กินฉี่ตัวเอง…ดีจริงหรือ?

ล่าสุดได้อ่านข้อมูลที่เพจทางการแพทย์นำเสนอมา ก็มีข้อมูลทั่วไปที่ยกมาเพื่อให้น้ำหนักว่าการกินฉี่ หรือใช้น้ำปัสสาวะนั้นเป็นโทษอย่างไร

ซึ่งก็ยกมาตามเหตุผลและความรู้ที่ท่านเหล่านั้นได้ศึกษามา โดยเนื้อหาทั้งหมดสรุปลงตรงที่ว่า “การดื่มน้ำปัสสาวะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี” คล้าย ๆ กับคำประกาศิต แต่จริง ๆ ก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นเท่านั้น ยังไม่ได้มีผลงานวิจัยอะไรออกมาชัดเจนว่าการดื่มน้ำปัสสาวะหรือการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรค มีผลเสียเช่นไร? เท่าไหร่? อย่างไร? เป็นเพียงสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นจากการรวบรวมข้อมูล แต่ไม่ได้นำเสนอผลงานวิจัย ใด ๆ ขึ้นมาอ้างอิงข้อสรุปนั้น ๆ

ซึ่งค้านแย้งกับความจริง ที่มีคนตัวเป็น ๆ จริง ที่ได้ทดลองใช้น้ำปัสสาวะบำบัดจริง ๆ ไม่ใช่เพียงคิดเอา นึกเอา สมมุติเอา จินตนาการเอา จับแพะชนแกะเอา คือเอาตัวเองนี่แหละ มาเป็นหนูลองยาเลย

แล้วผลมันเป็นอย่างไร? ผลของคนที่ใช้น้ำปัสสาวะจำนวนมากนั้น มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จนถึงขั้นหายจากโรคหรือความเจ็บป่วยนั้น ๆ โดยใช้น้ำปัสสาวะบำบัดร่วมกับหลักการรักษาสุขภาพแบบปรับสมดุลร่างกายด้วยหลักวิธียา 9 เม็ด (แพทย์วิถีธรรม) หรือหลักการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมอื่น ๆ

จนถึงขั้นมีการเก็บรวบรวมข้อมูล มานำเสนอได้ว่า “ผู้ใช้” น้ำปัสสาวะรักษาโรคมีผลอย่างไร ซึ่งผลของการเก็บข้อมูลวิจัยชิ้นนี้สรุปได้ว่า ผู้ใชน้ำปัสสาวะส่วนใหญ่ ยินดีพอใจในผล และมีสุขภาพร่างกาย , บาดแผล , ฯลฯ ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คือ การใช้น้ำปัสสาวะบำบัดเป็นประโยชน์ต่อตัวเขานั่นเอง

ทีนี้เวลาเราจะศึกษาเรื่องใด ๆ มันก็ควรจะต้องศึกษาจาก “ผู้ใช้” หรือ “กลุ่มตัวอย่าง” ซึ่งในเรื่องของปัสสาวะบำบัดนี้ ก็ต้องเก็บข้อมูลจากผู้ที่ได้ทดลองใช้น้ำปัสสาวะบำบัด จึงจะได้ข้อมูลที่ถ้วนเรา ไม่ใช่ว่าเอาข้อมูลต่าง ๆ มาประติดประต่อแล้วสรุปความได้ อันนั้นเรียกสมมุติฐาน เช่นว่า ฉันได้ยินว่าน้ำปัสสาวะ มีสารนั้นสารนี้ ในเหตุกาณ์ไม่ดีมีน้ำปัสสาวะเป็นเหตุร่วมด้วยเช่นนี้ ส่องกล้องดูแล้วมีเชื้อโรคแบบนั้นแบบนี้ ฉันจึงสรุปว่าน้ำปัสสาวะมีโทษ อันนี้เป็นการคาดเดา ไม่ใช่ข้อสรุป ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

เพราะมันมีข้อมูลอีกฝั่งที่เขานำเสนอขั้วตรงข้ามเลย คือใช้น้ำปัสสาวะแล้วมีกำลัง ดื่มแล้วมีแรง สดชื่น หายโรค เอามารักษาแผล แผลก็หายไว พอมีความเห็นต่าง มันก็ต้องพิสูจน์ ทีนี้ทางผู้ใช้เขาก็พิสูจน์จบไปแล้วไง เขาก็เอาตัวมาทดลองกันหลายพันหลายหมื่น ก็ได้ผลดี ใครจะสนใจจะมาวิจัยก็ติดต่อใช้กลุ่มตัวอย่างนี้ได้ เพราะจากที่ดู ๆ แล้วหลายคนก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลกัน ไม่ได้ปิดบังหรือเขินอายอะไร แม้มันจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะน่ารังเกียจในสังคมก็ตามที

นั่นเพราะเขาข้ามอุปาทานของปัสสาวะไปแล้ว มองเห็นคุณและโทษของปัสสาวะตามจริง ตามความเป็นจริง คือมันใช้แล้วหายโรค เขาก็เอาชีวิตของเขาที่ใช้อยู่ ดำรงอยู่นี่เป็นตัวรับประกัน ว่ามันจริงนะ มันดีนะ

ทีนี้คนไม่ใช้ก็ไม่รู้ คนไม่มีความรู้ก็ไม่ใช้ ยังไงมันก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก เรื่องนี้ผมเห็นว่ายังไงก็สรุปไม่ลง ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ได้แต่ให้ความเห็นกันไปกันมา คนว่าดีก็ใช้ไป คนว่าไม่ดีก็ไม่ใช้ มันก็เรื่องของใครของใครที่จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับตนตามความรู้ที่ตนมี รู้ผิดก็ไม่หายทุกข์ ไม่หายโรค รู้ถูกก็หายทุกข์ หายโรค ก็เก็บข้อมูลวิจัยด้วยความจริงในชีวิตกันไปว่าแบบไหนมันพ้นทุกข์

อุปาทาน น้ำปัสสาวะ เชื้อโรค หรือเชื้อชัง

ข่าวก่อนหน้านี้เกี่ยวกับกระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค ก็ได้คืบหน้ามาจนถึงขั้นมีผู้ที่เอาน้ำปัสสาวะไปส่องกล้องก็พบเชื้อ ที่เขาบอกว่าเป็นเชื้อโรคในน้ำปัสสาวะ

