เข้าใจเรื่องกรรม ไม่ช้ำใจ

เรื่องกรรมและผลของกรรมนี่เป็นเรื่องเข้าใจยาก อธิบายยาก สอนยาก เพราะมันเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ

นั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ อันนี้ต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจให้เข้าใจเมื่อกระทบกับความจริงตรงหน้า (คิดเอาท่องเอา มันก็พอได้อยู่หรอก)

ดังเช่นว่า เพื่อนร่วมงานเป็นที่รักของเจ้านาย ส่วนเรานี่เป็นที่น่าชังเสียเหลือเกิน ถ้าไม่เข้าใจเรื่องกรรม มันจะโทษองค์ประกอบภายนอกหมดเลย เขาลำเอียงบ้างล่ะ เขาเลียเจ้านายบ้างล่ะ เขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของเราบ้างล่ะ

จิตที่มีกิเลสมันจะพุ่งไปเอาทันทีเลย มันจะโลภ อยากได้ของที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์จะได้ อยากได้ของที่ตัวเองไม่ได้ทำมา อยากได้สภาพดี ๆ ชังสภาวะหมาหัวเน่า อะไรแบบนี้ ถึงแม้พยายามเก็บอาการ แต่มันก็จะทำให้ขุ่นใจ ซึ่งอาจจะทำให้ออกหน้า ออกท่าทางโดยไม่รู้ตัว

แต่ถ้ามาทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้ดี ๆ ว่านั่นเขาก็มีกรรมของเขาเนาะ ที่เขาจะเข้ากันได้ เกื้อกูลกันดี ก็เขาอาจจะเข้าขากันมาหลายภพหลายชาติ จริตเขาตรงกัน เขาก็มีผลกรรมที่เขาควรได้รับอย่างนั้น

แล้วเราทำไมไม่ได้อย่างเขา ก็เราไม่ได้ทำมา เราอาจจะเข้าใจว่าเราทำดีมามาก แต่ดีแบบนี้เราไม่ได้ทำ เราไปทำดีแบบอื่นมุมอื่น หรือจริง ๆ ก็คือเรายังทำดีไม่มากพอ ที่จะส่งผลให้มันเกิดสิ่งดีขึ้นกับเรา

ซึ่งดีโดยมากมันก็รั่วออกไปเพราะกิเลสนั่นแหละ ทำดีแล้วเททิ้ง ทำดีเป็นคนดี แต่พอโดนคนเข้าใจผิด ดูถูก ใส่ร้าย หยาม ข่ม ฯลฯ แล้วดันไปโกรธเขา ไม่พอใจเขา ชิงชังรังเกียจเขา อันนี้ดีที่ทำมามันรั่วออกรูนี้

ยิ่งเราสำคัญตนว่าตนดีเท่าไหร่ ฟ้าจะส่งโจทย์มาพิสูจน์ความดีเสมอว่า กระทบกับสิ่งเหล่านี้แล้วยังดีได้จริงอย่างที่คิดหรือเปล่า หรือเอาดีไปเททิ้งหมดแล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า บัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง ส่วนคนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง นั่นหมายถึงเมื่อคนดีกระทบสิ่งใดแล้วก็จะไม่พาล ไม่ชิงชัง ไม่คิดร้าย ไม่เพ่งโทษ ไม่เห็นว่าสิ่งร้ายที่กระทบนั้นจะเป็นโทษใด ๆ แก่จิตอันเป็นกุศลของตนเอง และไม่สร้างความเห็นผิดให้ตนเองซ้ำ

เพราะมีความเห็นเรื่องกรรมและผลของกรรมอย่างถูกต้องว่า ก็ถูกแล้ว สิ่งร้ายและดีที่เราได้รับ นั้นเพราะเราทำมาเอง ได้รับก็ได้รู้ว่าทำมา ได้รู้ก็ได้ระลึกว่าตนทำดีทำชั่วมาแค่ไหน เจอร้าย ก็อ๋อ ทำชั่วมามาก อย่างน้อย ๆ ก็ชั่วนี้แหละที่ทำ เจอดีก็ทำดีมามาก อย่างน้อย ๆ ก็ดีนี้แหละที่ทำมา

