เดือนแห่งความรัก?

ช่วงนี้ได้ยินคำนี้บ่อย ๆ ก็คิดไปเพลิน ๆ ว่าจะพิมพ์อะไรดี …?

คนเราทั่วไปก็มีทางไปสองทิศ คือ 1. ไปทางชอบ คือรู้สึกอยากมีคู่ ยินดีที่คนอื่นเขามีคู่ พยายามส่งเสริมให้คนมีคู่ 2. ไปทางชัง คือ ไม่ชอบ เกลียด รำคาญ ฯลฯ บรรยากาศในเดือนแห่งความรัก และการมีคู่ (ทางโต่ง 2 ด้าน กาม<->อัตตา)

ทั้งสองทางมันก็มิจฉา(ผิด) หมดละนะ แต่มันก็มีลำดับการออกของมันอยู่ จากผิดมากไปผิดน้อย แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ออกกันหรอก แถมคิดว่ามันไม่ผิดด้วย ไม่อยากมีคู่สิแปลก!

ก็จริงของเขา คนส่วนมากก็ใช้เวลาส่วนมากของชีวิตไปกับเรื่องความรัก เรื่องคู่นี่แหละ เพราะเขาชอบและยินดีอยู่กับสิ่งเหล่านั้น

ไปหลงรักนี่มันเสียเวลามากเลยนะ แทนที่จะเอาเวลาไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า ถ้ามีคู่ก็ต้องอยู่บำรุงบำเรอคู่ตน ไม่มีเวลาไปช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นหรอก ยิ่งถ้ามีลูกยิ่งแล้วใหญ่ เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตหายไปกับคู่ กับลูก กับครอบครัวที่เพิ่มขึ้นมานี่แหละ

เกิดมาชาติหนึ่งโดนเรื่องคู่เอาเวลาไปกินกว่าครึ่งชีวิตหรือมากกว่านั้น และเวลาที่ผ่านไปเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็พากันทำบาปทั้งนั้น สารพัดกิน กาม เกียรติที่พากันไปเสพ ก็สะสมนรกกันไป

ในเดือนที่เขาสมมุติกันว่าเดือนแห่งความรักนี่ไม่ใช่ธรรมดานะ มันมีพลังในการเร่งกิเลสมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะวันวาเลนไทน์นี่เรียกกันภาษาชาวบ้านเลยว่าเป็น “วันเสียตัว”

คนที่ยังยินดีวนเวียนทุกข์อยู่ในเรื่องคู่ก็ปล่อยเขาไป แต่ในส่วนคนที่ตั้งใจที่จะทำดี พัฒนาจิตใจตนเองให้เจริญขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องคู่คือโจทย์หนึ่งที่คุณจะต้องเผชิญและจำเป็นต้องผ่านมันให้ได้ ลำดับแรกคืออย่าให้ช่วงเวลาเหล่านี้มีอิทธิพลกับคุณ ที่เหลือคืออย่าให้ใครหรืออะไรใด ๆ ก็ตามมีอิทธิพลต่อจิตใจของคุณให้ลุ่มหลงในความรัก

ส่วนตัวผมคิดว่า แค่เอาตัวรอดเป็นช่วง ๆ ไป ก็เก่งมากแล้ว เพราะจิตนี้มันเป็นพลังงาน เพียงแค่ระลึกมันก็มีพลังงาน มันดึงดูดบางสิ่งเข้ามาได้ การได้คู่บ้างก็เปรียบว่า ได้ลาภ แต่พระพุทธเจ้าท่านว่าลาภเหล่านั้นเป็นลาภเลว คือได้มาแล้วทำให้ชีวิตมันทุกข์ ตกต่ำ เสื่อมจากธรรม พาชั่ว พาหลง ฯลฯ

