Welcome to DUCK BLOG

เปลี่ยนแปลงกันอีกครั้ง ของบล็อกแห่งนี้ เมื่อหลายปีก่อนก็มีหลายชื่อแต่ในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น DUCK BLOG บล็อกเป็ด อะไร อย่างไร ทำไม เดี๋ยวเล่ากันต่อเลย

ความเปลี่ยนแปลง

เดิมทีบล็อกแห่งนี้เคยเป็นช่องทางการเผยแพร่ข่าวสารของ MonkiezGrove ในเวลาต่อมาก็ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น Dinh Blog ซึ่งจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ประสบการณ์ต่างๆของ Dinh เมื่อเวลาผ่านไปมีเรื่องราวมากมายค่อยๆถูกแยกออกไปเป็นบล็อกอื่นเรื่อยๆ เช่น cactus , caladium ฯลฯ และในครั้งนี้ก็เช่นกันเป็นความเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในบล็อกแห่งนี้อีกครั้ง

ในครั้งนี้เป็นการแยกเนื้อหาที่มีความจริงจังเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของ Dinh ออกไปอีกบล็อกหนึ่ง ซึ่งจะเน้นไปทางการดำเนินชีวิต การแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต และนั่นหมายถึงการหั่นความหมายของ Dinh Blog ออกไปจนเหลือเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงกลายมาเป็น DUCK BLOG อย่างที่เห็นกันอยู่นี่ บล็อกเป็ดๆ อะไรแบบเป็ดๆ หลายอย่างไม่จริงจัง ขำๆกันไป

สิ่งที่เหลืออยู่

ในปัจจุบันบล็อกแห่งนี้ก็ถูกแบ่งภาคออกไปจนความสำคัญ หรือสาระเริ่มจะไม่มีแล้ว คล้ายๆว่าเหลือแต่บ่นๆ ดินฟ้าอากาศ เล่านู่น กล่าวนี่ อะไรแค่ประมาณนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้อาจจะจับประเด็นไม่ได้นักว่าเหลืออะไร แต่บล็อกเป็ดก็จะดำเนินต่อไปแบบเป็ดๆ เมื่อมีอะไรสำคัญๆก็อาจจะแยกร่างออกไปอีกก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความเป็นเป็ดนั่นแหละ

ทำไมต้อง DUCK BLOG

ผมชอบเป็ดนะ เป็ดทำอะไรได้หลายอย่าง แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่เก่งสักอย่าง แต่นั่นมันมองจากสายตาของคน คำตัดสินของคนเป็นอย่างไรก็รู้กันอย่างนั้น แต่ถ้ามองในมุมเป็ด มันคงจะมีความสุขมากๆที่ทำอะไรได้หลายๆอย่าง เพราะความหลากหลายนี่เองจะทำให้เกิดการเรียนรู้ในภาพกว้าง

ผมเองเป็นคนไม่ชอบลงรายละเอียดในสิ่งไหนลึกๆ พอเข้าไปพบ ไปสัมผัส ก็มักจะถอนตัวออกมาในเวลาไม่นานนัก จะไม่จมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ชอบเรียนรู้ไปเรื่อยๆมากกว่า เอาแค่พอรู้แล้วก็ถอยมาดูอีกที เพราะศาสตร์ต่างๆในโลกนี้ดูเหมือนจะไม่มีแก่นสารใดๆ ดังนั้นผมเองยังค้นหาต่อไปว่าสิ่งไหนหรือสิ่งใดที่ควรจะให้เวลากับมันจริงๆ หรือควรจะจริงจังกับสิ่งนั้นจริงๆสักที

คนเมือง อยากเข้าป่า

หลายปีผ่านมาจนกระทั่งวันนี้ ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในความคิดของผม และเป้าหมายในชีวิต ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วันนี้ดูเหมือนว่าทิศทางในชีวิตจะค่อนข้างแน่นอนแล้ว เหลือแค่ว่าจะเริ่มออกเดินทางเมื่อไหร่ เท่านั้นเอง

เชื่อไหมว่าทุกอย่างมันเริ่มต้นด้วยความบังเอิญ หรือว่าจริงๆมันไม่บังเอิญก็ไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน ย้อนหลังไปเมื่อปี 2009 หรือประมาณ 3 ปีครึ่ง นับจากเวลานี้

เริ่มตั้งแต่ กลางปี 2009 กับสวนลุงนิล (12-14 มิถุนายน 2009)

สวนลุงนิล
สวนลุงนิล

เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไปกับทีวีบูรพา ที่สวนลุงนิล เพื่อพบกับลุงนิล เป็นเกษตรพอเพียง โดยใช้แนวคิดไร่นาสวนผสม เป็นปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งที่มีความรู้ในการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเกื้อกูล โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจากในหลวง จริงๆแล้วในครั้งนี้คนที่ต้องการเดินทางไปเรียนรู้ และเข้าไปขอร่วมเดินทางกับทีวีบูรพาก็คือคุณแม่ของผม แต่พอมาใกล้่ถึงวันเดินทางก็พบว่าคุณแม่ติดงานด่วนๆ ไปไม่ได้ เลยส่งผมไปแทน??

ผมก็ไปแบบงงๆ เพราะว่าช่วงนั้นก็ว่างอยู่แล้วและไม่ได้รับงานไว้ จึงไปแบบไม่รู้อะไรเลย เขาให้ไปก็ไป ไม่รู้จักทีวีบูรพา ไม่รู้จักสวนลุงนิล ไม่รู้จักลุงนิล อะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น แต่เมื่อไปก็ได้รับความรู้และประสบการณ์มากมายจนทำให้ชีวิตหลังจากกลับมาค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองไปทีละนิดละน้อย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ :  สวนลุงนิล

หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ ( 15-17 มิถุนายน 2012 )

หว่านข้าว

ครั้งที่สองกับทีวีบูรพาอีกครั้ง ซึ่งการไปเครือข่ายชาวนาคุณธรรม จังหวัดยโสธร นี้ถือเป็นครั้งที่สองของกิจกรรมชุดนี้ ในครั้งแรกผมเองไม่ได้ไปแต่คุณแม่ของผมไป พอมาครั้งที่สองก็เลยแนะนำให้ผมได้มารู้จัก และเรียนรู้กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่นำพาโดยทีวีบูรพา ครั้งนี้ก็ได้เรียนรู้โลกในอีกมุมหนึ่ง โลกที่หมุนช้ากว่าที่กรุงเทพฯมาก ที่ที่วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่ก็มีคุณค่าในตัวของมัน ผมได้รู้จักวิถีของชาวนาคุณธรรมจากการเดินทางมาในครั้งนี้ และพบว่านี่แหละคือจุดเริ่มต้นแห่งความสมบูรณ์ในชีวิตของผมอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา ( 9-11 พฤษจิกายน 2012 )

ลงแขกเกี่ยวข้าว
ลงแขกเกี่ยวข้าว

ลงแขกเกี่ยวข้าวในครั้งนี้่ เป็นการเดินทางไปที่ยโสธร เพื่อพบกับเครือข่ายชาวนาคุณธรรมกันอีกครั้ง ในครั้งนี้เป็นการไปเข้าถึงชาวนาแบบบุกบ้าน ไปนอนบ้านชาวนากันเลย ไปดูชีวิตประจำวัน ดูลูกหลาน ชุมชน สภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว ซึ่งมีนัยยะที่เป็นกุศลมากมายซ่อนเร้นอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ หากเพียงแค่อ่านฟัง แต่ยังไม่ได้ลองก็คงจะไม่เห็นผล ผมเน้นดำเนินชีวิตตามสุภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ จึงได้เดินทางไปอีกครั้ง ครั้งนี้นับเป็นการเดินทางที่ได้เรียนรู้อย่างคุ้มค่าอีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม ( 25 – 31 มกราคม 2013)