เรื่องราวมันก็วนอยู่ในตัวอยู่เท่านี้ อยู่กับเรื่องตัวเองอยู่กับกรรมและผลของกรรมของตัวเอง เมื่อใจไม่ได้สุขไม่ได้ทุกข์กับสิ่งที่กระทบ ความเห็น ความคิด การพูด การทำต่อจากนั้นเราก็ปรับปรุงให้เกิดดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดีใหม่ที่เราจะทำอย่างมีสติ ไม่ใช่ดีที่หลงไปเองว่าดี เพราะดีที่ทำมา อาจจะไม่ได้ดีอย่างบริสุทธิ์แท้จริงก็ได้

คนมีหนาม

วันนี้ระหว่างที่ตัดต้นไม้ต้นหนึ่ง เป็นต้นไม้ที่มีหนามแหลม ก็นึกเรื่องนึงขึ้นได้…

การตัดต้นไม้ที่มีหนามนี่ต้องระวังมาก ทั้งการจับ การดึง การตัด ตัดไม่ดีบางทีมันเด้ง มันกระเด็น มันตกมาใส่เราอีก แถมจะขนไปทิ้งยังลำบาก ต้องค่อย ๆ จับ ไม่งั้นหนามมันก็ตำเอา

ระหว่างที่ขนกิ่งไม้หนามไปทิ้ง หนามของมันก็ไปเกี่ยวนั่นเกี่ยวนี่ เกี่ยวของ ของก็ตก เกี่ยวถุงพลาสติก ถุงก็ขาด เกี่ยวแขนขาเรา ก็ได้เลือด

ก็มาระลึกว่า เรานี่นะ ต้องพยายามทำตัวไม่ให้มีหนาม ไม่งั้นมันจะไปเกี่ยวคนอื่น ทำให้เขาเจ็บปวด มีบาดแผล แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเราจะมี “กรรม” ไปเกี่ยวกับเขานี่แหละ ถ้ามันเป็นกรรมดีมันก็แล้วไป แต่ถ้าเปรียบกับหนามนี่ดูจะเป็นกรรมชั่วเสียมากกว่า

เกี่ยวกันด้วยกรรมชั่วแล้ว ผลมันก็ออกมาชั่วนั่นแหละ นำความทุกข์ เสียหายมาให้ ทั้งเราและเขา

พอพิจารณาเรื่องหนามอย่างนี้ จิตมันก็เริ่มเกรงกลัวภัยของกิเลสมากขึ้น เพราะรู้ว่าความยึดดีจะนำโทษมาให้ ผมเปรียบหนามก็คือความยึดดีนั่นแหละ นึกภาพคนดีปราบคนชั่วเอานะ คือมันจะมีเหตุผลดี ๆ สารพัดในการปราบคนชั่ว ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามใจ ถ้านึกภาพหยาบ ๆ ก็คือคนดีเอาดีไปข่มคนชั่วเขานั่นแหละ

คือมันก็ดีล่ะนะ แต่มันเหมือนหนาม มันแทงใจเขา มันไม่ได้แทงแบบช่วยเขาด้วย มันแทงแบบทำลายเขา ไม่ใช่ทำลายกิเลสเขานะ ทำลายตัวเขาเลยนั่นแหละ ทีนี้พอแทงไปปุ๊ป เขาก็โกรธปั๊ป พยาบาทจองเวรต่อเนื่องกันไป

ก็เหมือนโดนหนามทิ่มนั่นแหละ มันไม่ได้จบแค่เจ็บและเลือดไหลเสียหน่อย ไอ้ปลายหนามที่มันฝังอยู่ในหนังเรานี่แหละตัวทำให้เจ็บปวด ดีไม่ดีเอาไม่ออก ฝังเป็นก้อนแข็งให้รำคาญอยู่ในเนื้อหนังเลยก็เป็นได้

เปรียบกลับมาก็เหมือนหนามของคนติดดีนี่แหละ ทิ่มเข้าไปทีฝังในวิญญาณเขาเลย ประมาณว่าเขาฟังแล้วก็ดีนะ เออเอ็งดี เอ็งเก่ง แต่ข้าไม่เอาด้วย เพราะมันเจ็บ มันครูด มันปัก มันเกี่ยว มันฝังใจ มันเป็นดีที่ยังไม่ใส ยังไม่เนียน

…ว่าแล้วก็มานั่งเอาเข็มมาเกี่ยวเอาหนามที่ฝังอยู่ออก ก็เห็นว่าเข็มกับหนามนี่มันแหลมเหมือนกันนะ แต่มันทำหน้าที่ต่างกัน เอาเป็นว่าหน้าที่หนามให้เป็นของคนอื่นแล้วกัน ยังมีคนดีอีกมากที่ยังมีหนาม ผมก็ยกให้เขาทำไป แล้วจะเปลี่ยนงานมาเป็นเข็มไว้ถอนหนามออกแล้ว นี่ก็ต้องปรับตัวอยู่เหมือนกันนะ จะเปลี่ยนงานมันก็ไม่ง่าย แต่ก็คงต้องฝึกกันไป