ความรักแบบคู่นี่มันเล็กน้อยกระจ้อยร่อย เพราะดูแลกันอยู่แค่สองคน หรือไม่ก็แค่ในครอบครัว มันเป็นสภาพที่ลงทุน(เวลา+แรงงาน+ทรัพยากร) มาก แต่ได้ผล (กุศล) น้อย ในเชิงการลงทุนแล้วเป็นกิจกรรมที่ไม่น่าลงทุนที่สุด แถมความเสี่ยงก็ยังสูงมากอีกด้วย

ถ้าจะรักให้มันดีก็รักให้มันใหญ่ ให้มันกว้าง ไม่ต้องเจาะจงใครเลย ก็สาดเทลงไปในจุดที่แห้งแล้ง จุดที่เขาต้องการ จุดที่เราพอจะมีกำลังพอจะทำไหว แล้วผล (กุศล) มันก็จะมากและกว้างตามขอบเขตที่เราทำนั่นแหละ

ส่วน “บุญ” คือการทำลายความอยากมีคู่ และบาปก็คือ “ความอยากมีคู่”

ในเดือนแห่งความรักนี้ จะให้ชีวิตดำเนินไปบนเส้นทางไหนดี บุญ หรือ บาป ?

รักมาก ตายง่าย

จากข่าว : พิษรักแรงหึง ! เห็นเมียยืนคุยกับช่างทาสี ชักปืนยิงแสกหน้า ดับรวม 3 ศพ

คนที่ฆ่ากันเพราะแรงหึงนี่เรียกว่าเป็นภาพที่ชัดที่สุดของความรักแบบโลกีย์ เพราะเมื่อคนรักมาก ๆ เอาเขามาเป็นของเรามาก ๆ จะหวงมากจนไม่ยอมให้ใครแตะ และไม่ยอมให้เปลี่ยนไปจากเดิม(ที่เคยรัก) เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่หนักหนา เจอหมาหวงก้างยังดีซะกว่า เพราะถึงไปแย่งก้างหมา มันก็ไม่ถึงกับฆ่าเรา

เราอาจจะคิดกันไปว่า ฉันไม่เป็นถึงขนาดนี้หรอก แค่คิดนี่มันก็คิดได้ แต่กิเลสมันไม่คิดด้วย เพราะกิเลสนี่มันจะพาให้หลงติดหลงยึดแบบไม่มีขอบเขต คือเคยคิดไว้ว่าติดเท่าไหร่ มันจะติดมากขึ้นไปกว่านั้น และจะโตยิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่าเดิมแบบไม่รู้จบ

มันก็เริ่มโตตั้งแต่คิดว่าเขารักเรา เขาให้ความสำคัญกับเรา เขาเป็นของเรานี่แหละ พอได้ดั่งใจก็สะสมความยึดมั่นถือมั่นไปเรื่อย ๆ พอไม่ได้ดั่งใจก็ผูกโกรธ จองเวรจองกรรม พยายามจะเอาชนะกันมากขึ้นอีก

ความรักแบบโลกีย์จึงเป็นสภาพของการเอาชนะกันที่ซ้อนอยู่ในความรัก คือพยายามทำให้เขามารัก พยายามให้เขาเป็นของเรา ให้ได้ดั่งใจเรา ใช้กาม ใช้อำนาจที่มีล่อลวงอีกฝ่าย ทีนี้มันก็จะโตขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ชาตินี้อาจจะไม่จัดจ้าน แต่ก็จะเก็บกดสะสมอารมณ์ไว้เรื่อย ๆ เป็นความอยากที่ฝังลงเป็นความยึดและรอคอยให้อีกฝ่ายมาสนอง

สุดท้ายก็กลายเป็นความกระสันใคร่อยากต้องการอีกฝ่ายมาบำเรอให้ตนสุขสมบูรณ์แบบที่สุด ให้ตนได้มากที่สุด ตนต้องได้คนเดียว ห้ามคนอื่นได้แบบตน ถ้าคนอื่นมาแย่ง ก็ฆ่ามันเลย ถ้าตนไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้