ค่ายหมอเขียว
ค่ายหมอเขียว

เป็นอีกครั้งที่ได้เดินทาง ในครั้งนี้ก็จะไปเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ กับแพทย์วิถีธรรม หรือการใช้หลักธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาและดูแลสุขภาพให้อยู่ในจุดสมดุลคือไม่ดีและไม่ร้าย ให้อยู่กลางๆ ดูๆแล้วอาจจะง่ายแต่จริงๆ นั้นยาก เพราะว่า ยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้น มีสองเม็ดสุดท้ายคือความพอเพียงและธรรมะ ซึ่งยากง่ายต่างกันไปตามแต่ละคน ซึ่งเป็นตัวที่จะทำให้สุขภาพ ชีวิต และจิตใจ ร้ายดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากว่าเราควบคุมได้

เนื้อหาในค่ายส่วนใหญ่ก็จะเป็นการดูแลสุขภาพโดยหลักยา 9 เม็ด พร้อมกับให้ทำกิจกรรมต่างๆ ภายในค่ายให้เกิดการเรียนรู้การดูแลรักษาสุขภาพโดยมีเหล่าจิตอาสาเป็นทั้งพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาที่คอยให้ความรู้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม ( ค่ายหมอเขียว )

คนเมือง อยากเข้าป่า

มาจนถึงตอนนี้ก็สรุปกันเลยแล้วกัน การปลูกต้นไม้หากินก็รู้บ้างแล้ว การแปรรูปก็รู้บ้างแล้ว การทำนาก็รู้บ้างแล้ว การแพทย์วิถีธรรมก็รู้บ้างแล้ว ธรรมะก็รู้บ้างแล้ว โลกก็เข้าใจบ้างแล้ว

ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีชีวิตไปทำไม แล้วทำไมต้องมาทำงานงกๆ ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องเอาเงินไปซื้อข้าวกินอยู่ดี ปลูกข้าวกินเองเลยไม่ง่ายกว่าหรอ ทำไมชีวิตต้องทำอะไรซับซ้อนด้วย ชื่อเสียงเงินทองก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากมายแล้ว ก็แค่พอดำรงชีพได้แค่นั้นเอง สุดท้ายก็เลยมีความคิดแบบคนเมือง อยากเข้าป่า (ไปอยู่บ้านนอก นั่นแหละ)

แน่นอนว่ามันยาก ในการปรับตัวในเบื้องต้นหลายคนคงสงสัยว่าอยู่เมืองดีอยู่แล้วไปทำไม ที่เขาถามเพราะเขายังไม่เห็นทุกข์ในเมืองใหญ่ และยังไม่เห็นความสุขที่บ้านนอก รวมถึงยังไม่เข้าใจความสงบในใจ ไม่แปลกหากอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะคนที่จะเข้าใจได้ต้องมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ผสมผสานทั้งสองด้าน และอื่นๆที่ขอละไว้ในฐานที่อาจจะเข้าใจ

เหตุที่พิมพ์บทความนี้ขึ้นมาอย่างแรกคือต้องการบันทึก สองคือหากเรื่องเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนได้เจอสิ่งที่ชีวิตตัวเองต้องการอย่างแท้จริงก็คงจะดี แน่นอนว่าชีวิตของเรานั้นค้นหาสิ่งที่ต่างกันตามเหตุและปัจจัย ตามแต่กรรมและกิเลสของแต่ละคน

สวัสดี

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

เมื่อช่วงต้นปี 2556 ผมได้เดินทางไปค่ายสุขภาพ ของแพทย์วิถีธรรม หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ ค่ายหมอเขียวมาครับ ซึ่งในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับจากการไปค่ายหมอเขียวมาในบทความ “ชีวิตหลังจากกลับมาจากค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)” ลองอ่านผลกันก่อนก็ได้ สำหรับตอนนี้คือเรื่องเล่าของชีวิตระหว่างอยู่ในค่ายหมอเขียว

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม

ออกเดินทาง

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ราวๆ ตีสี่ ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้มีคุณแม่ของเพื่อน ซึ่งเคยเข้าค่ายมาเป็นผู้แนะนำว่าให้ออกเช้า เพราะนอกจากจะหลีกเลี่ยงรถติดแล้วยังจะสามารถหลีกเลี่ยงคนติดได้ด้วย เราเดินทางจากลาดพร้าว ข้ามสะพานพระราม 8 ขึ้นคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ไปนครปฐม และต่อยาวไปยังกาญจนบุรี ผ่านตัวเมือง ถึงแยกแก่งเสี้ยน ไปทางวัดประดู่ จนกระทั่งถึงโรงเรียนผู้นำ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทาง นั่นคือค่ายสุขภาพ

บ้านพักโรงเรียนผู้นำ
บ้านพักโรงเรียนผู้นำ

เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือการลงทะเบียนเข้าบ้านพัก ฟังคำแนะนำต่างๆ ซึ่งวันแรกก็จะเว้นไว้เพราะกิจกรรมไม่ครบเอาเป็นว่าจะเล่ากิจกรรมในแต่ละวันเลยก็แล้วกัน

เช้าของวันรุ่งขึ้น

เพลงหมอเขียว (ตรึงใจมาก) และเสียงธรรมตามสายจะปลุกเราตั้งแต่ช่วง ตีสามปลายๆ ให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมส่วนตัว อาบน้ำ ล้างหน้า ธุระต่างๆ แล้วแต่เวลาจะอำนวย เมื่อผ่านไปราว 40 นาที เราก็จะเดินไปยังหอประชุมเพื่อสวดมนต์  ฝึกสมถะ กดจุด โยคะ นั่งสมาธิ หรือเดินเร็ว เป็นกิจกรรมยามเช้าซึ่งหลังจากนั้นก็จะเรียกผู้เข้าร่วมค่ายไปเข้าฐานกิจกรรมตามแต่ละกลุ่มตามที่ได้จัดไว้ กิจกรรมในแต่ละวันก็จะไม่เหมือนกัน เช่นทำน้ำคลอโรฟิลล์ ทำอาหาร แช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งก็จะต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน

สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า
สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า

ซึ่งบางกิจกรรมอาจจะทำในช่วงบ่าย สำหรับกิจกรรมเช้า ก็จะจบลงด้วยการไปทานอาหารเช้าแบบจืดๆ เป็นอาหารที่ย่อยง่ายสบายอวัยวะ ที่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะไม่ต้องทำงานหนัก หลังจากทานเข้าเช้าก็สามารถกลับไปอาบน้ำ หรือทำธุระได้

ช่วงสายของวัน

หมอเขียวสอนธรรม
หมอเขียวสอนธรรม

ตั้งแต่ช่วงสายถึงเที่ยงก็จะมีการฟังบรรยาย เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ ซึ่งเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการรักษาสุขภาพกาย และใจตามภูมิธรรมที่ตนมี ก็สามารถศึกษาเพิ่มได้ ในช่วงเที่ยงนี้การกินจะพิเศษกว่ามื้ออื่นๆ นั่นคือให้กินน้ำคลอโรฟิลล์ ผลไม้ ส้มตำผลไม้หรือผัก ตามลำดับก่อนที่จะไปทานข้าวตามมื้อปกติ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยโดยใช้ลำดับอาหารย่อยง่ายลงไปย่อยให้่ได้พลังงานก่อน แล้วค่อยเติมด้วยอาหารย่อยยากกว่า แต่ก็ยังง่ายอยู่ดีเมื่อเทียบกับอาหารปัจจุบันในชีวิตคนเมืองอย่างเรา

อาหารเช้า สบายท้่อง
อาหารเช้า สบายท้่อง

ในระหว่างที่ให้พักทานข้าว ก็จะมีร้านกองบุญเปิดขึ้น เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มหมอเขียว ใครสนใจหนังสือ อุปกรณ์ อะไรก็สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ ส่วนใครที่ทานข้าวเสร็จก็จะมานั่งรอฟังความรู้กันต่อในช่วงบ่าย

ช่วงบ่าย

เป็นช่วงที่น่านอนมากๆ ผมมักจะไปนั่งด้านนอกห้่องประชุม เพราะว่าสามารถยืดแข้งยืดขาได้ตามสบาย และยังได้ยินเสียงบรรยายจากหมอเขียวและทีมจิตอาสาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย สำหรับในห้่องประชุมก็จะมีเก้าอี้ให้นั่ง

ที่ประจำ ข้างห้องประชุม
ที่ประจำ ข้างห้องประชุม

และพื้นที่โล่งสำหรับนอนนั่งปูเสื่อฟังก็ได้ หรือผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวลำบากก็สามารถนอนฟังอยู่ที่บ้านพักก็ได้ มีลำโพงติดไว้ได้ยินชัดเจนเหมือนกัน ในช่วงบ่ายนี่ก็จะยาวไปถึงเย็น จนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว

ที่นี่มื้อเย็นจะเป็นมื้อสุดท้ายของวัน ไม่มีมื้อค่ำ ดังนั้นคนที่เคยกินมื้อดึกๆอย่างผมก็ต้องกินตุนไว้เยอะหน่อย ที่ค่ายสุขภาพนั้นมีก กฏ กติกา มากมายที่เกื้อหนุนให้เราัได้รักษาสุขภาพกายและใจ ดังนั้นถ้าใครอยากสุขภาพดีก็ต้องอดทนและลองทำตามดู เพราะว่าใช้เวลาอดทนเพียงแค่ 7 วันเท่านั้นเอง

ช่วงเย็น – ค่ำ

เราก็จะทานข้าว มื้่อสุดท้ายของวันตอนเย็นประมาณ 6 โมงได้ จำไม่ได้แน่ชัดเหมือนกัน แต่กินข้าวกันแล้วก็กลับมานั่งฟังบรรยายต่ออีกเหมือนเดิม สำหรับค่ายครั้งนี้มีแต่ความรู้จนกระทั่ง 2-3 ทุ่ม ก็จะเลิกและให้ใช้เวลาที่เหลือไปกับการพักผ่อน

หมอเขียว บรรยาย
หมอเขียว บรรยาย

ชีวิตในแต่ละวันก็จะมีประมาณนี้ ซึ่งโดยลักษณะก็จะเป็นการให้ความรู้และการให้ทดลองทำในลักษณะการให้สุขภาพกายแข็งแรงเป็นหลัก แต่จริงๆจากมุมผมก็จะเห็นว่ามีการบรรยายธรรมะเยอะเหมือนกัน เพราะการทำใจให้โล่งโปร่งสบาย นั้นถือเป็นเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ดีด้วย ดังนั้นสุขภาพกายและใจก็มักจะไปด้วยกัน ซึ่งถ้าอยากให้สุขภาพดีก็ต้องรักษาพัฒนากายและใจให้ดียิ่งๆขึ้นด้วย

กิจกรรมพิเศษในโรงเรียนผู้นำ

ภูฝาชี ขี้อ้น
ภูฝาชี ขี้อ้น

สำหรับคนแข็งแรงไม่ป่วย ก็สามารถเดินขึ้น ภูฝาชี ได้ เป็นเขาเตี้่ยๆ ที่สามารถเดินไปได้ในระยะเดินขึ้นเขา 500 เมตร ทางเดินไม่ได้ยากลำบากและชันมากมายนัก เมื่อถึงยอดก็ยอมรับเลยว่าคุ้มค่ากับความพยายาม อันน้อยนิด คือลงทุนไม่มากได้เห็นวิวสวยๆ ทุ่งนา ภูเขา ชุมชน รอบทิศนี้ คุ้มค่ามาก แถมยังได้ทดสอบร่างกายตัวเองที่ผ่านค่ายสุขภาพมาอีกด้วย ดังนั้นกิจกรรมนี้ก็เลยเป็นกิจกรรมพิเศษ สำหรับคนแรงเหลือและว่างงานได้ลองกัน ถ้าสนใจก็ติดตามชมอัลบั้มรูปภาพของผมได้

สรุป

หมอเขียวกับแฟนคลับ
หมอเขียวกับแฟนคลับ

ทั้งหมดทุกอย่างใ้ช้เวลาทั้งหมด ผมเองถือว่าเป็นคนอยู่ไม่เต็มค่าย เพราะว่าต้องกลับมาธุระที่กรุงเทพฯ วันหนึ่งก็เลยยังไม่ได้ลิ้มรสแบบเต็มๆกับเขาสักเท่าไรนัก แต่โดยรวมถือว่าพอใจในความรู้และแนวทางของค่ายสุขภาพกับแพทย์วิถีธรรมมาก หลักยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้นสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากนัก สมควรอย่างยิ่งที่จะได้มาลองเรียนรู้ เพราะเพียงแค่อ่านก็คงจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ

ผมเองเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในการดูแลสุขภาพนัก แต่หลังกลับจากค่าย ร่างกายกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน จากที่เคยกินมื้อดึกก็จบลงด้วยมื้อเย็น ซึ่งก็ไปหนักในมื้อเช้าแทน ความรู้สึกในร่างกายก็ชัดขึ้น อาจเพราะเราได้รับความรู้ให้รู้จักสังเกตุมากขึ้นตามไปด้วยก็ได้

การเข้าค่ายสุขภาพนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วย คนที่ไม่ป่วยอย่างผมก็สามารถมาเข้าค่ายศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและครอบครัวได้ ซึ่งเป็นการเน้นการป้องกันก่อนจะป่วย คือดูแลตัวเองก่อนป่วยดีกว่า ที่จะรอป่วยแล้วค่อยมาดูแลตัวเอง ผมเองเป็นพวกใจร้อน รอป่วยไม่ได้หรอก ต้องดูแลตัวเองก่อนป่วยสิถึงจะทันใจ เห็นไหมว่า เพียงแค่ 7 วัน คนไม่เคยสนใจสุขภาพอย่างผม กลับเปลี่ยนไปซึ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนอย่างถาวรนะ

สำหรับค่ายหมอเขียว ถ้าใครสนใจแล้วยังอยากหาข้อมูลก็ ค้นหาในกูเกิ้ลเลย คีเวิร์ด “หมอเขียว” “ใจเพชร กล้าจน” เจอแน่นอน ลองศึกษากันดูนะครับ

สวัสดี

ชีวิตหลังจากกลับมาจากค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

แทบจะไม่เชื่อตัวเองเลยว่า จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้ กับเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียวซึ่งจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตอย่างแน่นอน

เมื่อปลายเดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้ไปศึกษาวิธีดูแลสุขภาพ กับค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว) ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับที่ได้รับมาจากค่ายสุขภาพก็จะนำมาพิมพ์กันให้อ่านในภายหลัง พอดีว่ายังไม่มีเวลาเรียบเรียง เอาเป็นว่ามารู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงกันก่อนดีกว่า

การเปลี่ยนแปลงด้านอาหารการกิน

เชื่อไหมว่าความรู้สึกต้องการกินเนื้อสัตว์ ปลา หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากพืช มันเบาบางและเหมือนจะจางหายไป มันไม่ต้องการเหมือนเคย แม้ว่าจะกินไปแล้วก็ไม่รู้สึกว่าอร่อยติดใจ อาจจะเพราะผมเองให้ความหมายของการกินเพียงแค่หนึ่งอิ่มเท่านั้นเอง แต่ลึกๆในใจนั้นกลับติดใจอาหารในค่ายสุขภาพ อาหารที่หลายคนเบือนหน้าหนี เพราะว่ามันจืดและกินยากมากๆ แต่เชื่อไหมว่า ผมอยากกินอีก…

อาหารประจำวันในค่ายสุขภาพ
อาหารประจำวันในค่ายสุขภาพ

ในวันหลังๆในค่าย (1 สัปดาห์) ผมสามารถกินอาหารจืดๆในค่ายสุขภาพได้อย่างปกติ แทบจะไม่มีการปรุงรส สำหรับเนื้อสัตว์นี่ไม่มีแน่นอน มีแต่ผัก ผลไม้ ข้าว และถั่ว เป็นอาหารที่สามารถให้พลังงานที่เพียงพอได้ในแต่ละวันทีเดียวล่ะ จบเรื่องอาหารไว้เท่านี้ก่อนเพราะประโยชน์มันเยอะเดี๋ยวค่อยไว้ต่อตอนหน้า