ปลามันก็อยู่ของมันดี ๆ

คลิปล่าปลา

นั่งดูคลิปนี้แล้วก็นึก คนเรานี่ก็ชอบเบียดเบียนเนาะ แสวงหาวิธีเบียดเบียน ปลามันก็อุตส่าหนีไปมุด ซุก แอบ มันก็คิดว่าจะปลอดภัย เจอคนนี่ร้ายสุด ๆ ฉลาดสุด ๆ ยังหาวิธีไปล่ามันได้

ก็คิดกลับมาเรื่องกรรม ก็คงเหมือนชีวิตเรานี่แหละ ก็ขยันทำดีอยู่ดี ๆ ไม่อยากเจอสิ่งชั่วในชีวิต แต่แล้ววิบากกรรมมันก็ซัดเข้า เหมือนฉมวกที่เขาแทงปลาในซอกหินนั่นแหละ เราอุตส่าแอบในดีแล้วมันยังหาเจอ ทำดีมานานหลายต่อหลายชาติก็คิดว่าจะหลบพ้น สุดท้ายวิบากกรรมเขาก็ตามเจอ เจอแล้วก็แทงเข้าให้

ใครที่คิดว่าชาตินี้ฉันก็ทำดีเป็นส่วนมาก ทำไมยังเจอชั่ว ก็ชั่วที่เคยทำมันตามมาหลอกหลอนไง อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่ฆ่าไม่กินสัตว์แล้วจะพ้นวิบากนะ เพราะชาติชั่ว มันเยอะกว่าชาติที่ทำดีแน่ ๆ มันมาแน่ ๆ หนีเข้าวัด(ซอกหิน) ก็โดน

กรงขังสัตว์ กรรมขังคน

วันนี้เดินผ่านซอยแถวบ้านตั้งแต่เช้ามืด เสียงนกตัวหนึ่งดังขึ้น เป็นนกตัวเดิม ที่ผมมองมันประจำเวลาเดินผ่านซอยนี้ มาตั้งกี่ปีมาแล้วไม่รู้

นกตัวนี้ตัวสีขาว ถูกขังอยู่ในกรงที่แขวนไว้ริมรั้วที่โปร่งพอจะเห็นตัวมันได้ชัดเจน ลักษณะเด่นของมันคือมันพูด(ร้อง)เลียนเสียงคนได้ มันก็พูดไปตามที่มันจำได้นั่นแหละ

ผมเดินผ่านมาก็นานหลายรอบในหลายปี มันก็โดนขังอยู่แบบนั้น ก็จริงอยู่ที่ชีวิตมันจะปลอดภัย มีกรงแข็งแรง มีคนให้อาหาร แต่มันก็โดนขังอยู่ดีนั่นแหละ แทนที่จะออกไปใช้ชีวิตตามประสานกแล้วก็ตายไปอย่างนก

นี่มันต้องอยู่ในกรง บินก็ไม่ได้ ดีไม่ดีอายุยืนอีก คืออยู่ในกรงนี่มันไม่มีศัตรูมาก ไม่เหมือนอยู่ข้างนอก สรุปคืออายุยืนอยู่ในกรง ชีวิตแบบนี้มันน่าได้ไหมนี่…

ด้วยความที่มันเป็นนกพูดได้ มันเลยมีค่าพอให้เขาจับขัง มีค่าพอให้เขาเลี้ยง มีค่าพอให้เขายึดมั่นถือมั่นในตัวมัน คือถ้ามันร้องไม่ได้ หรือเป็นนกธรรมดา เขาก็ไม่ใส่ใจมันขนาดนี้หรอก

แล้วก็มานึกต่อถึงคน คนนี่ก็โดนขังด้วยกรรม ก็กรรมของตัวเองนั่นแหละ เกิดสภาพชีวิตที่เหมือนนก มีความสามารถแต่อยู่ในที่แคบ ๆ ทำดีก็ทำได้แบบแคบ ๆ ติด ๆ ขัด ๆ จะออกก็ออกไม่ได้ ถึงจะออกได้ก็ได้ไม่นาน มีอะไรมาเป็นกรอบ เป็นตัวบีบ มีกรงกรรมที่ขังอยู่ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกรรมที่ทำมา อาจจะเป็นเคยขังสัตว์ ขังคน ขัง… หรือจะเป็นชั่วอะไรก็ได้ อย่าไปเดามันเลย

