การเมืองรสจัด

แก้เลี่ยนกันหน่อย อะไรที่มันอ้อม ๆ บางทีมันก็ไม่ทันใจวัยรุ่นสักเท่าไหร่นัก

ผมศึกษาการเมืองยุคนี้มาไม่มาก แต่ก็พอจะเห็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่ คือระดับพลิกประเทศจากสวรรค์เป็นนรกได้เลย

เพราะมีพรรคหนึ่งเขาไม่เอาเลยนะ ชาติ ศาสนา กษัตริย์ เขาไม่เอาสักอย่าง คือธงไทยนี่เขาไม่เอาเลย เขาจะเอาแบบของเขา เขามีความเห็นกันไปอย่างนั้น

ทหาร กองทัพ กองกำลังภาครัฐนี่เขาไม่เอา เขาจะฝึกกองกำลังประชาชนของเขาเอง นี่มันอะไรกัน ช่างย้อนแย้งเสียจริง ไม่เอาอำนาจทหาร แต่กลับสร้างอำนาจทหารในอีกชื่อ

ศาสนานี่เขาตีทิ้งเลย เขาไม่ใยดีเลย ให้สลายทิ้ง โอโห้!? คิดแล้วสยอง ประเทศที่ไม่มีหลักธรรมนำสังคม มันจะไปทางไหน มันก็ไปทางตัวใครตัวมัน ดีของข้า ดีของเอ็ง สุดท้ายมันก็ตีกันด้วยความเชื่ออยู่ดีนั่นแหละ

กษัตริย์นี่เขายิ่งไม่เอาใหญ่ ถ้อยคำที่แสดงออกมานี่นอกจากจะไม่เคารพแล้วยังออกไปทางชัง ๆ อีกด้วย อันนี้ก็ลบหลู่คุณท่านเกินไป มาเล่นกับศรัทธาคนส่วนมากที่เขารักและฝังใจไว้แล้วระวังคุณจะเจ็บหนัก แต่เอาแค่วิบากกรรมที่เพ่งโทษก็นรกกินหัวแล้ว ไม่ต้องไปแช่งอะไรเขาให้เกิดชั่วในตนเองหรอก เพราะที่เขาไม่เคารพบุคคลที่ควรเคารพ ไม่บูชาบุคคลที่ควรบูชา ก็แสดงถึงภูมิปัญญาของเขามากพออยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรเห็นใจเขา เมตตาเขา ให้อภัยเขา กับความไม่รู้ดีรู้ชั่วของเขา

จริง ๆ แนวความคิดนี้มันมีมานานแล้ว แต่มันไม่ออกรูปชัด เพราะพรรครุ่นพี่เขาก็แนวนี้ทั้งนั้นแหละ แต่นี่รุ่นใหม่ เด่นกว่า แซ่บกว่า รสจัดกว่า นรกกว่า คือตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่แอบ ไม่ละเมียดละไม แต่ก็ถูกใจคนไม่น้อย

ก็ไม่ต้องกังวลไป สุดท้ายพวกเขาก็ไปที่เดียวกันนั่นแหละ ถ้ามันดีจริงก็เป็นสุข ถ้าชั่วก็ไปนรก พระเทวทัตยังมีบริวารของพระเทวทัตเลย มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะมีคนชอบอะไรแปลก ๆ

สุดท้ายถ้าประเทศไทยมันไปอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องทุกข์อะไร เพราะถ้าได้ทำดีที่สุดแล้ว ผลจะเป็นยังไงก็เป็นไปอย่างนั้น

ก็เหมือนกับศาสนาพุทธในไทยทุกวันนี้ เนื้อแท้ถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่เปลือกปลอม ๆ ให้คนหลงมัวเมากันต่อไป ประเทศไทยมันจะเปลี่ยนไปสู่อนาคตใหม่ ๆ แบบนั้น มันจะต้องทุกข์อะไร มันก็เหมือนพุทธทุกวันนี้นั่นแหละ สุดท้ายคนก็อยู่แบบหลง ๆ งง ๆ กันต่อไป

ชอบไหม?

ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่บัญญัติให้เลิกกินเนื้อสัตว์

มีบางท่านก็ยังเห็นและสงสัย ส่วนบางท่านปักมั่นไปแล้วก็ลองพิจารณากันดู

ครั้งที่พระเทวทัตมาขอให้บัญญัติให้ภิกษุไม่กินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ยินดีตามพระเทวทัต

!? แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้ากินเนื้อสัตว์ และท่านก็ไม่ได้ห้าม ถ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์ แม้ครั้งที่มีพราหมณ์มากล่าวหาว่าท่านกินเนื้อสัตว์ ท่านก็ยังปฏิเสธว่า เราถูกกล่าวตู่ด้วยถ้อยคำอันไม่เป็นจริง

*ทำไม่ท่านจึงไม่บัญญัติ เพราะท่านบัญญัติไว้แล้วในศีลข้อ ๑ เนื้อความว่า “เธอละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางสาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่”

นั่นหมายความว่าเมื่อปฏิบัติตามศีลไป จะละเว้นเนื้อสัตว์ได้เอง เพราะการที่ยังกินเนื้อที่เขาฆ่ามาอยู่ก็ยังไม่เต็มในเมตตา ยังไม่มีความละอาย ไม่มีความเอ็นดู ไม่มีความกรุณา ไม่หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ …ก็อาจจะเถียงไปได้ ว่าหวังประโยชน์แก่คนฆ่า คนขาย คนเลี้ยง เดี๋ยวธุรกิจบาปเขาจะพัง