ผมได้ยินแล้วก็เฉย ๆ เพราะจากความรู้ที่รับมานั้น มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว น้ำปัสสาวะจะมีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่เสีย แต่ไม่ได้มีวิจัยแสดงผลว่าเชื้อจุลชีพ ต่าง ๆ ในน้ำปัสสาวะนั้น ทำให้เกิดโรคหรือภัยในร่างกาย ความเห็นต่าง ๆ ที่กล่าวถึงการดื่มหรือใช้น้ำปัสสาวะจะทำให้เกิดโรคและการสะสมของเชื้อโรคนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นเท่านั้น ยังไม่มีงานวิจัยสรุปผลทางสถิติใด มายืนยันสิ่งที่พูดนั้น

การที่น้ำปัสสาวะมันมีเชื้ออะไรอยู่ มันก็เป็นธรรมดา เพราะมันเป็นของเหลวในร่างกายสัตว์ ก็เหมือนกับที่คนกินปลาดิบ ปลาร้า เลือดสัตว์ เนื้อสัตว์สด พวกนี้ผมว่าก็มีเชื้อแบบนี้เหมือนกันหมดแหละ ใครจะทดลองเอาไปส่องกล้องก็แจ้งผลกันด้วย อันนี้เป็นสมมุติฐานของผมนะ ยังไม่มีผลวิจัย แต่ก็เห็นข่าวว่าปลาดิบมีพยาธิอยู่บ่อย ๆ

จริง ๆ คนก็กินเชื้อโรคเหล่านี้ไปในชีวิตประจำวันนั่นแหละ จากอาหารต่าง ๆ ที่กิน ที่นี้ผู้เชี่ยวชาญเขาก็บอกว่า น้ำปัสสาวะนี่มันออกมาเจออากาศภายนอก อากาศมีเชื้อโรค กินเข้าไปจะอันตราย ผมฟังแล้วก็งง ๆ อ้าว แล้วแบบนี้อาหารที่เรากินมันก็เชื้อโรคหมดสิ ทีแบบนี้คุณยังกินกันเข้าไปได้ ไม่ได้มีอาการรังเกียจอะไรเลย

ถ้าใครติดตามข่าว ก็จะเห็นว่าสถาบันวิชชารามได้นำเสนอผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งขึ้นมา เกี่ยวกับผลของการใช้น้ำปัสสาวะบำบัด เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ ก็ได้เห็นความคิดเห็นของผู้ดูเหมือนมีความรู้ในการวิจัยหลายท่านจะมีข้อติเยอะ

จริง ๆ ผมก็เห็นว่างานวิจัยชิ้นนี้มันก็เป็นการเก็บข้อมูลหยาบ ๆ เฉย ๆ มันก็ไว้สำหรับต่อยอดละนะ ที่นี้จากที่ดูตามกระแสเนี่ย ผู้เชี่ยวชาญก็ค่อนข้างเยอะ ก็น่าจะจับกลุ่มตัวอย่างที่มีมากมายมหาศาลเหล่านี้ไปวิจัยเสียเลย ว่าน้ำปัสสาวะเนี่ยมันมีโทษ มันมีผลเสีย จะได้พูดอย่างเต็มปากเสียทีว่ามีงานวิจัยรองรับว่าน้ำปัสสาวะเป็นโทษ ไม่ใช่พูดแบบเดา ๆ กันไปตามอุปาทานที่เคยยึดมั่นถือมั่นมาว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วสิ่งนั้นจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ฉันรู้ฉันเข้าใจไปตลอดกาล

ผมว่าถ้าใครเอาเรื่องนี้ไปวิจัยต่อนี่มันจะเกิดประโยชน์เยอะนะ แถมการันตีเลยว่า ผลงานวิจัยชิ้นนี้ดังแน่นอน ไม่ใช่วิจัยเสร็จแล้วกลายเป็นกระดาษหมกอยู่ในชั้นหนังสือ เพราะมันเป็นเรื่องที่สังคมอยากรู้ สังคมต้องการรู้

เพราะมันมีผลฝั่งหนึ่งแล้วไง ว่ามันรักษาโรคได้ ทำให้อาการเจ็บป่วยทุเลาได้ แม้กระทั่งเอามาล้างแผล แผลก็ยังหายได้ไว อันนี้เป็นผลวิจัยที่เกิดขึ้นโดยบุคคล ใช้จริง ปฏิบัติจริง ไม่ใช่ภาคทฤษฎีหรือข้อสังเกตุ คนใช้เขาก็รู้ด้วยตัวเอง ว่าเอ้อ มันได้ผลนะ มันดีนะ มันแตกต่างนะ

ก็ใช่ว่าคนที่กินฉี่ หรือใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรคนี่เขาจะไม่เคยใช้การรักษาแผนปัจจุบันซะที่ไหน เขาก็เคยใช้กันมาหมดแล้วนั่นแหละ แล้วโดยมากที่เขามากินนี่ เขาไม่ได้เต็มใจหรอก แต่มันจำใจ ก็โรคมันไม่หาย อาการไม่สบายมันไม่หาย ก็เขาไปรักษาแผนวิทยาศาสตร์สุดทันสมัยแล้วมันไม่หาย เขาก็เลยต้องหาทางออกคือมาใช้น้ำปัสสาวะ อ้าว แล้วทีนี้มันหาย มันได้ผล เขาก็ใช้กันต่อเนื่อง แพร่หลายกันมาเรื่อย ๆ จนเป็นกระแสนี่แหละ

ถ้ามันเป็นเชื่อโรค เชื้อร้ายจริง ทำไมคนถึงหายจากโรค ทำไมถึงเป็นอยู่ผาสุก แข็งแรง ยังขยันทำงานได้สบาย ๆ มันน่าจะมาวิจัยตรงนี้นะ ว่าทำไมคนดื่มและใช้น้ำปัสสาวะที่น่าจะติดเชื้อโรคกลับได้ผลตรงกันข้ามกับสมมุติฐานหรือข้อคิดเห็นของนักวิชาการหรือคนทั่วไป แล้วไอ้ที่เดา ๆ กันว่าสะสมผล นี่มันเท่าไหร่ มันดีกรีเท่าไหร่ พูดให้มันดูน่ากลัวไปรึเปล่า เมื่อเทียบกับบุหรี่หนึ่งมวนกับการใช้น้ำปัสสาวะ อันไหนมันน่ากลัวกว่ากัน บุหรี่ก็เป็นโทษ ชัด มีคำเตือน มีแต่โรคร้าย แต่กลับดูไม่น่ากลัวเท่าการใช้น้ำปัสสาวะ

ก็ลองทำใจตามกันดู ก็ให้เห็นใจตัวเองหน่อยว่ามันมีอคติอะไรรึเปล่า ทีปลาร้ายังกินได้ ชอบด้วย เชื้อโรคเต็มเลยนะนั่น บางเจ้าบอกยิ่งเน่าหนอนขึ้นยิ่งอร่อย ที่เขาขายได้เพราะคนชอบไง นั่นเชื้อโรคทั้งนั้น คุณก็กินกันด้วยความสบายใจ พอเป็นน้ำปัสสาวะ อยู่ในร่างกายแท้ ๆ เชื่อโรคแรงสุดเท่าที่มันมีก็คือตัวที่เคยอยู่ในร่างกายนั่นแหละ มันไม่แรงเท่าที่ร่างกายเคยมีหรอก แต่ปลาร้าปลาดิบนี่มันเชื้อโรคข้างนอกชัด ๆ ยังกล้าเอาเข้ามา คนมีอุปาทานนี่เขาดูสับสนจริง ๆ รักอันนั้น ชังอันนี้ ทั้ง ๆ ที่มันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ

Cyber bully กรณีศึกษา กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค

เคยได้ยินคำนี้มาสักพัก จากในเฟสบุคนี่แหละ ก็มีเพจดัง ๆ ที่เขาพากันต่อต้านเจ้า Cyber bully หรือการไปขยี้ ขยำ ย่ำ เหยียดผู้ที่ตนเห็นว่าจะสามารถข่มได้

ผู้ที่โดน Cyber bully มักจะเป็นผู้ที่ตกเป็นข่าว หรือเรื่องที่ตกเป็นข่าว แม้เป็นถึงระดับคนใหญ่คนโตของประเทศก็หนีไม่พ้น

Cyber bully เป็นสภาพที่แสดงความตกต่ำของจิตวิญญาณแบบหนึ่ง ซึ่งโดยปกติในชีวิตแล้ว การที่ใครสักคนหนึ่งจะไปแสดงอาการ ท่าทาง วาจาที่ไม่ดีตีต่ออีกฝ่ายนั้น มักจะไม่เกิดบ่อยนัก แต่ในโลก social สังคมแคบลง การสื่อสารไวขึ้น ทำให้เกิดการแสดงออกบ่อยขึ้น คือปกติกิเลสเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว แต่พอมีช่องทางให้แสดงออก ให้ปล่อยออก มันก็ไหลออกมาโดยธรรมชาติของกิเลสที่จะแส่หาสิ่งใด ๆ มาเสพ ในกรณี ของ Cyber bully ภาพรวมก็คือความสะใจที่ได้ข่ม ได้แสดงออก ได้แสดงตัวตน ได้อวดความรู้ ได้แสดงตนว่าเป็นผู้ปราบมาร เป็นต้น.

Cyber bully มักจะเกิดจากสาเหตุหนึ่ง คือความเห็นต่าง และมีองค์ประกอบ คือมีผู้นำที่จะถล่ม ความเห็นต่างนั้น ๆ เชื่อไหมว่าตัวตั้งตัวตี ที่เคยเห็นว่าไม่สนับสนุน Cyber bully กลับเป็นตัวตั้งตัวตีที่มีส่วนในการโน้มน้าวผู้ที่เห็นต่าง ให้มาแสดงพฤติกรรม Cyber bully

จากกรณี กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค ซึ่งผมก็อยู่ในห้อง มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะบำบัดฯ ตามที่เป็นข่าวและรู้กันโดยมากว่านี้คือห้องที่รวบรวมผู้ใช้น้ำปัสสาวะบำบัดมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน

แต่เมื่อเกิดกระแสข่าวในสังคมขึ้นมา สมาชิกใหม่จำนวนมาก ก็สมัครเข้ามาในกลุ่ม แต่เขาไม่ได้สมัครเข้ามาเพื่อจะศึกษา จากที่สังเกตุดูมาระยะหนึ่ง โดยมากจะเข้ามาเพื่อแสดงทัศนคติที่แตกต่างของคน ซึ่งจะมีน้ำหนักไปที่การเหยียดหยาม ดูถูก ชิงชัง รังเกียจ หรือนั่นก็คือลักษณะหนึ่งของ Cyber bully

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การเห็นต่างไม่ได้หมายความว่าต้องมาทำการ Cyber bully หรือต้องไปขยำ ขยี้ผู้ที่เห็นต่าง แต่อย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง เมื่อบัณฑิตหรือผู้มีปัญญา รับทราบถึงความแตกต่าง ย่อมไม่เพ่งโทษ ถือสา หรือเบียดเบียนทำร้ายใคร

ต่างจากคนพาลซึ่งมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง หมายถึง เมื่อคนพาลได้ที คือเข้าใจว่าตนดีกว่า ตนเหนือกว่า ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ถูกหรือผิดก็ตาม คนพาลจะเพ่งโทษความเห็นอื่น ๆ ที่แตกต่างจากตน พาลน้อยก็เพ่งโทษในจิต พาลมากก็ออกทางวาจา ในกรณีของ Cyber bully ก็เป็นขีดพาลมาก และพาลที่สุดคือทางกาย คือทำร้ายร่างกายกัน

ในกรณีของผู้ที่ทำการเสี้ยม หรือทำสื่อให้คนอาการอยากจะขยี้ ขยำฝ่ายอื่นด้วย กาย วาจา ใจ เช่น ถ่ายคลิปออกมาเพื่อที่จะแสดงความถูกต้อง และข่มผู้อื่นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิดในเชิงของความรู้ แต่ถ้าทำให้คนเกิดอคติ ความเกลียด ความชัง หรือทะเลาะกัน ก็เป็นบาป ผู้ที่ทำสื่อ ก็เป็นผู้นำคนทำบาป วิบากบาปก็จะมาก เพราะเป็นเหตุในการเบียดเบียนที่มาก

ในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกใด ๆ ก็ต้องตรวจตัวเองดี ๆ ว่ามีผลดีกับใคร ทำไปแล้วเกิดผลยังไง ลดโลภ โกรธ หลง รึเปล่า หรือยิ่งเพิ่มความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอีก

ความหลงเบียดเบียนอย่างไร ความหลงยึดว่าฉันถูก แกผิดนี่แหละ คือเหตุเบื้องต้นของ Cyber bully เพราะถ้าหลงว่าตนถูกเมื่อไหร่ คนที่เห็นต่างเป็นผู้ร้ายทันที ตัวเองกลายเป็นพระเอกทันที ทีนี้ผีเข้าแล้ว เหมือนผีไปสิงให้ไปปราบผู้ร้าย แต่ที่จริงตัวเองเป็นผู้ร้ายไปเบียดเบียนเขาก็ยังไม่รู้ตัว อันนี้มันก็น่าเห็นใจ ความหลงตัวหลงตนนี่มันเป็นภัยจริง

ในฝ่ายที่ถูก Cyber bully นั้น ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ก็รับวิบากกรรมที่เคยทำมาด้วยใจผาสุกให้ได้ ก็ต้องเห็นใจเขา ถ้าเขามีปัญญารู้ว่าสิ่งใดเบียดเบียน เป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น เขาก็จะไม่ทำ เหมือนกับเราที่เคยไปทำอย่างนี้แหละ มาหลายต่อหลายชาติ ชาติที่เราไม่มีปัญญา ไม่รู้อะไรลึกซึ้ง ก็แห่ไปตามกระแสอย่างนี้แหละ แบบนี้แหละวัฏสงสาร มันน่าสงสารไหมล่ะ หลงทำบาปวนเวียน ขอทุกท่านจงเห็นใจ และวางใจ

เรียนรู้จาก เหตุการณ์อาจารย์ลงสนามรบ น้ำปัสสาวะ

เวลาเราศึกษาธรรมะเนี่ย มันต้องมีครูบาอาจารย์ แล้วต้องมีตัวเป็น ๆ ด้วย ที่จะเป็นตัวอย่าง เห็นได้ สอบถามได้ มันถึงจะเจริญไปได้
 
ช่วงนี้อาจารย์หมอเขียว ออกรายการสดค่อนข้างถี่ การกระทบก็เยอะ ผมยังไม่ได้ดูหรอก ติดปัญหานิดหน่อย แต่มีเพื่อนช่วยสรุปข่าวแบบละเอียดมาให้ ก็เลยพอเห็นภาพ
 
เวลาผมจะศึกษา ผมจะคอยดูว่าเวลาอาจารย์กระทบความเห็นต่าง กระทบคนพาล คือโดนเขาด่านั่นแหละ อาจารย์จะทำอย่างไร อาจารย์จะช่วยเขายังไง จะปลอบหรือจะติ มันไปได้ทั้งสองแนว คือทั้งเบาทั้งหนัก
 
ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าใครเขาจะด่า อาจารย์ที่เรานับถืออย่างไร จะไม่ให้เกียรติ จะดูถูก จะทำไม่มีมารยาทยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปสนใจสักเท่าไหร่
 
แต่ถ้าเรารัก เราหลงอาจารย์ เราจะชังคนที่มาติ ด่า ข่ม ดูถูก อาจารย์ หรือคนที่เรารัก ซึ่งตรงนี้จะทำให้เราไม่ได้เห็นสาระสำคัญที่ท่านกำลังแสดงให้ดู เพราะมัวแต่ไปเพ่งโทษผู้อื่นอยู่ ผมว่ามันน่าเสียดายนะ ที่พลาดโอกาสในการเรียนรู้นั้น ๆ เพราะเอาเวลาไปสนใจสิ่งไร้สาระ
 
ผมไม่ได้ศรัทธาครูบาอาจารย์เพราะผมจะตามท่านตลอดไป แต่ผมศรัทธาเพราะผมจะทำให้ได้แบบท่าน ให้เป็นคนแบบท่าน อย่างน้อย ได้ 1 ในล้านเรื่องก็ยังดี ดังนั้น งานปกป้องอาจารย์จึงไม่ใช่งานของผม ผมไม่ใช่แนวพระอานนท์ที่ไปยืนขวางช้างนาฬาคีรีที่กำลังพุ่งชนพระพุทธเจ้าแน่ ๆ ผมก็คงจะแค่คอยดูปรากฎการณ์ไม่ธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นแล้วบันทึกลงในจิตวิญญาณเท่านั้น
 
การร่วมกับอาจารย์นั้น ไม่ได้หมายถึงการเดินร่วมทางกันไป แต่หมายถึงเราได้บรรลุผลตามคำสอนของอาจารย์ได้มากน้อยแล้วเท่าไหร่ ดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” ดังนั้นชาวพุทธจึงถือเอากิเลสที่ลดได้เป็นตัวร่วม เป็นทิฏฐิสามัญญตา เป็นความเห็นเดียวกัน เสมอกัน มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกับอาจารย์ได้มากเท่าไหร่ ก็ร่วมมากเท่านั้น แต่ถ้าอาจารย์สอนอย่างหนึ่งไปอีกอย่างหนึ่ง อันนั้นมันก็ไม่ร่วม

น้ำปัสสาวะรักษาโรค?

ช่วงนี้เป็นประเด็นสังคมอย่างมาก เกี่ยวกับการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรค อาการบาดเจ็บ ตลอดจนใช้บำบัดอาการไม่สบายต่าง ๆ

ส่วนตัวผมก็เห็นว่าก็ดีนะ ก็เป็นโอกาสที่คนจะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดอาการเจ็บป่วยที่ประหยัด หาได้ง่าย และไม่มีโทษ

ส่วนตัวผมเคยทดลองใช้มาหลายแบบ ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีโทษอะไรเกิดกับตนเอง ในทางกลับกันส่วนมากจะเป็นประโยชน์ อาจจะมีบ้างที่มันไม่เกิดผล คือ หายจากอาการของโรคนั้น ๆ ชัดเจน นั่นก็เพราะสาเหตุมันมีหลายอย่างที่ต้องแก้ น้ำปัสสาวะก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยบำบัด แต่บางอาการเจ็บป่วยมันต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ปรับสมดุลอาหาร ออกกำลังกาย ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น

ทีนี้ผมเห็นอย่างไรเกี่ยวกับวิพากวิจารณ์ที่ค่อนข้าง… เรียกว่าไม่สร้างสรรค์แล้วกันนะ เช่น เขาไม่ชอบ เขาก็มาแสดงอาการชังแบบเต็มที่ อันนี้เราก็เห็นว่าน่าเห็นใจ เพราะเขาไม่ใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ที่เขาชัง มันก็ทุกข์ของเขาแล้ว มันก็เบียดเบียนคนอื่นด้วย

แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มันก็อย่างนี้แหละ มันก็ต้องกระทบความเห็นที่แตกต่างแล้วทำใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ชังที่เขาด่า ไม่ให้ชอบที่เขาเห็นด้วย โลกมันก็เป็นไปอย่างนั้น แล้วแต่ใครจะยึดถืออะไรเป็นสำคัญ

ส่วนตอนจบ ผมว่า มันก็มีแค่ใครอยากใช้อะไรก็ใช้ไปนั่นแหละ เป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน เพราะมันก็ทุกข์ของใครของมัน เขาหายโรคมันก็ไม่ใช่สุขของเรา เขาตายจากโลกมันก็ไม่ใช่ทุกข์ของเรา เราก็แค่อาศัยสิ่งที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษในการดำรงชีวิต แล้วก็อยู่ทำประโยชน์ไป แต่จะให้ไปวิวาทกับเขานี่ไม่เอานะ ไม่ไหว

เพราะคนเห็นด้วยกับคนเห็นต่าง มันก็มีมวลแตกต่างกันเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเปรียบคนที่เข้าใจธรรมะพุทธแท้ คือฝุ่นปลายเล็บ เมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

ถ้าเราต้องไปยุ่งกับดินทั้งแผ่นดินนี่เหนื่อยตายเลย มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ ผมก็เอาแค่ฝุ่นปลายเล็บนี่แหละ ไม่เกินแรง ใครเขาไม่ใช้เราก็ไม่บังคับเขา อย่างเก่งถ้าเขาสนใจ เราก็นำเสนอไป เขาไม่เอาก็วาง แบบนี้มันไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่

งานวิจัยน้ำปัสสาวะรักษาโรค

ช่วงนี้สังคมก็จะค่อนข้างร้อนแรงเรื่องการใช้น้ำปัสสาวะ ไม่น่าเชื่อว่ายาดีที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษขนาดนี้ จะได้รับความสนใจและตรวจสอบกันในสังคมเป็นวงกว้าง ถึงขนาดหลายต่อหลายรายการได้เชิญ อาจารย์หมอเขียว และจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมผู้มีประสบการณ์ในด้านการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดโรคไปออกรายการ

เมื่อสังคมสงสัยเรื่องน้ำปัสสาวะ

น้ำปัสสาวะโดยทั่วไปแล้ว เราจะมองว่าเป็นของเสีย เมื่อคนที่ไม่มีความรู้ ได้กระทบกับความรู้ใหม่ ก็จะเกิดความสงสัย เกิดคำถาม หรือแม้แต่เกิดข้อสรุปตามที่ตนได้คิดไปว่าน้ำปัสสาวะ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แม้ว่าเสียงส่วนมากในสังคมจะค่อนข้าง อี๋ ๆ (คือไม่เอานั่นแหละ) แต่ถึงกระนั้น สังคมก็ยังให้ความสนใจในประเด็นเรื่องการรักษาโรคด้วยน้ำปัสสาวะเหล่านี้ หลักฐานก็คือ มันเป็นข่าวมาหลายวันแล้ว และยังเพิ่มดีกรีการขยี้เข้าไปอีก คือในวันนี้ก็มีรายการสดด้วย เรียกว่าร้อนแรงเลยทีเดียว ผมยังไม่ได้ดูเพราะอินเตอร์เน็ตไม่อำนวย แต่จากที่ได้ฟังสหายสรุปมา ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก

เมื่อน้ำปัสสาวะบำบัดไม่ใช่ความเชื่อส่วนบุคคุล

ในความเป็นจริงแล้ว การใช้น้ำปัสสาวะก็ไม่ใช่เรื่องที่เดือดร้อนใคร และมีผลดี คือใช้แล้วรักษาโรคได้ดี มีผู้ทดลองจำนวนมาก มีหลักฐานในพระไตรปิฎกอ้างอิงไว้ พระพุทธเจ้าท่านให้ใช้น้ำมูตรเน่าเป็นยา เมื่อภิกษุถามว่าต้องรับประเคนไหม ท่านก็บอกว่าไม่ต้อง นั่นหมายถึงก็ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองนั่นแหละ รักษาโรคได้เลย ไม่ต้องใช้ของคนอื่นหรือมีขั้นตอนอะไรให้ลำบาก แต่เมื่อมีคนใช้น้ำปัสสาวะเข้ามาก ๆ จนเป็นกลุ่มใหญ่ มีความเห็นต่างที่ไปกระทบคนอีกกลุ่ม ก็เลยมีกระทู้คำถามขึ้นมา จนกระทั่งตอนนี้ น้ำปัสสาวะรักษาโรคกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไปแล้ว

งานวิจัยน้ำปัสสาวะรักษาโรคอยู่ไหน?

ในประเด็นของงานวิจัย เป็นเรื่องที่ถามถึงกันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงแค่เรากดค้นหาในกูเกิ้ล เราก็จะเจองานวิจัยที่ถูกเผยแพร่อยู่บ้าง นั่นคือจริง  ๆ มันมีงานวิจัยอยู่แล้ว แต่ขนาดหรือลักษณะงานวิจัยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สรุปคือมันมีงานวิจัยนั่นแหละ แต่เขาไม่แสวงหากันไง ชาวสมาชิกผู้ใช้น้ำปัสสาวะนั่นแหละคือความจริง แต่ละคนก็เป็นตัวอย่างของงานวิจัย เป็นผลที่ได้จากการวิจัย กินจริง ทาจริง หยอดจริง ฯลฯ แล้วก็หายโรคด้วยน้ำปัสสาวะบำบัดกันจริง ๆ เพราะมันมีมวลไง มีข้อมูล มีผล แต่ทีนี้การรวบรวมข้อมูลของการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดแล้วมาเผยแพร่นี่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำค่อนข้างยาก

งานวิจัยปัสสาวะบำบัดของแพทย์วิถีธรรม

ล่าสุดแพทย์วิถีธรรมก็มีผลงานวิจัยออกมา ซึ่งรองรับโดยสถาบันวิชชาราม บอกกันตรง ๆ ก็สถาบันในเครือข่ายแพทย์วิถีธรรมนั่นแหละ แต่ถูกกฏหมายนะ มีองค์กรรัฐรับรองถูกต้อง

งานวิจัยชิ้นนี้ก็มีขอบเขตในเชิงสำรวจ ในมุมที่ผมเคยทำวิจัยมาบ้าง ก็จะให้ความเห็นว่า มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของงานวิจัยเชิงสถิติหรือเชิงคุณภาพที่มากขึ้นต่อไป แต่ข้อมูลการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดที่เขาเก็บได้เบื้องต้นนี่แหละ มันก็เป็นประโยชน์แล้ว คนที่เห็นด้วยก็เอาไปทดลอง คนที่ไม่เห็นด้วยก็ประเด็นไปศึกษาค้นคว้าต่อได้ ไปสร้างงานวิจัยเลยว่าดื่มน้ำปัสสาวะแล้วเป็นโทษอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ดื่มแล้วอ้วกพุ่งนี่ไม่ไหวนะ มันต้องเพิ่มปัจจัยในหมวดความชังเข้าไปด้วย ถ้าชัง เกลียด ขนาด ไม่ชอบ นี่กินยังไงก็ไม่รอด ไม่ลงคอ แต่ถ้าไม่รักไม่ชังมัน ก็พอวัดผลได้บ้าง

เอาจริง ๆ สำหรับความเห็นผมนะ งานวิจัยส่วนใหญ่ก็ error ทั้งนั้นแหละ เพราะมันมีกิเลสเป็นตัวแปร กิเลสมี 16 อาการ ทำให้ผลงานวิจัยมัน error มันได้ผลออกมาก็จริง แต่มันไม่มีทางพ้น bias หรืออคติลำเอียงไปได้เลย อย่างเก่งก็ได้แค่ค่ารวม ๆ ความเห็นส่วนใหญ่ มีนัยสำคัญ ฯลฯ แล้วยังไง แล้วมันพ้นทุกข์ไหม

ความพ้นทุกข์นี่มันสำคัญกว่าผลวิจัยนะ ผลวิจัยมัน error ได้ แต่ความพ้นทุกข์นี่มันพ้นแล้วพ้นเลย มันสุขว่างเบาสบาย … แหม่ มันก็ดันออกไปนอกเรื่องไปหน่อย จะเข้าธรรมะทุกที เอาเป็นว่าโดยสรุปสำหรับผมก็เป็นเรื่องนานาจิตตัง ใครใช้ดีก็ใช้ไป ใครกินแล้วอ้วกออก มันทรมานก็ไม่ต้องใช้ บางคนมีวิบากกรรมต้องใช้ยาแพง ๆ วิธีแพง ๆ ยาที่เป็นพิษ มีผลทางลบต่อร่างกาย อะไรอย่างนั้น

โดยส่วนตัวแล้วหากว่าผมมีอาการไม่สบายแล้วคิดจะรักษา น้ำปัสสาวะ จะเป็นตัวเลือกต้น ๆ ในการรักษาอาการนั้น ถามว่าทำไมถึงเลือกใช้น้ำปัสสาวะบำบัดเป็นอันดับแรก ๆ นั่นก็เพราะมันหาได้ง่ายและไม่มีโทษยังไงล่ะ เรามีของดี แถมฟรี ไม่ต้องวิ่งหา ก็ใช้ไปก่อน ถ้ามันไม่ได้ผลยังไงก็ค่อยไปจ่ายเงินซื้อยาตามที่โลกเขาว่าดีก็ได้ เราก็ใช้ได้หมดนั่นแหละ ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่มันก็มีลำดับความสำคัญในความสำคัญอยู่ ก็เลือกกันไปตามที่ควร ที่ได้ผลจริง

สุดท้ายนี้ก็ฝากงานวิจัยของสถาบันวิชชารามไว้ เพราะผมเห็นว่าเขาตั้งใจทำกันจริง ๆ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าจิตใจที่ตั้งใจเกื้อกูลผองชนหรอกผมว่า ส่วนจะผิดจะุถูกก็ทดลองกันไป นำเสนอกันไป แล้วก็วางความยึดดีทิ้งไป คิดไม่ตรงกันก็วางแล้วแยกกันไปตามวิบากกรรม ไม่ต้องวิวาท ไม่ต้องทะเลาะกัน สบายดี จบ.

งานวิจัยน้ำปัสสาวะ

บัณฑิต บนเส้นทางธรรม

การที่เราจะดำเนินชีวิตไปสู่ความผาสุกนั้นได้นั้น จะต้องดำรงชีวิตอย่างบัณฑิต(ผู้รู้ทันกิเลส จนชำระได้โดยลำดับ) แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยินดีเป็น…บัณฑิต

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด ส่วนคนโง่ ฝักใฝ่ในเรื่องคู่ ย่อมเศร้าหมอง

ถ้าผมจะเอาเกณนี้มาวัด ผมเชื่อว่าน้อยคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมจะเป็นบัณฑิต แน่นอนว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งที่เขายินดีประพฤติตนเป็นโสด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

พวกที่ตั้งใจชัดเจนมันก็ชัดดี ส่วนพวกที่เลือกไปมีคู่เลยมันก็ไปทางนรกชัดเจนดี พวกลูกผีลูกคนนี่ดูยาก เหมือนจะตั้งใจ เหมือนจะเข้าใจ เหมือนจะจริงใจ เหมือนจะเอาธรรมะ เอานิพพานเป็นตัวตั้ง แต่สุดท้ายมักจะ…”เละเทะ” กว่าจำพวกที่เลือกไปมีคู่แต่แรกอีก

มีนักปฏิบัติธรรมหลายคนอยู่เป็นโสด แต่หลายคนก็ไม่ใช่จะเป็นโสดเพราะธรรมะ นั่นเพราะเขาหาที่ถูกใจไม่ได้สักที เขาไม่ได้เข้าใจโทษของกิเลส ไม่ได้เข้าใจวิบากกรรม ไม่ได้เห็นวัฏสงสารที่วนเวียนหลงสุข หลงทุกข์ หลงชอบ หลงชัง มายาวนาน

เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ เป็นมารยาของกิเลสที่กดอาการไว้ แสร้งว่าเป็นบัณฑิต เพราะเป็นโสดแล้วเพื่อนนักปฏิบัติธรรมต่างยินดี แล้วทีนี้ปฏิบัติธรรมไปแต่ไม่ได้ลดกิเลส ปฏิบัติธรรมไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมิจฉาธรรม ไม่คบสัตบุรุต คบคนพาล กามมันก็โต ความอยากมันจัด สุดท้ายมันไม่เอาแล้วโสดเสิด.. เอาคู่นี่แหละสุขกว่า มันกว่า…

วิบากกรรมของคนที่ศึกษาและปฏิบัติแล้วไปมีคู่จะหนักกว่าคนทั่วไปที่เขายังไม่ปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นนักบวชในพุทธศาสนาก็ปาราชิก เปรียบได้กับชาตินี้เกิดมาเป็นโมฆะ เกิดแล้วตายไปเปล่า ๆ ฟรี ๆ เหมือนคนหาเงินหลายร้อยล้านมาแล้วเอาไปเผาเล่น เพื่อเสพสุขจากความอบอุ่นของไฟนั้น

ในมุมของฆารวาสแม้จะไม่มีโทษทางวินัยระบุไว้ แต่โดยสัจจะก็เรียกว่าร่วงกันไปยาว ๆ ชาตินี้คงไม่หวังจะมาเจอกันอีก เพราะรู้แล้วว่าบัณฑิตควรปฏิบัติตนให้เป็นไปเพื่อความโสด แต่จะไปเอาอีกทาง ไปเอาทางตรงข้าม ไปเอาคู่ครอง ไปเอาอย่างคนโง่ มันก็คือการดูถูกธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นแหละ

ดูถูกอย่างไร? ก็ดูถูกว่าการมีคู่นั้นสุขกว่าการอยู่เป็นโสดยังไงล่ะ… เพราะความจริง พระพุทธเจ้าตรัสสอนแต่เรื่องทำให้พ้นทุกข์ ให้เป็นอยู่ผาสุก ให้เกิดปัญญา ท่านชี้ให้ว่าถ้าจะเจริญ ให้ทำตนเป็นดั่งบัณฑิต ต้องดำเนินไปแบบนี้ แล้วคนที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม รู้ธรรมแล้ว แล้วยังจะไปเอาทางตรงข้าม สรุปก็คือเห็นการมีคู่ดีกว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั่นแหละ มันก็ห่างไกลความผาสุก ห่างไกลนิพพานไปเรื่อย ๆ

ผมจะตัดขีดพวกที่รู้ว่าดีแล้ว ทางนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ไม่เอา ไปเอาอีกทาง ว่าเป็นพวกทำกรรมที่หนัก ถึงจะวนกลับมาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก วิบากกรรมของการดูถูกธรรมมันหนัก ขนาดตอนแรกเขายังอยู่เป็นโสด ยังมีโอกาสได้ศึกษาสิ่งที่ดี เขายังเอาตัวให้รอดไม่ได้ แล้วตอนหลังจะมาเอาดี ยาก!! สภาพเหมือนไปตกบ่อขี้มา ขนาดยืนบนพื้นดินธรรมดายังเดินต่อไม่ได้ อยู่ในบ่อขี้บ่อกามมันยิ่งขึ้นยาก จะให้พ้นทุกข์ พ้นชั่ว พ้นโง่ มันไม่ง่าย

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ให้ห่างไกลคนพาล (คนที่เอาแต่เสพตามกิเลส) คบหาบัณฑิต … ผมว่านะ จากประสบการณ์ ถ้าจะเอาให้ชีวิตเจริญและมีเรื่องปวดหัวน้อย ผมคบแต่บัณฑิตดีกว่า พวกอยากมีคู่ หมกมุ่นกับเรื่องหาคู่มาบำบัดอาการอยากนี่ไม่ไหวล่ะ ให้เขาทุกข์กับความกระสันใคร่อยากของเขาให้พอเถอะ

เหยียบเบรคก่อนจะพุ่งตกนรก

เขายังไม่พร้อม ก็ไม่ต้องไปผลักดัน
ให้พร้อมค่อยช่วย

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘
สวนป่านาบุญ ๑

นรกคนดีอันหนึ่งที่สุดจะเผ็ดแสบร้อนก็คือ “การติดการช่วยคน” นี่แหละ และส่วนมากมันจะช่วยพลาด คือมีเจตนาจะช่วยให้มันดีขึ้น กลับกลายเป็นช่วยดึงกันลงนรก คนช่วยก็ลงนรก คนที่ถูกช่วยก็ลงนรก

หลักการประมาณอันหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เอามาวัดเสมอ ว่าควรหรือยังไม่ควรลงมือช่วย คือความพร้อมของเขา แม้เราจะพร้อม แต่ถ้าเขายังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องทำ มันยังไม่ถึงเวลา เขายังไม่พร้อมให้เราช่วย อย่าไปทำเกินหน้าที่

ธรรมะพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ อันนี้ เป็นกรรมฐานที่เป็นเหมือนกับติดเบรค ให้ตนเอง ไม่พลาดพุ่งเกินไปจนลงนรก

การไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการฆ่าและคนบาป ทำไมจึงไม่เลิกกินเสียล่ะ?

บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ราบเรียบเสียฉะนั้น ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 25 สุปปพุทธกุฏฐิสูตร ข้อ 112)

อ่านเจอพระสูตรนี้คิดว่าน่าจะช่วยให้หลายคนทำใจในใจได้ ถ้าอยากเจริญ อยากบรรลุธรรม อยากเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก … ต่อให้ไม่อยากก็ได้ แค่ใช้ชีวิตไม่ให้ไม่เป็นโทษภัยต่อสัตว์อื่นก็พอ

พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้เราละเว้นบาป เหมือนคนมีปัญญา รู้เห็นอยู่ว่าสิ่งที่กำลังจะกินอยู่นั้น มันก่อบาป ก่อโรค เป็นทั้งห่วงโซ่อุปทานในวงจรบาป เป็นทั้งอาหารก่อโรคภัยในตนเอง บัณฑิตเห็นดังนั้นแล้ว ก็ไม่ไปทำอย่างนั้นให้มันลำบากหรอก ก็เหมือนมันมีทางให้เลือกเดิน ทางรกกับทางเรียบ ๆ เราก็ไปทางเรียบสิ จะไปทางรกทำไมให้มันลำบาก

ทางอื่นในการดำรงชีวิตนอกจากกินเนื้อสัตว์ยังมีอยู่ แล้วจะไปกินทำไมให้มันลำบากตัวเอง เบียดเบียนสัตว์อื่น

บัณฑิตหรือผู้รู้นี่เขาเห็นแล้วว่ามีทางเลือกที่ดีกว่ากินเนื้อสัตว์ เขาก็เลิกไปเท่านั้นเอง เพราะไอ้บาป เวร ภัย นี่มันชัด ๆ อยู่แล้ว เป็นการเบียดเบียนหยาบ ๆ ที่แม้แต่คนทั่วไป ศาสนาใดเขาก็รับรู้ได้ จริง ๆ ถ้าไม่ฉลาด ก็ไม่น่าจะมั่นใจว่าตนเป็นพุทธนะ ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง ไม่ใช่ศาสนาไม่รู้ มั่ว ๆ เดา ๆ กรรมดี กรรมชั่ว กรรมใดเบียดเบียน กรรมใดไม่เบียดเบียน อันนี้มันก็หาศึกษาไม่ได้ยากในยุคอินเตอร์เน็ตเข้าถึงแบบนี้นะ

คนที่เห็นทางที่ดีกว่า สบายกว่า เบียดเบียนน้อยกว่า แล้วยังไม่ไป ก็ไม่แปลก ก็เขาไม่ใช่บัณฑิตไง …ตรงข้ามกับบัณฑิตก็มีแต่คนพาลเท่านั้นแหละ

ดูกรท่านผู้มีปัญญาทราม…

เจอประโยคนี้ระหว่างอ่านพระไตรปิฎก คนพูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็พระพุทธเจ้านั่นแหละ ถึงเวลาท่านจะข่มคนโง่ ท่านก็อัดตรง ๆ เลย

มายุคนี้จะไปพูดกับใครเขาแบบนี้ไม่ได้นะ เขาเอาตายเลย บารมีเราไม่พอด้วย จะไปใช้ภาษาระดับพระพุทธเจ้ามันก็ไม่ไหว

ไอ้การที่จะไปปะทะกับคนพาล คนโง่ คนชั่ว นี่มันยาก ในมงคล 38 ประการท่านก็ว่าให้ห่างไกลคนพาลไว้ก่อน

ในพระไตรปิฎกบทหนึ่งท่านก็กล่าวไว้ว่า คนต่ำกว่าไม่ต้องไปคบ ถ้าจะคบก็คบไว้เพื่อไว้ช่วยเขา ดังนั้นถ้าจะหาความเจริญก็ต้องมุ่งไปหาคนที่เจริญ ไปคลุกคลีอยู่กับคนที่เจริญกว่า เก่งกว่า เก๋ากว่า

ผมนี่ไม่ค่อยอยากจะเสียเวลากับคนมากเท่าไหร่ เพราะจริง ๆ จะว่าไปก็ไม่มีปัญญาไปช่วยเขาหรอก เหตุหนึ่งเพราะเขาก็ไม่ได้ให้เราช่วย คือไม่ได้ศรัทธากันขนาดนั้น มันก็ช่วยไม่ไหว ทำไปมันก็เสียเปล่า สู้เอาเวลาไปสนับสนุนคนดีจะดีกว่า เสียเวลาเท่ากันได้ประโยชน์กว่าเยอะ

ช่วยคนที่ไม่ศรัทธา ให้ตายก็ช่วยไม่สำเร็จ ดีไม่ดีมีการเพ่งโทษกลับไปอีก ลงนรกลึกเข้าไปอีก จากอยู่ขุมที่มันไม่ทุกข์มาก พอเพ่งโทษแล้วไม่รู้จะลงไปอยู่ขุมไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง เป็นคนพาลก็ปิดประตูบรรลุธรรมแล้ว ดังนั้นไปยุ่งกับคนที่เขาไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้น มันก็มีแต่เสียเป็นส่วนใหญ่

ครูบาอาจารย์เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ศรัทธาประมาณไหน ท่านถึงจะลงมือ ท่านก็บอกว่าระดับ full house คือเปรียบเทียบกับการได้ไพ่รูปแบบหนึ่งใน poker ซึ่งมีอัตราส่วนที่เขาประเมินมาก็ประมาณ 0.1% นั่นหมายความว่า เจอพันคน ก็จะช่วยได้จริง ๆ ก็หนึ่งคนนั่นแหละ พอเห็นอัตราส่วน มันก็สบายใจเลย โล่งเลย แบบนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รอให้เต็มรอบค่อยลงมือก็ได้ พวกไม่จริงจังก็ปล่อยเขาไปตามที่ชอบ ๆ ของเขา ก็ win win เราก็ไม่ต้องเสียเวลา เขาก็ไม่ต้องมาเพ่งโทษเรา