อีกส่วนหนึ่งคือกิเลสนี่เอง พอคนเป็นคนจิตใจดี มีความสามารถ คนอื่นเขาก็รัก เขาก็ใส่ใจ เขาก็จับให้อยู่ในที่ ๆ เขาพอใจให้อยู่ คือคนดีที่เก่งด้วย นี่มีแต่คนอยากได้ ใครได้มาเขาก็อยากกอดเก็บไว้

ทีนี้คนมองกิเลสไม่ออกก็หลงติดกับเลย เจอเขาให้คุณค่า ให้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข ก็หลงติดอยู่กับเขาเหมือนกัน ก็มันสบายนี่นะ มีคนเลี้ยงไว้ มีความปลอดภัยในชีวิต คนโลก ๆ ใครจะไม่เอา

ส่วนตัวผมก็ว่านี่เป็นสภาพติดสวรรค์รูปแบบหนึ่ง มันเป็น Comfort zone ของฤาษีแบบหนึ่ง ติดสงบ ติดภพแบบหนึ่ง อาการมันจะออกประมาณว่าเหมือนนกติดอยู่ในกรงนั่นแหละ เรียกว่า “นกน้อยในกรงทอง” ก็ว่าได้

คือตัวเองมีความสามารถที่จะทำประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อโลกได้มากกว่านั้น แต่ก็เอาเวลา ความสามารถ เอาชีวิตไปจมอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง คนใดคนหนึ่ง เช่น คนรัก ครอบครัว ฯลฯ มากจนเกินไป

ก็เป็นนกน้อยในกรงทอง พอใจกับอาหารที่เขาให้รายวัน พอใจกับความปลอดภัยในกรง มันก็คงดีในแบบของเขา แต่สำหรับผม ผมคิดว่าไม่ สภาพของชีวิตที่มันไม่มีอิสระและมีขอบเขตจำกัดด้วยกรง(สวรรค์ลวง) เหล่านี้มันไม่มีประโยชน์เอาซะเลย

กรรมจะคัดคนด้วยเหตุปัจจัยของมันเอง

จากที่ผมสังเกตมาหลายปี ตั้งแต่ศึกษาธรรมะมา หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป มีบางคนจากไป มีบางคนเข้ามา สังคมรอบตัวของผมเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมไม่ได้เลือกว่าจะให้ใครเข้ามาหรือจะให้ใครจากไป มันเป็นไปของมันเอง เขาเลือกที่จะเข้ามาของเขาเอง และเขาก็เลือกที่จะเดินจากไปเอง

ผมเชื่อว่ายิ่งผมตั้งมั่นในทางธรรมมากยิ่งขึ้น การผลัดเปลี่ยนของคนก็จะไวมากขึ้นเท่านั้น คนที่ไม่จริงจังจะหายไป คนที่จริงจังจะเข้ามาตามระดับของธรรมะที่ผมมี

ผมเคยคิดเสียดาย คนที่จากไปนะ แต่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอย่างเดิมแล้ว เพราะเข้าใจว่าความจริงมันเป็นแบบนั้น ปัจจุบันคือสิ่งที่แสดงความจริงให้เราเห็น ว่าคนเรามีเส้นทางของแต่ละคน

ถ้าเราศึกษาธรรมจนมีความรู้ถึงระดับหนึ่งที่พอจะแบ่งปันได้ เราก็จะพยายามนำความรู้นั้นไปช่วยคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เราจะช่วยเขาได้ เราจะช่วยได้ก็เฉพาะแต่คนที่ยอมให้เราช่วยเท่านั้น ซึ่งเรียกว่าน้อยคน บอกกันตรง ๆ ว่าจนถึงวันนี้ ผมยังไม่สามารถช่วยใครได้เท่าที่ผมเคยหวังไว้สักคน

นั่นทำให้ผมรู้ว่า ในอนาคตผมก็ต้องเจอกับคนที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านเลยไปเหมือนในอดีต ในวงโคจรแห่งพุทธะ ผู้ที่สามารถเกาะกระแสได้ และร่วมกันเดินทางไปในเส้นทางแห่งการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์นี้ ก็คงจะมีแต่ผู้ที่จริงจังเท่านั้น

ทำบุญล้างซวย

ความเห็นผิดแบบมหภาคของชาวไทยเลยก็คือ เห็นว่าบุญเป็นเหมือนโชค ทำบุญแล้วจะมีผลไปเพิ่มโชค คือทำบุญมากมีโชคมากอะไรแบบนั้น

เมื่อชีวิตพบกับความซวยซ้ำซวยซ้อนก็เข้าใจว่าตัวเองดวงตก วิธีการทั่วไปก็คือไปทำบุญแบบที่เขาเข้าใจนั่นแหละ ทำแล้วก็เข้าใจว่าตัวเองได้โชคเพิ่ม จะโชคดีขึ้น จะพ้นเคราะห์อะไรแบบนี้

จริง ๆ แล้วความซวย มันไม่ได้เกิดจากบุญหมดหรือโชคหมด แต่เกิดจากกรรมอันมีกิเลสเป็นตัวบงการ เมื่อกิเลสสั่ง สิ่งที่ทำนั่นก็ย่อมชั่ว จึงกลายเป็นกรรมชั่วให้ต้องมารับผลซวย ๆ อย่างที่เห็นกัน

ทีนี้ทำบุญล้างซวยมันกลายเป็นความเชื่อชนิดฝังหัวไปแล้วไง คนก็เอาแต่ไปทำบุญล้างซวย และซวยยิ่งกว่าคือล้างผิด เหมือนคนเหยียบขี้แต่ไม่ล้าง กลับพยายามเอาน้ำหอมมาฉีด

เพราะจะล้างซวยกันจริง ๆ ก็ต้องล้างเหตุแห่งความซวย ก็คือล้างกิเลสที่เป็นเหตุแห่งความซวยนี่แหละ มันถึงจะหายซวย มันถึงจะสะอาด ไปล้างผิดที่อีกกี่ชาติก็ไม่หายซวย

อาจจะเป็นเรื่องง่าย ๆแต่ผมเชื่อว่า 99.99 % หรือมากกว่าของชาวพุทธในประเทศไทยยังมีความเห็นผิดเช่นว่า ทำบุญล้างซวย

หรือถ้าเอาให้ถูกตามพยัญชนะแบบเดิม ก็คือ ทำบุญ(ล้างกิเลสเหตุแห่งความชั่ว) ล้างซวย( เมื่อไม่ทำชั่ว ก็ไม่ต้องรับผลซวย ๆ ) แบบนี้ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเข้าใจแบบนี้ก็ถูก แต่ถ้าเข้าใจแบบอื่นก็ผิด … แต่จะเห็นว่าความเห็นแบบนี้ผิดก็ไม่มีปัญหา เพราะคนเห็นผิดก็ต้องเห็นถูกเป็นผิด เห็นผิดเป็นถูกเป็นธรรมดา เอาเป็นว่าก็ทดลองศึกษากันไปว่าทำแบบไหนมันจะพ้นทุกข์ได้จริง

[15] ที่ราบ คลอง ภูเขา

diary-0015-ที่ราบ-คลอง-ภูเขา

15. ที่ราบ คลอง ภูเขา

สมัยที่ยังเด็ก ๆ ผมเคยมีภาพฝันว่า อยากมีบ้าน ที่สามารถทำสวนทำไร่ได้ มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติตัดผ่าน มีภูเขาล้อมรอบ อารมณ์แบบบ้านเล็กในป่าใหญ่

ฝันนั้นค่อย ๆ เลือนลางไปตามกาลเวลา แต่วิถีชีวิตผมยังเลือกเส้นทางที่จะเอื้อต่อฝันนั้นอยู่ เช่น เลือกเรียนในสาขาที่สามารถรับงานอิสระได้ คือศิลปกรรม

เพราะผมเป็นคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตตั้งแต่ยุค 56 kbps ก็พอจะเดาได้ว่าในอนาคต การทำงานแล้วส่งผ่านอินเตอร์เน็ตต้องสะดวกแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริงอย่างในทุกวันนี้

แต่สุดท้ายฝันนั้นก็เลือนหายไป ผมกลายเป็นคนเมืองทำงานออฟฟิศอยู่ช่วงหนึ่ง จนลาออกมาทำงานส่วนตัว และเรียนต่อ …ในใจตอนนั้นก็เรียกว่าลืมฝันไปหมดแล้ว เพราะเรียนต่อด้วยเหตุผลที่ว่าจะหางานในเมืองทำ

แต่สุดท้ายชีวิตก็พลิกผัน ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มันก็มีปัญญาเกิดขึ้นว่า ทำงานแบบที่คิดไว้นั้นไม่ดี เราหาทางออกดีกว่า