ในการปฏิบัติศีลนี้ไม่มีบทลงโทษ นั่นหมายถึงผู้ปฏิบัติก็จะทำไปตามลำดับได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์พละ คนอ่อนแอ ยังอยากมากก็ต้องหามาเสพ แต่ถ้าตั้งจิตถูกว่าจะพยายามลด ละ เลิกก็ไม่ได้ผิดในทางปฏิบัติอะไร เพราะท่านเข้าใจว่ากิเลสมันร้าย มันต้องค่อย ๆ ปฏิบัติลด ละ เลิกไป

ซึ่งจริง ๆ แล้วการไม่กินเนื้อสัตว์ นั้นเป็นระดับเบสิคของพุทธที่เรียกว่าได้กันโดยสามัญ เพราะใช้ปัญญาเข้าถึงได้ไม่ยาก แม้ในปัจจุบัน ผู้คนไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามหลักพุทธ เขาก็ยังมีปัญญาลด ละ เลิกสิ่งที่เบียดเบียนชีวิตอื่นมาก

ดังจะสอดคล้องกับหลักพุทธอีกหลายข้อ คือการเอาสัตว์มาฆ่ากินนี่บาปตั้งแต่ สั่ง ฉุด ลาก ดึงมันมา ทำร้ายมัน ฆ่ามัน สุดท้ายทำให้คนยินดีในเนื้อที่ฆ่ามานั้น บาปทุกขั้นตอน หรือการค้าขายที่ผิด พระพุทธเจ้าไม่ให้ขายชีวิตสัตว์ ไม่ให้ขายซากหรือเนื้อสัตว์ เพราะท่านรู้ว่ามันจะเป็นเหตุให้คนไปหาผลประโยชน์จากสัตว์ ไปเบียดเบียนสัตว์ ท่านก็ปิดประตูนี้

แค่เอาจากจุลศีลข้อ ๑ ,มิจฉาวณิชชา ๕ ,ทำบุญได้บาป ๕(ชีวกสูตร) เอาแค่นี้ก็ไม่ต้องบัญญัติว่าควรกินหรือไม่ควรกินแล้ว เพราะสาวกผู้มีปัญญา ปฏิบัติตามครรลองคลองธรรมไปโดยลำดับแล้วจะรู้เองว่าสิ่งใดควรละ สิ่งใดควรยึดอาศัย

เชื่อไหม ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์ นี่มันไม่ต้องเถียงกันเลยนะ มันจะสอดคล้องกับข้อธรรมทั้งหมดเลย มันจะไม่ขัด ไม่แย้งกันเลย แต่ถ้ากินเนี่ยนะ มันจะขัด จะแย้งไปหมด ยังมีอีกหลายบทที่ยกมาแล้วจะยิ่งล็อกไปใหญ่ แต่มันยาว ก็ยกไว้ก่อน

แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเขาปฏิบัติจนเจริญจริง ภาวนาได้จริง เมตตามีจริง เขาก็หาทางเลิกเบียดเบียนสัตว์ทั้งทางตรงทางอ้อมนั่นแหละ ไม่ปฏิบัติอะไรหรือปฏิบัติผิด มันก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไร มันก็เถียงกินอยู่นั่นแหละ เอ้อ จะมีปัญญาเพิ่มก็ปัญญากิเลสนี่แหละ สามารถเถียงกิน เถียงเพื่อที่จะทำชั่ว เถียงเพื่อที่จะเบียดเบียนได้เก่งขึ้น

…ก็เอานะ ถ้าเข้าใจว่าพ้นทุกข์ก็ทำกันไป แต่ผมว่าไม่พ้นหรอก เพราะสุดท้ายก็ต้องคอยเถียงกินกันทุกชาติ ผมว่ามันทุกข์นะ ไม่เหมือนคนที่เผยแพร่สิ่งดี เอ้ามาลด ละ เลิกการเบียดเบียนกันเถอะ นี่เขาทำไปมันก็เป็นกรรมดี คนจะเห็นต่างบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ต้องมานั่งเถียงกับใคร ไม่ต้องมาปกป้องกิเลสหรือความเห็นผิดของตัวเองกับใคร ก็เผยแพร่ไปตามโอกาสของตัวเองนี่แหละ สบาย ๆ นึกออกก็บอก นึกไม่ออกก็วางไป ไม่ได้ยึดมั่นว่าต้องบอกสิ่งดี แต่ก็อาศัยสิ่งดีให้ดีเกิด

สัจจะมันไม่ได้ถูกหรือผิดเพราะเชื่อหรือคนกำหนดนะ มันถูกมันผิดของมันโดยธรรม คุณกินสิ่งที่มันเป็นโทษ มันเบียดเบียน มันก็เป็นโทษ เบียดเบียนของมันอยู่อย่างนั้น มันหนีความจริงนี้ไม่พ้นหรอก สุดท้ายก็ต้องได้รับผลกรรมตามที่ทำ และผลของการกินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อสัตว์ ก็แตกต่างกันด้วยเหตุปัจจัยของมัน