ระบบขับถ่าย

ระบบขับถ่ายเป็นอะไรที่เกิดขึ้นทุกวัน ใครที่ระบบดำเนินไปไม่ปกติย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอารมณ์อย่างแน่นอน สำหรับช่วงเวลาที่อยู่ในค่ายหมอเขียวนั้น กินแต่ข้าว ผัก ถั่ว ผลไม้ บอกได้เลยว่าสบายท้องมาก กินไปก็ไม่ร้อนท้อง ทุกอย่างสบายหมด กลับมาบ้านกินเหมือนเดิมๆ ที่กินมาเกือบทั้งชีวิต รู้สึกอย่างชัดเจนว่าของกินในชีวิตประจำวันนี่เอง ทำให้ชีวิตและสุขภาพของเราลำบาก

นี่เป็นเพียงประโยชน์เล็กน้อยที่หยิบยกนำมากล่าว จากประสบการณ์และความรู้มากมายที่ผมได้รับมาจากค่ายสุขภาพ แำพทย์วิถีธรรม หรือค่ายหมอเขียว เพียงแค่สองเรื่องนี้ก็เพียงพอจะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปได้แล้ว ปรับหางเสือเพียงเล็กน้อย  ปลายทางของเป้าหมายในชีวิตที่แสนจะห่างไกล ก็คงจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน

สวัสดี

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการลดเนื้อสัตว์ มากินผักได้ที่ Veggie kitchen , facebook (Veggie Kitchen)

ชีวิตที่ผ่านเลยมาถึงต้นปี 2556

และแล้วก็ผ่านต้นปีมาจนถึงช่วงกลางเดือนมกราคม ผ่านวันเด็ก ผ่านวันอะไรๆที่ดูจะสำคัญในช่วงปีใหม่มาแล้ว คงจะเป็นช่วงที่ผ่อนคลายและสงบนิ่งมากขึ้น

ก่อนปีใหม่ก็ไม่มีเวลาได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในปี 2555 และวางแผนในปี 2556 เลย มันดูเหมือนจะว่าง แต่พอนึกไปมันก็ไม่ว่าง มีอะไรยุ่งๆ นิดๆ หน่อยๆ เต็มไปหมด มีอะไรให้ทำตลอดเวลาจนลืมนึกไปว่าในปีนี้ยังไม่มีแผนเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรนัก มีแต่แผนรวมๆระยะยาวเท่านั้นเอง

MonkiezGrove , Cartoon Postcard Animation

ในปีนี้ เท่าที่คิดได้ก็จะกลับมาพัฒนามังกีซ์โกรฟ (www.monkiezgrove.com) อีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ร้างไปเกือบสองปี ซึ่งการปัดฝุ่นครั้งนี้ได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่เก็บเกี่ยวมาในช่วงที่เรียนโทมาใช้ด้วย ทำให้เป็นการวางแผนการสร้างในทุกระยะเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืนกว่าเคย อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในบทบาทบ้าง ตามความเหมาะสม แต่สุดท้ายสิ่งที่ยังเป็นงานหลักของมังกีซ์โกรฟ คือ การ์ตูนน่ารัก คำนี้จะฝังลงไปในทุกๆกิจกรรมของมังกีซ์โกรฟ

ดอกทานตะวัน

อีกอย่างก็คงจะเป็นการทำอัลบั้มภาพออนไลน์ที่ DINPhoto ( photo.dinp.org ) ภาพที่ถ่ายเก็บไว้เยอะมากๆ ภาพที่ไปเที่ยวถ่ายวิว ถ่ายนู่นถ่ายนี่ ตามประสาคนบ้าถือกล้่องไปที่ไหนก็ถ่ายที่นั่น จะได้นำมาลงแบ่งปันกันให้ชมเสียที เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปดูโลกบ้าง ก็ค่อยๆติดตามกันเป็นระยะๆ นะครับ จะทยอยๆ ลงไปเรื่อยๆ

ส่วนงานอื่นๆ ก็คงกลับมารับทำเหมือนเดิมหลังจากงดรับงานมาเกือบสองปี เพื่อมุ่งเน้นไปในการเรียนรู้ให้คุ้มค่าที่สุด ณ ตอนนี้เหมือนจุดที่ทุกอย่างคลี่คลาย ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนปกติอย่างช้าๆ สำหรับปีนี้คงได้แค่ทำตามแผนที่วางไว้ สำหรับแผนใหม่คงยังไม่คิด เอาไว้คิดปีหน้าดีกว่า ตอนนี้สะสมทุนอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในโอกาสหน้า

สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนชีวิต ก็ลองใช้เวลานั่งคิด นั่งทบทวน นั่งคุยกับตัวเองดูก็ได้ ว่าชีวิตต้องการอะไร อะไรคือเป้าหมาย ได้มาแล้วยังไงต่อ คิดล่วงหน้าไว้ก่อน สุดท้ายค่อยสกัดด้วยคำว่า “อะไรที่จำเป็น

สวัสดี

MonkiezGrove Free stuff : การ์ตูนแจกฟรี กับมังกีซ์โกรฟ

ปี 2013 หลังจากเปิดตัวเว็บไซต์มังกีซ์โกรฟในรูปแบบ MG 2013 ไปแล้ว ซึ่งหลายๆ ท่านก็อาจจะได้เห็นและไม่ได้เห็นไปบ้างแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงของมังกีซ์โกรฟ เท่านั้นเอง

ในปี 2013 ยังมีของขวัญ อีกชิ้นที่มังกีซ์โกรฟ จะนำมามอบให้กับทุกท่าน นั่นก็คือการ์ตูนแจกฟรี ซึ่งปกติเราก็จะแจกในช่องทางของ Social network อย่างเฟสบุคในหน้าของ MonkiezGrove Cartoon Book อยู่แล้ว ก็เลยมาทำหน้าแจกกันให้เป็นกิจจะลักษณะไปเลย คนเข้ามาดูเข้าจะได้แยกออกว่า อ่อหน้านี้แจก หน้านี้บ่น หน้านี้แสดงผลงานและแนวคิดอะไรประมาณนี้ ซึ่งก็จะแบ่งเพื่อให้ทุกท่านได้เข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์ของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น

MonkiezGrove Free stuff : การ์ตูนแจกฟรี กับมังกีซ์โกรฟ

MonkiezGrove Free stuff
MonkiezGrove Free stuff

ชื่อเว็บไซต์ของเราก็ง่ายๆ MonkiezGrove Free stuff หรือ ของฟรีมังกีซ์โกรฟ หรือมังกีซ์โกรฟแจกของฟรี ประมาณนี้ละนะ หน้าปก (รูปไตเติ้ล) ก็เพิ่งจะออกแบบไม่นานให้ออกมาน่ารักสดใสเบาๆ สามารถตามไปเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบปกได้ที่ “Free stuff : Title image” แล้วจะรู้ว่าแต่ละภาพ ของการ์ตูนมังกีซ์โกรฟนี่ไม่ได้มาจากความว่างเปล่านะเอ้่อ มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้น

มาถึงที่จะมาแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผลงานต้นปีนี้ หลังจากปีใหม่ก็ปล่อยผลงาน ฟรีการ์ดปีใหม่ กันไปแล้ว มาคราวนี้ก็มาปล่อยผลงาน ฟรีการ์ดวาเลนไทน์ หรือ การ์ดความรัก กันบ้าง ซึ่งก็จะเป็นชุดผลงานในแนวคิด Love & Heart ความรักกับหัวใจ เกี่ยวกับความรัก ความหวาน หัวใจ เรื่องราวของความรัก ผสมปนเป ออกแบบมาสู่ผลงานทั้งหมด 8 แบบ ดังนี้

 Love & Heart : ความรักและหัวใจ ฟรีวาเลนไทน์การ์ด

Love & Heart : ความรักและหัวใจ
Love & Heart : ความรักและหัวใจ

สำหรับในตอนนี้ก็มีมาแนะนำเพียงเท่านี้ หากว่ามีผลงานเพิ่มก็อาจจะนำมาแนะนำอีกก็ได้ เพราะเห็นว่ายังเป็นของใหม่อยู่ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยนัก ถ้าสนใจก็สามารถติดตามไปอ่านได้ที่

Link : MonkiezGrove Free stuff

Link : Love & Heart : ความรักและหัวใจ ฟรีวาเลนไทน์การ์ด

สวัสดี

วันสิ้นโลก

ถ้าตอนนี้ วันนี้ ปีนี้ ไม่มาพิมพ์เรื่องนี้สักหน่อย เดี๋ยวจะกลายเป็นคนตกเทรนด์ระดับโลกไป เพราะวันนี้เป็นวันที่เขาว่า เป็นวันสิ้นโลก!!

เกริ่นกันก่อน….

บทความที่เล่าให้อ่านกันต่อไปนี้ มาจากมุมมองของผมที่ไม่ได้สนใจเรื่องวันสิ้นโลกเลยครับ ไม่ตระหนก ไม่ตามข่าว แต่ก็ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตในแต่ละวันครับ ถือว่าโลกแตกก็ช่างมัน โลกไม่แตกก็เดินต่อไปแค่นั้นเอง ดังนั้นสิ่งที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้ก็คือความคิดเห็นที่มาจากข่าวที่อ่านแบบผิวเผินเท่านั้นครับ  เชื่อผมเถอะว่่า..คนที่รับข้อมูลประมาณนี้ แบบผมนั้น เป็นคนหมู่มาก ใครจะมีเวลาไปหาข้อมูลที่เป็นจริงได้ขนาดนั้นละ เสียเวลาทำมาหากินจริงๆ…

MonkiezGrove Go Green : Heal the World : Piglet
Heal the World

ตามปฏิทินของชาวมายัน เขาว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 หรือ 2555 นี้เป็นวันสิ้นโลกนะครับ ส่วนใครไปขุด ไปหา ไปแปล ไปตีความมายังไง เป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ที่ผมสงสัยคือมันดูขัดๆกับความเป็นจริงในยุคปัจจุบันมาก แต่ก็อย่างว่านะ ในยุคสมัยที่จิตใจคนอ่อนแอขาดที่พึ่งพิงอะไรวิ่งเข้าไม่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ ก็เป็นธรรมดา

วันสิ้นโลกเป็นข้อมูลจากคนที่ตายมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ตีความโดยคนยุคสมัยนี้ ตีความโดยเชื่อมั่นว่าคนในอดีตแม่น??? ปัญหาคือคนในอดีตรู้อะไร แล้วเรารู้อะไรจากคนในอดีต จริงๆเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยครับอุปทานไปเองทั้งนั้น ประัวัติศาสตร์ที่ได้แต่สมมุติฐานแล้วเอามาสรุปเป็นเรื่องจริง ทำให้เกิดข้อมูลชุดหนึ่งขึ้นมา… แต่ในตอนนี้ผมคงไม่สนใจว่าเชื่อกันได้อย่างไร ไปคิดต่อกันเองละกันนะ คงจะเขียนแค่ว่า เชื่อแล้วได้อะไร

ถ้าเชื่อว่าโลกแตก

คนเชื่อว่าโลกแตกมีไม่น้อย เป็นปัญหาระดับชาติของหลายๆชาติ หลายคนคิดจะทิ้งชีวิตปัจจุบันไปเสพสุขเพราะเชื่อว่าวันนี้คือวันสุดท้ายโดยไม่คิดเผื่อว่า “แล้วถ้ามันไม่แตกล่ะ…” นี่คือการเอาความเสี่ยงทั้งหมดทุ่มลงไปที่ข้อมูลที่ใครก็ไม่รู้หามา ผมต้องถามจริงๆว่า รู้จริงหรือเกี่ยวกับปฏิทินมายัน? ตีความถูกหรือ? เคยคุยกับคนที่ทำปฏิทินหรือ? จึงเชื่อ ก่อนจะเชื่ออะไรนั้นควรพิจารณาแหล่งข้อมูลมากกว่าใครๆก็เชื่อกันหรือการประโคมข่าวเพื่อหาข่าวมาขายของคนขายข่าว

แต่การเชื่อก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ข้อเสีย คนที่คุมสติได้และเชื่อว่าโลกแตกก็มีไม่น้อย อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่ได้ทำสิ่งที่ดี สิ่งที่อยากทำมานาน ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว ได้คุย ได้เปิดใจกัน โดยใช้โอกาสที่เรียกว่าวันสิ้นโลกในการสร้างโลกใหม่ ดังนั้นคนที่เชื่อแล้วใช้ประโยชน์จากวันสิ้นโลกนี้ ถึงโลกไม่แตกแต่ผมเชื่อว่าชีวิตของเขานับจากวันนี้จะดีขึ้นแน่นอน

ถ้าไม่เชื่อว่าโลกแตก

มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าโลกไม่แตก หรือวันสิ้นโลกไม่มีจริงหรอกจะเป็นไปได้ไงราวๆนี้ อาจจะเพราะข้อมูลที่มีไม่มากเพราะ เอาง่ายๆว่าเขาไม่เชื่อในข้อมูลเหล่านั้นแล้วกัน ปฏิทินชาวมายันและความหมายเหล่านั้นถือเป็นเรื่องตลกสำหรับคนไม่เชื่อ ซึ่งคนที่ไม่เชื่อก็จะดำเนินชีวิตไปตามปกติแบบไม่มีอะไรเกิดอันนี้ก็ถือว่าดี เพราะถ้าโลกแตกก็ตายอยู่ดีจะไปกังวลทำไมใช้ชีวิตแบบปกติไปน่ะดีแล้ว

แต่การที่โลกไม่แตกก็ใช่ว่าจะไม่ตาย เพราะคนเราสามารถตายกันได้ตลอดเวลา นั่งก็ตาย ยืนก็ตาย นอนก็ตายได้ ดังนั้นการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ระรึกถึงความตายที่สามารถเข้ามาหาได้ทุกวินาที เป็นชีวิตที่ไม่ประมาท ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ทุกวันของชีวิตก็จะมีคุณค่าขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

ถ้าทั้งเชื่อและไม่เชื่อล่ะ?

เชื่อและไม่เชื่อ คือเชื่อในความไม่แน่นอนอะไรก็เกิดขึ้นได้ การเตรียมตัวเตรียมใจอย่างมีสติพร้อมการวางแผนในอนาคตอย่างเป็นธรรมชาติก็จะเกิดขึ้น ข้อมูลทุกอย่างหากเรานำมาคัดกรองในส่วนที่มีประโยชน์มันก็จะมีประโยชน์ นี่คือสิ่งที่ยาก แต่ถ้าคิดเป็นทำได้ ก็จะดีกับชีวิตตัวเอง

เราต้องเจอกับข่าววันสิ้นโลกอีกกี่ครั้งจนถึงจะหันมารักษาโลก… ขอจบบทวันสิ้นโลกไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะถ้าคุณได้อ่านถึงตรงนี้หลังจากวันนี้ มันคงจะไม่มีอีกแล้วล่ะ

สวัสดี

ประวัติตัวใหญ่ แมวผู้พิชิต พิสูจน์ตัวตนแห่งความเป็นแมว

วันนี้มีบทความที่น่าจะยาวอีกบทความมาฝากกัน เป็นการเรียบเรียงประวัติและเรื่องราวของแมวตัวหนึ่งตั้งแต่ผมจำได้จนกระทั่งวันที่มันจากไป