ผมปักมั่นที่จะออกจากวังวนนั้นจนกระทั่ง พ่อได้มอบที่ดิน ที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อนให้พร้อมเงินจำนวนหนึ่งให้มาตั้งตัวที่นี่

ที่นี่มีความฝันของผมอยู่ครบ มีที่ราบมากพอจะปลูกพืชได้ มีภูเขาล้อมรอบ มีแหล่งน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าได้มาทั้งหมดโดยไม่ต้องแสวงหา

นี่คงจะเป็นกรรมเก่าที่ผมทำมาในชาติใดชาติหนึ่งแน่ ๆ เพราะมีทั้งเหตุคือความฝัน ความตั้งใจ และมีผลคือได้สิ่งเหล่านั้นมา(ให้ผ่านมือพ่อ) เพื่อสร้างเหตุใหม่ที่จะเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

อนาคตเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอก ผมมีหน้าที่แค่ทำให้ที่นี้มันเจริญขึ้นเท่านั้นเอง ความฝันมันจบไปแล้ว เพราะที่มีอยู่นี่แหละคือความจริง

ศึกษาเรื่องผี

วันนี้ลุยศึกษาเรื่องผีทั้งวัน

..ก็ศึกษาจากพันทิพเหมือนเดิม ตามที่เขาเล่ามา จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก็กลับมาตรวจสอบตัวเองนะว่า เออป่านนี้เราก็พัฒนาจากคนที่บาปมากๆ มาจนทุกวันนี้เชื่อว่าได้สร้างบุญชำระบาปไปพอสมควรแล้ว ผมมั่นใจว่าผมมีบุญและกุศล(ความดี) มากพอสมควรเชียวล่ะ

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีนี่จะมาขอส่วนบุญคนมีบุญ ผมก็มีเยอะนะ แต่จนทุกวันนี้ยังไม่มีมาเลย มีแต่คนที่ยังมีความเป็นผีนี่แหละ ที่มาขอวิธีทำบุญ (ชำระกิเลส) กับผม ก็ช่วยๆกันไปแบบเพื่อนร่วมหนทางธรรม

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมาขอส่วนบุญ จริงๆ ตามหลักพุทธนี่ เรามีกรรมเป็นของของตนนะ ไอ้บุญ กุศลอะไรนี่ก็เป็นสิทธิที่คนทำพึงได้ คนไม่ทำก็ไม่ได้ แล้วมันจะโอนกันยังไงหว่า นี่ผมก็ยังงงตรรกะนี้ ไม่รู้แนวคิดนี้มาจากไหนเหมือนกัน

ก็คนเขามักบอกกันว่า ต้องพกพระขลังๆ ผมนี่ไม่เคยพก ไม่เคยห้อยพระอะไรเลย และผมยังชัดเจนในใจว่า พระไหนจะยิ่งใหญ่สู้พระพุทธเจ้าอีก ไม่มีหรอกในโลกนี้ แค่พกความเป็นพุทธะไปก็พอแล้ว ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว ไม่ต้องไปหาให้มันเมื่อย ทำให้เกิดในตนนั่นแหละ เกิดมากเกิดน้อยก็แล้วแต่จะเพียรสร้าง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีที่มาหลอกนั้นคือวิญญาณที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผมเองก็มีวิญญาณเหมือนกัน ไม่เห็นมันจะแสดงอำนาจอะไรประหลาดๆ ถ้าตอนเป็นมันไม่มีอำนาจนั้น ตอนตายมันจะมีอำนาจนั้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือเรื่องผีไม่ใช่เรื่องอจินไตย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วเป็นบ้า ไม่มีวันจบสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีจุดจบ มีคำตอบ เพียงแต่ต้องศึกษากันอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมักจะมาหลอกตอนกลางคืน จริงมันก็ตลกดีตรงมีวันเวลาทำงานที่ชัดเจนขนาดนั้น ผมอ่านความเห็นนี้ก็มานั่งคิด ว่า เออ ทำไมมันต้องกลางคืน ทำไมต้องตอนนอน ทำไมต้องตอนกลัว …ผมเข้าใจสภาวะของจิตที่สติไม่ครบ เช่น ตอนง่วง หรือช่วงตอนตื่นนอน ผมมักจะใช้ช่วงเวลานั้นปรุงแต่งเรื่องบางเรื่องที่ต้องการศึกษาเพราะมันจะขยายได้มากกว่าปกติ นั่นเพราะไม่มีสติเป็นตัวจำกัด ดังนั้น “เรื่อง” จึงขยายได้ไม่มีจำกัด สภาพของจิตที่ตกร่องระหว่างจะหลับก็ไม่ใช่จะตื่นก็ไม่เชิงนี่แหละ ที่คนเขาว่ากันว่าเป็นภาวะของคนถูกผีอำ ซึ่งผมก็เห็นตามนั้นเพราะตอนนั้นปรุงอะไรมันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