จริง ๆ การมีคู่ก็ไม่ใช่อะไรที่ลึกลับซับซ้อนหรอก มันก็เป็นเพียงแค่การอยากเอาชนะ ควบคุม ครอบครองอีกฝ่าย เพื่อสนองตัณหาตนเองเท่านั้นเอง

วอเตอร์เครสฮาวาย กับการรอคอย

วอเตอร์เครสฮาวาย กับการรอคอย

วอเตอร์เครสฮาวาย กับการรอคอย

ผักที่เห็นในรูปนี้ ได้มาจากสวนของพี่จิตอาสาในเครือข่ายของแพทย์วิถีธรรม เป็นวอเตอร์เครสใบใหญ่ ที่ใบของมันนั้นจะใหญ่เป็นปกติ ซึ่งต่างจากอีกพันธุ์หนึ่งที่ต้องเอาเข้าร่มใบถึงจะใหญ่ แต่ถึงจะเข้าร่มและบำรุงดีแค่ไหนใบก็ไม่ใหญ่ขนาดนี้ ต้นนี้ผมปลูกไว้หน้าบ้าน ตากแดด ให้น้ำตามแต่ฝนตก แต่ใบก็ยังใหญ่อย่างที่เห็น

ใบใหญ่แบบนี้กินง่ายกว่าใบเล็ก เรียกว่าเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า ส่วนพวกใบเล็กนี่ก็เอาไปปั่นเป็นน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นไป พอมีใบใหญ่ ก็เลยจะเอาแบบใบใหญ่มากินเป็นผักสดแทน

ผมเคยอยากได้เจ้าวอเตอร์เครสพันธุ์นี้มานาน ซึ่งเคยเห็นจากรูปที่เขาเอามาแบ่งกันดูในกลุ่มเฟสบุค เขาเรียกมันว่า “วอเตอร์เครสฮาวาย” ผมดูจากองค์ประกอบแล้วก็น่าจะเป็นพันธุ์เดียวกับที่มีตอนนี้ แต่ตอนนั้นก็ไม่ง่ายเลยที่จะดับความอยากได้ลงได้

สมัยก่อนที่ผมเลี้ยงไม้ประดับนี่เรียกว่าอยากได้อะไรก็ต้องพยายามหามาให้ได้ แต่ก็ไม่ได้อยากจนเกินฐานะมากนัก อย่างไม้ประดับในกระถาง 4 นิ้วต้นน้อยๆ เท่ากล่องไม้ขีด จะซื้อในราคา 500 บาทก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้น เรียกว่าอยากได้อะไรก็จะพยายามเสาะหา แสวงหาให้ได้มา แน่นอนว่าไอ้ที่แพงกว่านั้นก็มี แต่โชคยังดีที่ผมยังไม่ได้ถลำลึกไปขนาดนั้น

พอมาเจอวอเตอร์เครสฮาวายนี่ก็อยากได้ พิจารณาประโยชน์ต่าง ๆ ของมันดูแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ดีกว่าพันธุ์เดิมที่มี ใบใหญ่กว่าเดิมและดูไม่รกเท่าเดิม ความอยากได้นี่มันก็ทำให้ทุกข์ เพราะอยากได้แต่มันแสวงหาไม่ได้ไง ตอนนั้นมันไม่มีขายอยู่ทั่วไป ในอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีขาย มีแต่เขาปลูกกันเองแล้วแบ่ง ๆ กัน ไอ้เราจะไปขอนี่ก็รบกวนเขามากไป เพราะเคยมีประสบการณ์ ขอรับเมล็ด, แลกเปลี่ยนต้นไม้ ทำให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร

ก็เลยเลือกที่จะอดทนรอ รอให้มันมาตามธรรม ให้มันเป็นไปตามเหตุอันสมควร ได้เมื่อควรจะได้เท่านั้น ไม่ไปเร่งรัด ไม่ต้องไปแสวงหา แต่จะแค่คิดเอานี่มันไม่ง่ายนะ ความอยากมันไม่ตายแค่พิจารณากันตื้น ๆ หรือจะใช้ปล่อยวางกันซื่อ ๆ นี่มันเอากิเลสไม่อยู่หรอก

มันต้องพิจารณาโทษของความอยาก ความใจร้อน เร่งผล อยากได้ไว ๆ ฯลฯ ให้มันเห็นความจริงว่า กิเลสของเรานั้นมันไม่งามเพียงใด มันถึงจะจางคลายลงไปได้ อย่างน้อยผมก็ทำให้มันจางลงในระดับที่มันไม่ไปเบียดเบียนใคร และไม่ทำให้ตัวเองต้องทนทุกข์เพราะความอยากนั้น

สุดท้ายก็ยินดีที่จะรอนั่นแหละ ก็รอเป็นปีเหมือนกันนะ พอไม่ได้มีความอยากมันก็ลืม ๆ ไป จนไปเห็นที่สวนของพี่จิตอาสา แต่ก็ไม่ได้วิ่งเข้าไปตะครุบทันทีนะ ก็รู้ว่ามันมีประโยชน์ ถ้าได้มันมาก็จะดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันยังไม่ถึงรอบของมัน สุดท้ายเขาก็ช่วยตัดมาให้ 5 กิ่งอ้วน ๆ ซึ่งก็ได้เอามาขยายพันธุ์ต่อที่บ้านในที่สุด

ก็ลองกินไปรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็ค่อยๆ ขยายพันธุ์อยู่ จากกระถางหนึ่งไปสู่อีกกระถางหนึ่ง พอมันโตเราก็ตัดยอดไปปักชำเพิ่ม ยังไม่รีบกินหรอก กินผักอื่น ๆ ไปก่อน มันมีประโยชน์ก็จริง แต่ก็ต้องใจเย็น ๆ ต้องอดทน ต้องรอ ผมว่าการรอคอยนี่มันงดงามนะ การที่เราใจเย็นอดทนรออะไรได้นี่มันดีมากเลย แม้มันจะอยู่ตรงหน้าแล้วก็อดทนให้มันมาถึงจริง ๆ ไม่รีบวิ่งเข้าไปหามัน เพราะไม่แน่มันอาจจะมาหลอกให้เราอยากเล่นก็ได้ เราอยากเราก็ทุกข์ แล้วเราจะไปเปิดโอกาสให้เราทุกข์ให้มันโง่ทำไม

พ่อครัวแม่ครัว จะกินมังสวิรัติได้อย่างไร?

เป็นเรื่องที่คนทำอาหารหลายคนประสบ คือต้องทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์ปนอยู่ด้วย แล้วจะกินมังสวิรัติได้อย่างไร เราก็จะบอกกันเลยว่ากินได้ ถ้าใจมันไม่อยากกินมันจะหาวิธีเลี่ยงหลบได้เอง มันจะมีปัญญาที่คิดหาทางออกได้เอง ส่วนจะชิมให้รู้รสหรืออย่างไรนั้นก็แล้วแต่วิธีการที่พ่อครัวแม่ครัวแต่ละคนจะมีวิธีการทำอาหารจานเนื้อสัตว์ที่เราไม่ต้องมีความอยากเข้าไปปนในอาหารแต่ละจานที่เราทำ  มาลองหาคำตอบเชิงแนวคิดกว้างๆ กันในบทความนี้ ซึ่งจะตอบบางประเด็นให้พอคลายความสงสัยในเรื่อง ฉันจะกินมังสวิรัติได้อย่างไรในเมื่อต้องทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์ประกอบอยู่

อ่านต่อได้ที่บทความ : พ่อครัวแม่ครัว จะกินมังสวิรัติได้อย่างไร?
http://life.dinp.org/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat