว์มาขายให้เลิกฆ่าก็พูดไม่ออก กลัวไม่มีเนื้อสัตว์กิน พอมาข้อสุดท้าย คือกล่าวชม มีความยินดีในการไม่ฆ่า ไปไม่เป็นเลยทีนี้ เพราะตัวเองก็กำลังเถียงสู้ (แม้จะเถียงในใจ)อยู่กับคนที่เขายินดีไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ มันก็เลือกข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า อยู่ฝั่งยินดีให้สัตว์โดนฆ่า ยินดีให้สัตว์ตาย ปล่อยวางธรรมแล้วถือเอาเนื้อสัตว์มากินมันซะเลย

ถ้าจิตมันไม่ยินดีให้สัตว์ตายนั้น ร่างกายมันจะเคลื่อนตาม มันจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเอง ไปทีละนิด ลด ละ เลิกไปตามฐาน ตามปัญญาที่มี

stop one stop them all

stop-one-stop-them-all

การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเขาหยุดฆ่าสัตว์นี่มันเข้าใจได้ไม่ยาก มันก็ demand&supply ธรรมดา ๆ ปฏิจจสมุปบาทยังเข้าใจยากกว่าอีก น่าแปลกที่คนปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ไม่พยายามทำความเข้าใจ ไอ้ที่ง่าย ๆ ยังเข้าใจไม่ได้ แล้วอันยาก ๆ จะเข้าใจถูกไหมนี่ คิดแล้วก็หวั่นใจ

แต่ถ้าผมทำภาพนี้ผมจะเอาคนกินไว้ล่างสุดแล้วแบกคนขายคนฆ่าคนล่าไว้ข้างบนนะ ประมาณปิรามิดกลับหัวนั่นแหละ ภาพมันจะชัดมาก ว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นแบกอะไรเอาไว้ และทำให้เห็นความจริงว่าคนกินเนื้อสัตว์ก็มันก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ หรูหราอะไรนักหรอก

เขาก็ว่ากันว่าไอ้ตับห่าน ไข่ปลา เนื้อนุ่ม ฯลฯ ทั้งหลายที่มันแพง ๆ กินแล้วชอบมาอวดกัน ว่ามันดีอย่างนั้นอย่างนี้ จริง ๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่าหรอก รสอุปาทานทั้งนั้น แต่กินผักใครเขาจะมานั่งอวดกัน ผักนี่มันถูก ถึงจะกินผักที่แพง มันก็แพงไม่มากอยู่ดี แต่พอไปกินเนื้อสัตว์นี่อวดได้ นี่ฉันได้กินตั้งขนาดนี้เชียวนะ

กินเนื้อสัตว์ ค้าขายเนื้อสัตว์ ฆ่าสัตว์ หิริโอตตัปปะเสมอกัน

คนเสมอกันย่อมคบค้าสมาคมกัน (คนฆ่า=คนขาย=คนกิน)

เปิดพระไตรปิฎกมั่วๆ ไปเจอสูตรนึง มีข้อความตอนหนึ่งว่า “สัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ

สัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ” ( อหิริกมูลกสูตร เล่ม ๑๖ ข้อ ๓๘๐)

ตอนแรกอ่านผ่านๆ ก็นึกไม่ออก ก็ทำใจในใจตามไป โห! สูตรนี้ดีจัง เอามาใช้ประโยชน์ได้ กับเรื่องการไม่กินเนื้่อสัตว์นี่แหละ

คนที่เขาฆ่าสัตว์นี่เขาเป็นคนผิดศีลเป็นประจำเลยนะ จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาก็คิดว่าการฆ่านั้นคุ้มค่าที่จะแลกมาเพื่อการดำรงอยู่ของเขา คนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำนี่น่าคบไหม? ผิดศีลเป็นประจำนี่เป็นคนดีไหม? ไม่มีหิริโอตตัปปะนี่เจริญไหม?