ก็คนเขามักบอกกันว่า คนเห็นผีนั้นเป็นคนมีสัมผัสที่หก ผมยังเห็นว่าน่าจะเกิดจากอัตตามากกว่า เป็นอัตตาชนิดมโนมยอัตตา คือสร้างภาพขึ้นมาเอง ผมเข้าใจสภาพนี้เพราะมันสามารถปรุงมาได้ครบรสเลย คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เขาว่าเจอผมก็เคยเจอบ้าง แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเกิดเพราะอะไร มันมีเหตุจากอะไร จากสัญญาเก่าบ้าง มาเป็นนิมิตบ้าง หรือเป็นมโนมยอัตตาบ้าง อันนี้ต้องแยกให้ดี ผมเชื่อว่าถ้าผมยังเห็นผีอยู่ นั่นแหละผมยังมีกิเลสหนาที่ยังปั้นพลังงานสร้างผีขึ้นมาได้ ซึ่งเรียกว่าเสียของมากๆ แทนที่จะเอาพลังงานสร้างสิ่งที่มีประโยชน์กลับปั้นผีขึ้นมา จึงสรุปว่าคนเห็นผีนี่แหละยังเป็นคนที่มีภาระเยอะ วิบากกรรมก็เยอะเช่นกัน เพราะต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริงที่เป็นประโยชน์

….แต่ผมเองก็ยังไม่มีปัญญาพอจะอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ คือยังไม่มีปัญญารู้แจ้งเหตุทั้งหมดของการเกิด “ผี” ก็คงต้องอาศัยศึกษาจากผู้รู้กันต่อไป

จริงๆ ผีมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก กิเลสเรานี่ร้ายกว่าผีเยอะ ผีนี่อย่างเก่งก็ทำให้เรากลัว ให้เราทุกข์ แม้จะทำให้เราตายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันเป็นผลจากเหตุ แต่ถ้ากิเลสนี่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้ายังเลี้ยงกิเลสไว้อยู่ มันก็ยังเป็นตัวที่สร้างผีอยู่นั่นเอง

แมวที่ถูกโยน อธิบายเรื่องกรรมและผลของกรรม

จากกระทู้ : อยากให้ผู้ปกครองดูแลลูกหลานหน่อยเพราะลูกคุณอาจเป็นฆาตกรไม่รู้ตัว

วันก่อนมีโยนบกปลาวันนี้โยนแมว… จริงๆ มันก็เหมือนกันละนะ เจตนาโยนแมวนี่ไม่รู้ แต่เจตนาโยนบกปลานี่ต้องการให้มันตายแน่ๆ (ก็เขาว่ามาอย่างนั้น)

เรื่องก็มีอยู่ว่ามีเด็กเอาแมวไปรังแก โดยโยนลงมาจากที่สูงจนแมวบาดเจ็บ

อ่านเจอประโยคนึงเลยหยิบมาวิเคราะห์กัน คือ “มันทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมถึงต้องมาทำกับมันขนาดนี้ถ้าเราแบบนี้กับมนุษย์ใจบาปบ้างล่ะ?

ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นกรรมของแมวตัวนั้นละนะ ที่ต้องรับไว้ มันทำมามันก็ต้องได้รับของมันตามสัจจะ เป็นของของมันอย่างแน่แท้ทีเดียว

ทีนี้ได้รับแล้วผลของกรรมชุดนั้นก็หมดไป ไม่มีอะไร ได้ใช้กรรม ได้ใช้หนี้มันก็ดีแล้ว ไม่เห็นต้องไปทุกข์อะไร เจ้าของก็รักษาไปตามอาการ ช่วยได้ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ ถ้ามันจะตายก็เป็นไปตามกรรมของมัน ส่วนการที่เราไปจองเวรคนอื่นนั้นเป็นกรรมใหม่ของเราที่จะไปผูกพันเราไว้กับคนที่เราเกลียด

กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ยากจะอธิบาย เป็นหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่มีความเห็นถูกตรงจริงๆ จะเข้าใจในเรื่องกรรมโดยไม่สงสัยว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร

ไม่ได้ตั้งใจวิจารณ์ จขกท นะ ที่เขามาเล่านี่ก็ดี ทำให้เห็นว่าสังคมเราก็มีแบบนี้ด้วย แต่ที่มาพิมพ์นี่ตั้งใจให้พิจารณาเรื่องกรรมกันให้ดีๆ ผลของกรรมหรือปัจจุบันที่แสดงให้เห็นอยู่ในโลกนี้แหละ คือสิ่งที่สมควรและสมเหตุสมผลอยู่ทุกวินาที …. แม้มันจะดูไม่เหมาะไม่ควรและไม่สมเหตุสมผลก็ตามที

ปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์?

จากกระทู้ : พบข่าว เจอปลาซัคเกอร์ ให้โยนบกให้ตาย เพื่อช่วยระบบนิเวศน์ เราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอคะ

ช่วงนี้เจอข่าวปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์ ก็มีหลายคนที่ออกมาให้ความเห็นว่า ฆ่าได้ เพื่อรักษาปลาชนิดอื่น…

ผมว่ามันก็ชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำของศีลธรรมในตัวคนนะ คืออะไรที่จะเกิดความเดือดร้อนต่อสิ่งที่ตนเองยึดว่าดี ก็เลยกำจัดสิ่งนั้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุจริงๆ

ในส่วนตัวผมไม่เห็นว่าการที่ปลาซักเกอร์จะเต็มแม่น้ำแล้วมันจะเกิดผลกระทบอะไรกับผมเลย แม้ปลาอื่นๆหมดไปก็ยังไม่เกิด เพราะจากนี้ไปจนถึงกลียุค คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ไปหาผักหาหญ้ากิน ดังนั้นจะมีหรือไม่มีปลาอะไรในแม่น้ำมันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

ถ้าเราไม่มองเรื่องกินเรามองเรื่องสิ่งแวดล้อมล่ะ จริงๆแล้ว คนนี่แหละไปทำให้ระบบวิเวศน์มันพัง ปลามันก็อยู่ของมันดีๆ ไปจับมันมากิน มันก็ลดจำนวนลงทุกวันๆ อันนี้ไม่เป็นศัตรูต่อระบบนิเวศน์ที่น่ากำจัดกว่าหรือ หรือไม่ก็โรงงานที่ปลอยสารพิษ การเกษตรที่ใช้สารเคมี ทำให้แหล่งน้ำและระบบนิเวศน์เสียหายกว่าเยอะเลย มันมีสิ่งที่มีพลังทำลายมากกว่าปลาซัคเกอร์อีกมาก

โดยธรรมชาติแล้ว มันไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้นานหรอก แม้ปลาซัคเกอร์ก็ตาม วันหนึ่งจะมีบางอย่างเกิดขึ้นมาทำลายปลาซักเกอร์เอง จะเป็นสัตว์อื่นก็ได้หรือจะเป็นคนก็ได้ โลกนี้หมุนไปบนความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่มีวันที่ปลาซัคเกอร์จะครองแม่น้ำในไทยได้ทั้งหมดตลอดไป แต่วันที่คนบาปจะครองโลกนั้นมีอยู่ แต่ถึงกระนั้นสิ่งนั้นก็ไม่ได้ตั้งอยู่ถาวร สุดท้ายคนบาปที่ไร้ศีลธรรมก็ฆ่ากันตายจนหมดโลก แล้วคนดีที่แอบซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ ออกมาฟื้นฟูโลกให้กลับมาสดใสงดงามอีกที หลังผ่านกลียุคไปแล้ว (อ้างอิงจากเหตุการณ์ในกลียุคที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้)

ปัญหาที่ควรแก้จริงๆ ไม่ใช่ปลาซัคเกอร์หรอก แต่เป็นความตกต่ำของศีลธรรมในตนที่เห็นว่าการฆ่านั้นดี แม้จะให้เหตุผลใดๆ ก็ตามที (บางทีพูดยกตนเหมือนเสียสละ) แก้ปัญหานี้ก่อนจะดีกว่า เพราะสุดท้ายปลาซัคเกอร์ก็มีกรรมของมัน แต่คนที่ไปฆ่ามันก็ต้องรับกรรมที่ไปฆ่านั้นเอง ก็เลือกพิจารณากันไปว่าจะรับกรรมแบบไหน

ปล. แม้มีความยินดีในการฆ่าก็เป็นกรรมนะ :)