วิลลี่ จุ๊บ และตัวใหญ่
วิลลี่ จุ๊บ และตัวใหญ่

ผมมีแมวที่เลี้ยงมานาน ผูกพันกันมาอยู่สามตัว นั่นคือวิลลี่ ตัวใหญ่ และจุ๊บ ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่การมาพิมพ์บทความครั้งนี้ก็จะเป็นเรื่องในส่วนของตัวใหญ่ ซึ่งแมวตัวอื่นๆจะพิมพ์ในลำดับต่อๆไป

จุดเริ่มต้นของตัวใหญ่

ราวๆ ปี  2543-2545 ประมาณ 12 ปีก่อน แมวแม่ที่ชื่อวิลลี่ของผม ได้คลอดลูกออกมา ครอกนั้นมีลูกแมวราว 3-4 ตัว ตัวใหญ่เป็นแมวที่มีสีแตกต่างจากพี่น้อง เพราะวิลลี่เป็นแมวที่มีเชื้อและลักษณะของแมวไทยโบราณ “แมวศุภลักษณ์” อยู่บ้าง  แต่ก็เริ่มแก่และมีลูกมาหลายรุ่นแล้ว เชื้อเลยเริ่มไม่แข็งแรงเหมือนสมัยมีลูกแรกๆที่ออกมากี่ตัวก็น้ำตาลทั้งนั้น หรือในอีกกรณีก็คือเชื้อพ่อแรงมากจนลูกแมวไม่มีลักษณะของแม่แมวเลย ยกเว้นหางสั้นกุด ซึ่งเป็นลักษณะของวิลลี่นั่นเอง

จุ๊บ แมวเพื่อนบ้าน ตัวใหญ่ ในสวนบ้านเก่า
จุ๊บ แมวเพื่อนบ้าน ตัวใหญ่ ในสวนบ้านเก่า

ที่มาของชื่อ “ตัวใหญ่”

ตัวใหญ่เป็นชื่อหรือจะให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าเอาลักษณะของแมวมาเป็นชื่อ ก็คล้ายๆการตั้งชื่อว่าไอ้ด่าง เจ้าส้มอะไรนี่แหละครับ ที่ตั้งชื่อตัวใหญ่ก็เพราะว่า…

ในหมู่พี่น้องทั้งหมด มีมันตัวเดียวนี่แหละที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน ใหญ่กว่าพี่น้องรุ่นเดียวกันถึงสองเท่า เหมือนไม่ได้มาจากท้่องเดียวกัน ทำให้มันสามารถแย่งกินนมแม่แมวและสามารถดำรงชีวิตมาได้จนทุกวันนี้ ผมจำได้ว่าครอกที่ตัวใหญ่เกิด มีมันตัวเดียวนี่แหละที่รอด เพราะเป็นครอกหลังๆของวิลลี่แล้ว พวกลูกแมวที่คลอดแรกๆ ส่วนใหญ่ก็ให้คนอื่นไปครับ เพราะมันสวยเลยมีคนชอบเยอะ แต่ก็มีตายไปบ้าง

เนื่องจากว่ามันตัวใหญ่และมีสีที่แตกต่างกับชาวบ้าน มันเป็นแมวด่างที่มีลายคล้ายวัวนม เป็นแมวสีขาวดำ ซึ่งสามารถหาได้ทั่วไป ไม่แปลกเท่าไรนักแต่สิ่งที่แปลกคือความตัวใหญ่ในวัยเด็กของมัน ซึ่งสุดท้ายตอนโตก็เท่ากับแมวตัวอื่นๆ

ตัวใหญ่ในวัยเด็กนั้นค่อนข้างที่จะรันทดเล็กน้อย เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าบ้าน เพราะเข้ามาทีไรข้าวของกระจายทุกที มีเพียงวิลลี่เท่านั้นที่มีิสิทธิเข้าบ้านและนอนมุมไหนก็ได้ เพราะมันเป็นแมวที่เรียบร้อยไม่ทำลายข้าวของนั่นเอง ตัวใหญ่ก็เลยต้องอยู่กับจุ๊บนอกบ้านไปตามประสาแมวเด็กและแมววัยรุ่น

ตัวใหญ่กับจุ๊บนั้นถ้านับญาติกันแล้วก็จะเป็นพี่ชายของจุ๊บแบบข้ามหนึ่งช่วงคลอด ก็คือมีตัวใหญ่เกิดมา แล้วก็มีอีกครอก แล้วก็มีครอกของจุ๊บ ซึ่งก็อายุห่างกันราวๆหนึ่งปีนั่นเอง

และเนื่องจากตอนเด็กๆมันชอบทำลายข้าวของ ก็เลยกลายเป็นแมวที่ผมชอบแกล้งมันเล่น เอานำฉีดบ้าง เอาไปแปะต้นไม้บ้าง มันก็ดูเอ๋อๆ ตามลักษณะของแมวที่ใหญ่แต่ตัวให้ได้เห็น และมันก็ยังโดนรังแกจากแมวเจ้าถิ่นอีกด้วย สุดท้ายกลายเป็นแมวโดนรังแกเก็บกดไปเลย

มีครั้งหนึ่งที่ตัวใหญ่มันโดนแมวเจ้าถิ่นจะมาแย่งอาหาร ก็ขู่กันแต่ดูท่าทางจะถอยและยอมแพ้ ผมยืนดูอยู่ในตัวบ้านผ่านกระจกและดูพฤติกรรมมัน สุดท้ายก็เปิดประตูออกไปกะว่าจะช่วยไล่ ตัวใหญ่พอเห็นว่ามีคนในบ้านมาช่วยก็ทำกล้าขู่และไล่แมวเจ้าถิ่นไป นี่ก็เป็นความตลกเล็กๆของแมวที่ขาดความมั่นใจ หรือว่ามันกะจะโชว์ก็ไม่รู้เหมือนกัน

จุ๊บและตัวใหญ่
จุ๊บและตัวใหญ่

จุดเปลี่ยนของตัวใหญ่

เมื่อตัวใหญ่เติบโตก็ถึงวัยที่มันเข้าฤดูโหยหวน หรือฤดูติดสัด ซึ่งมันก็จะร้องหง่าวๆเสียงดังตอนกลางคืน ร้องได้ไม่กี่คืนก็โดนจับไปทำหมัน มันก็เป็นเรื่องปกติของแมวที่โหยมากๆแล้วจะส่งเสียงแสดงความเป็นแมวตัวผู้ที่พร้อมผสมพันธุ์และโดนจับไปทำให้เงียบ แต่ก็มีแมวที่เรียกได้ว่า “ซวย” คือจุ๊บ โดนจับไปทำหมันด้วยพร้อมกันจะได้ทำทีเดียว… เมื่อกลับมาแมวทั้งสองก็อ่อนระโหยโรยแรง เพราะโดนยาชา วันต่อมาบ้านก็เงียบสงบไีร้เสียงแมวหง่าว

ตัวใหญ่นั้นแตกต่างกับจุ๊บตรงที่เป็นแมวที่แสวงหา แมวต่อสู้ แมวค้นหาตัวเอง มันพยายามจะพิสูจน์ตัวเองเสมอๆ อาจจะเพราะมันถึงวัยของมันก็เป็นได้ แม้ว่าจะสู้แต่ก็แพ้ แต่ก็ยังหาจังหวะที่จะสู้เสมอ มันจึงได้แผลกลับมาบ่อยๆ ตัวใหญ่ที่อยู่ที่บ้านลาดพร้าว ไม่สามารถสู้แมวตัวอื่นได้เลย เพราะว่ามันขาดไหวพริบและทักษะต่างๆอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับวิลลี่แม่ของมัน ซึ่งเป็นแมวนักล่าที่เก่งกาจ

จุ๊บ ตัวใหญ่ และวิลลี่
จุ๊บ ตัวใหญ่ และวิลลี่

เมื่อต้องย้ายบ้าน

วันหนึ่งผมและที่้บ้านก็ต้องย้ายบ้าน ซึ่งก็ต้องเอาแมวไปด้วย การย้ายบ้านแมวดูจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะสงสารมัน แมวตกใจ แมวผวา แมวว้าเหว่ ผมไม่สามารถย้ายวิลลี่มาด้วยได้เพราะมันไม่อยู่แล้ว มันแก่และหายไปในช่วงก่อนย้ายบ้าน ราวๆครึ่งปี

ตัวใหญ่และจุ๊บได้เดินทางมายังบ้านใหม่ ซึ่งมีเนื้อที่สวนน้อยกว่าบ้านเก่า ผมใช้วิธีขังมันในห้องห้องหนึ่ง ให้มันกิน และอึในนั้น จะได้เกิดกลิ่นให้มันจำถิ่นได้ ประมาณว่ากลัวมันจะตกใจวิ่งเตลิดกลับไปบ้านเก่า เพราะห่างกันไปราวๆ 10 กิโลเมตร… จะจำกลิ่นได้ขนาดนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ปกติแล้วผมไม่เคยใส่ปลอกคอแมวเพราะผมเองก็ไม่ชอบใส่อะไรให้รำคาญ แน่นอนว่าแมวก็คงจะเหมือนกัน

แต่ปลอกคอแมวก็จำเป็นเพราะต้องใช้ในการล่ามโซ่จำกัดพื้นที่ให้มันอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนในบ้าน เพื่อให้มันติดถิ่นให้ได้ บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยได้ค้นข้อมูลเท่าไหร่ ทำเอาตามที่พอคิดว่ามันจะดีได้

ตัวใหญ่เป็นแมวที่ไม่มีปัญหากับปลอกคอและการล่ามโซ่เลย มันนิ่งมากๆ เฉยๆ ดูเหมือนว่ามันจะภูมิใจกับปลอกคอที่ใส่ให้มันด้วยซ้ำ ผิดกับจุ๊บที่พยายามจะเอาปลอกคอออกตลอดเวลา จุ๊บหงุดหงิดและรำคาญปลอกคอมาก มันจะพยายามเอาปลอกคอไปถูกับหลายๆสิ่งเพื่อให้มันหลุด แต่ตัวใหญ่ไม่ได้ใส่ใจกับการมีอยู่ของปลอกคอนัก

ตัวใหญ่หายไป

ตัวใหญ่กลับมานอนบ้านเป็นพักๆ
ตัวใหญ่กลับมานอนบ้านเป็นพักๆ

ช่วงแรกๆที่ย้ายบ้านมาใหม่ ในปีแรกๆ แมวทั้งสอง จุ๊บและตัวใหญ่ก็ยังอยู่กันได้ดี ก็จะมีแว่บๆไปข้างนอกบ้างตามประสาแมว แต่ก็จะกลับมากินข้าวที่บ้านตลอด จนวันหนึ่งตัวใหญ่หายไปอย่างถาวร ไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เหลือแต่จุ๊บที่นอนเฝ้าบ้านตัวเดียว

เมื่อวันเวลาผ่านไปเกือบสองปี ผมพบตัวใหญ่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ แต่อยู่ห่างไปราวๆ 6 ซอย มันไปตั้งแก๊งแมว ผมเป็นมันดูเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางฝูงแมวหนุ่ม และได้คำตอบว่ามันออกไปค้นหาตัวเองและทำตามฝันแมวนี่เอง เพราะว่าอยู่ที่บ้านเก่า มีแต่แมวเจ้าถิ่นเก่งๆ ย้ายมาบ้านใหม่ชาวบ้านเขาก็มีแมวเด็กๆกันก็เลยแก่กว่าเขา เก่งกว่าเขาเลยสามารถสร้างแก๊งแมวซ่าได้ เห็นเดินอยู่รวมกันราวๆ 3-4 ตัว แต่ก็แอบสงสัยว่าตัวใหญ่ที่เป็นหมันนั้นยังมีอารมณ์แบบแมวตัวผู้จริงจังเหมือนเดิมหรือไม่ หรือเป็นแค่การค้นหาชีวิตและตอบโจทย์ตัวเองตามธรรมชาติของแมวตัวผู้ทั่วไป

ผมปล่อยให้ตัวใหญ่ดำเนินชีวิตไปตามที่มันชอบ เพราะคิดว่าในระยะที่มันหายไปเป็นปีนั้น ก็คงจะมีคนเลี้ยงมันแทนผมแล้ว หรือไม่ก็ไปแย่งอาหารแมวหนุ่มสาวพวกนั้นกินนั่นแหละ เอาว่ามันมีกินอยู่สบายก็พอละ

ตัวใหญ่กลับมา กินข้าวกับจุ๊บ
ตัวใหญ่กลับมา กินข้าวกับจุ๊บ

 วันที่ตัวใหญ่กลับมา

เวลาผ่านไปนับปีหรือมากกว่าสองปีผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน วันหนึ่งตัวใหญ่เดินกลับมาพร้อมร่างกายที่ดูหิวโซ ตอนนี้่ผมยังให้อาหารเม็ดอยู่ครับ และจุ๊บก็ยังอยู่ที่บ้าน ตัวใหญ่กลับมาบ้านและดูยังมีทีท่าที่ยังคุ้นเคยกับจุ๊บมันกินข้าวด้วยกัน เคล้าเคลียกัน ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะผมเคยคิดว่ามันหนีไปเพราะทะเลาะกับจุ๊บรึเปล่า เพราะจุ๊บเองมันก็แก่ขึ้นด้วย แต่สุดท้ายคำตอบที่ว่า ตัวใหญ่เดินทางออกไปค้นหาตัวเองนั้นก็ยังเป็นคำตอบที่ดีอยู่นั่นเอง

ตัวใหญ่สมบูรณ์
ตัวใหญ่สมบูรณ์

ในช่วงที่จุ๊บยังอยู่นั้นตัวใหญ่ก็มาๆไปๆ ไม่ได้มากินทุกวัน แต่ก็ไม่ได้หายหน้าหายตาไปนานๆเหมือนแต่ก่อน สัปดาห์หนึ่งมันก็จะแวะมาสัก 3-4 วันเพื่อมากินข้าว หรือไม่ก็จะเห็นมันนอนเล่นในบ้าน จนกระทั่งในช่วงสิ้นปี 53 จุ๊บได้หายไป และหายไปจนกระทั่งปัจจุบัน แมวที่ติดบ้านอย่างจุ๊บหายไปคงไม่มีอย่างอื่นให้คิดไปได้อีกแล้ว

และเมื่อจุ๊บหายไป ตัวใหญ่ก็ได้มาแทนที่อย่างช้าๆ แต่ก็ไม่เหมือนกัน ตัวใหญ่จะมีระยะห่างและจะไม่ติดบ้านเหมือนจุ๊บ แต่วันหนึ่งมันก็มากินข้าวทุกวันๆ กินอาหารเม็ด จนกระทั่งฟันหมดปาก การกินของแมวแก่ต้องเปลี่ยนจากอาหารเม็ดไปสู่ปลาทูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันไม่มีฟันจะเคี้ยวกรุบๆได้เหมือนสมัยวัยรุ่นอีกต่อไป

ตัวใหญ่กับปลาทู
ตัวใหญ่กับปลาทู

เมื่อตัวใหญ่กลับเข้ามาเป็นเจ้าบ้าน

หลังจากที่จุ๊บจากไป ตัวใหญ่ก็เข้ามาเป็นเจ้าบ้านแทน มันอยู่ในที่ที่จุ๊บเคยอยู่ ก็วนเวียนไปรอบพื้นที่บ้าน และบ้านเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยที่ประจำของมันก็คือบ้านเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามนั่นแหละครับ

เพื่อนแมววัยรุ่นใกล้บ้าน
เพื่อนแมววัยรุ่นใกล้บ้าน

ตัวใหญ่มีเพื่อนแมว ซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรดี เป็นแมวสีออกเทาๆ ยังดูเด็กๆ ไม่น่าเกินสามขวบ มีปลอกคอและกระพรวนใว้ตามประสาแมวเลี้ยง ก็คืออาจจะเป็นแมวบ้านไหนสักบ้าน ซึ่งการที่เราจะหาเจ้าของแมวนี่มันยากครับ เหมือนที่เราพยายามตามไปดูว่าวันๆหนึ่งแมวของเราไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรนั่นแหละ