นี่เขาอยู่นอกพุทธไปไกลมากเลยนะ ชาวพุทธที่แท้จริงนี่ศีล ๕ ขั้นต่ำนี่ต้องให้แน่นๆ เลย ทีนี้คนฆ่าเขาก็คบหาสมาคมกับคนขายไง เขาก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เราฆ่านายขาย อันนี้เขาก็มีความเสมอกันแล้ว

ทีนี้คนก็ไปซื้อจากคนขายมา ก็คบค้าสมาคมกับคนขาย มีส่วนได้ส่วนเสียกัน มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน นั่นก็หมายถึงมีความเสมอกันด้วยหิริโอตตัปปะนั่นแหละ เพราะลึกๆ คนกินเนื้อสัตว์ก็ยังยินดีที่เขาฆ่ามา

ถ้าผู้อ่านเข้าใจความในสูตรนี้จะเข้าใจเลยว่า ทำไมใน วณิชชสูตร (เล่ม ๒๒ ข้อ ๑๗๗) ที่ตรัสถึงเนื้อหาการค้าขายที่ชาวพุทธไม่สมควรทำ ว่าไม่ควรค้าขายเนื้อสัตว์ และค้าขายชีวิตสัตว์ อันนี้มันร้อยกันอยู่ มันเข้ากันพอดี

คนฆ่าคนขาย เขาก็มีความเห็นเดียวกัน คนขายคนซื้อกินเขาก็มีความเห็นเดียวกัน ดังนั้นคนฆ่าคนซื้อกินก็มีความเห็นเดียวกัน

รู้อย่างนี้แล้ว อย่ารีรอให้นรกถามหาเลย ควรปฏิบัติให้มากทำให้ความเห็นให้ถูกตรง ให้หิริโอตตัปปะมันเจริญขึ้น ให้มันเจริญไปกว่าคนที่เขาผิดศีลฆ่าสัตว์ ไม่ใช่บอกว่าตัวเองบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แต่ดันมีความเห็นตรงกับคนที่ฆ่าสัตว์ มันก็ผิดอยู่ในตัวนั่นแหละ

มงคล ๓๘ ข้อแรกนั้นท่านให้ห่างไกลคนพาล ไม่คบคนพาล …แต่นี่อะไร ไปซื้อเนื้อสัตว์มันก็สนับสนุนให้เขาฆ่าสัตว์อยู่แล้ว ยิ่งเอามากินให้ดูยิ่งกลายเป็นการชักชวนให้คนอื่นกินตามอีก มันก็หลงกันไปใหญ่ อย่างนี้แหละ ติดกระดุมเม็ดแรกผิดก็ผิดไปหมดเลย บรรลุธรรมกันไปนอกขอบเขตพุทธกันไปหมด หลุดกันไปไกลแบบนี้จะกลับมากันได้ไหมนี่ ก็พยายามทำความเข้าใจกันนะ

ตบยุง จะดีไหม?

ช่วงหลังๆนี้ผมเริ่มมีปัญหากับยุงเยอะขึ้น เพราะนอกจากฝนจะตกบ่อยแล้ว ยังมีสารพัดไม้น้ำ และกระถางที่แม่ตั้งไว้เลี้ยงลูกน้ำเล่นๆอีกมากมาย

ยุงกับน้ำขังนี่เป็นของคู่กันจริงๆครับ ซึ่งปกติก็จะโรยทรายกันยุงครับ แต่ว่่าพอให้โรยทุกสามเดือน บางทีมันก็ลืมเหมือนกันครับ วิธีกำจัดยุงที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการกำจัดมันจากแหล่งกำเนิดเลย นั่นคือไม่มีที่ให้มันเกิดก็จะไม่มียุงแล้วครับ หรือถ้ามีก็คงมีน้อย เพราะอย่างน้อยมันก็ต้องบินมาไกลกว่าจะได้กัดเรา มันคงอ่อนแรงพอควรเลย

ตบยุงจะดีไหม
ตบยุงจะดีไหม

เป็นรูปของวันก่อนที่ตบยุงระหว่างทำงานได้หนึ่งตัว สภาพของมันเละคามือเลยครับ ผมเคยคิดว่าตบยุงนั้นบาปหรือไม่ เป็นการฆ่าสัตว์หรือไม่ จริงๆมันก็เป็นอย่างนั้นครับ เพราะก่อนจะตบ จิตใจของเรามีความพยายามในการฆ่าอยู่ครับ ดังนั้นควรจะฝึกอดทนให้ชินครับ ซึ่งผมเองชินกับการตบยุงมากกว่าการอดทนไม่ตบครับ บางทีก็ทำไปแบบอัตโนมัติเลยครับ เพราะความเคยชินมานั่งคิดๆดูมันก็ไม่ดีละนะ

ดีนะที่ยังเป็นยุงตัวเล็กๆ ลองคิดดูว่าคนที่ฆ่าสัตว์จนเคยชิน จะเป็นอย่างไร ก็ลองขยายภาพจินตนาการตอนตบยุงดูนะครับ

สวัสดี