เจ้าแมวเทาหางยาวตัวนี้ลักษณะดี สีสวยท่าทางจะอนาคตไกลครับ ตัวเมียตัวผู้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันชอบมาที่บ้านผมบ่อยมากๆ บางทีก็มากินอาหารที่ตัวใหญ่กินเหลือ หรือแอบชิงกินก่อนก็มี จริงๆแล้วบ้านไหนมีแมวก็จะมีแมวเพิ่มมาตามธรรมชาตินั่นแหละนะ

วัยแก่ของตัวใหญ่

เมื่อตัวใหญ่เข้าสู่ลักษณะที่เป็นแมวแก่ พฤติกรรมของมันก็เปลี่ยนอย่างไป อย่างเช่นกลับมาน่ารักขี้อ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าแมวจะแก่แต่ก็มีการเรียนรู้เสมอ เช่นมันชอบส่งเสียงดังขอข้าวขอปลากิน ผมก็ยังไม่ยอมให้ จนมันร้องเสียงหวานๆ ค่อยให้ สุดท้ายพอจะมากินทีไรก็ร้องเสียงอ้อนๆน่ารักทีเดียว มาน่ารักเอาตอนแก่ก็ยังดีกว่าไม่เคยเลย

แมวแก่ ฟันหายไปเกือบหมดปาก
แมวแก่ ฟันหายไปเกือบหมดปาก

เมื่อแก่ฟันของตัวใหญ่ก็หมดปากเหมือนแมวตัวอื่นๆ ที่เมื่อถึงวัยแก่ก็จะให้ปลาทูสดแทนครับ แมวก็จะกินได้ง่าย ปลาที่ให้ก็เป็นเนื้อปลาล้วนๆไม่ได้ผสมข้าวหรืออะไรอย่างอื่น มันก็กินได้เรื่อยๆครับ อย่างจุ๊บนี่กินอยู่นานเลย ส่วนตัวใหญ่นี่จะเรื่องมากกว่าจุ๊บนิดหน่อย

จริงๆจะว่าเรื่องมาก มากก็ว่าได้บ้านผมเพิ่งจะมีปัญหาหัวปลาทูก็ตัวใหญ่นี่แหละ เพราะมันจะกินแต่ตัวและทิ้งหัวไว้ บางทีลืมเก็บหรือเก็บแล้วลืมฝัง เจอแมลงวันมาไข่หนอนไชยุ่บยั่บก็มี (ถ้าฝังดินจะไม่มีกลิ่นและหนอนแมลงวัน)  ปัญหานี้ไม่เคยเกิดเมื่อสมัยจุ๊บเพราะจุ๊บจะกินทั้งตัวทั้งหัว ขนาดหางยังไม่เหลือเลย เอาเป็นว่ามันเก็บเรียบไม่ต้องให้เจ้าของมาเก็บซากส่วนตัวใหญ่นี่จะเหลือหัวกับหางไว้ให้

เรื่องมากอีกเรื่องก็คือความสดของปลา แน่นอนว่าจมูกของแมวนั้นดีกว่าของคนมากนัก บางทีเพิ่งไปซื้อปลามาจากตลาดมันก็ทำเมินว่าไม่สด ทำเดินหนีอะไรประมาณนั้น ขนาดว่าอุ่นไมโครเวฟให้กลิ่นปลาฉุยๆและเป่าพัดลมให้เย็นแล้วยังหยิ่งไม่ยอมกินทันทีอีก วิธีที่จะทำให้มันกินคือปิดประตูบ้านทำเหมือนไม่สนใจ พอเปิดมาก็จะเห็นมันกินหรือไม่ก็เจอเศษปลานั่นเอง

ุ่แมวนายแบบกับลิ้นมังกรด่าง
ุ่แมวนายแบบกับลิ้นมังกรด่าง

มีเรื่องความขี้อ้อนของแมวแก่อีกนิดก็คือวันหนึ่งที่ผมซื้อต้นไม้มาและกำลังจะถ่ายรูปต้นไม้เก็บไว้ ในระหว่างถ่ายก็มีตัวใหญ่มาเข้ากล้องตลอด แถมมองกล้องด้วย เคล้าเคลียทั้งกระถางต้นไม้ ทั้งคนถ่ายประมาณว่าอ้อนจะกินข้าว แต่เปลี่ยนวิธีใหม่นิดหน่อย ตัวใหญ่นี่เวลาหิวข้าวจะน่ารักที่สุดในสามมหาแมว หรือจะทะลุเข้าไปในฝั่งของความน่ารำคาญก็ได้เหมือนกัน คือหิวแล้วเดินตาม เคล้าเคลีย เรียกเจ้าของให้ไปทำข้าวทำปลาให้ มีครั้งหนึ่งที่ผมทำสวนอยู่หลังบ้านแล้วมันก็เดินมาจากหน้าบ้านมาร้องเรียก และเดินไปรอหน้าจานข้าวแมว…

รอเจ้าของกลับบ้าน
รอเจ้าของกลับบ้าน

หรือแม้กระทั่งว่าแมวที่กำลังหิวก็จะรอเจ้าของอยู่หน้าประตูบ้าน รอว่าเมื่อไหร่เจ้าของจะกลับมาสักที แน่นอนว่าเป็นผมที่เห็นมันรออยู่และเมื่อลงไปเปิดประตูก็ได้่รู้สึกถึงอารมณ์ประมาณว่าแมวบ่น ร้องเบาๆอุบอิบๆ…ตามประสาแมวแก่ๆ

อีกเรื่องที่สนใจก็คือตัวใหญ่และจุ๊บ ต่างก็ต้องยอมสยบแก่แมวเจ้าถิ่นตัวนี้ เป็นแมวขาวดำเหมือนตัวใหญ่ แต่ดูหน้าตาแล้วโหดกว่าเยอะ ทั้งร่างกายที่ดูแข็งแรงบึกบึน รวมถึงแววตาของมัน ทำให้หลายครั้งตัวใหญ่ต้องหนีและแพ้พ่ายเพราะนอกจากแก่แล้วยังสู้เขาไม่ได้อีก ดูๆไปอาจจะอายุใกล้ๆกันแต่ความเก๋าต่างกันมาก เดิมทีตัวใหญ่ก็หน้าตาไม่ได้ดูเกเรอยู่แล้ว ออกจะเป็นแมวเอ๋อๆด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงมันจะทำหน้าดุสายตากวนและหยิ่งขนาดไหน มันก็ดูไม่ดุอยู่ดี(จากสายตาคน)

แมวเจ้าถิ่น แข็งแรงบึกบึน
แมวเจ้าถิ่น แข็งแรงบึกบึน

คงจะไปสู้กับแมวหง่าว และสารพัดแมวรุ่นใหม่ที่เพิ่งเติบโตแข็งแรงมาไม่ได้มากนัก การตัดสินใจกลับมาตายรังที่บ้านก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดี ที่เหมาะกับช่วงชีวิตสงบๆในบั้นปลายของแมวแก่ๆตัวนึง

ช่วงท้ายของชีวิต

ในช่วงเดือนพฤษจิกายนที่ผ่านมานั้นตัวใหญ่ก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด แต่มาวันหนึ่งมันก็ไม่ได้มากินข้าวกินปลาเหมือนเคย แม้ว่าจะนั่งอยู่หน้าบ้าน อยู่บ้านตรงข้าม มันก็ไม่ได้เข้ามากินข้าวเหมือนอย่างที่เคย จนผิดสังเกตุ แต่ด้วยความที่เคยชินว่ามันชอบออกไปข้างนอก และเคยไปใช้ชีวิตอยู่บ้านอื่นก็ทำให้นึกได้ว่ามันไปกินข้าวบ้านอื่นนั่นเอง

ไม่ยอมมากินข้าว จะจับก็วิ่งหนี
ไม่ยอมมากินข้าว จะจับก็วิ่งหนี

วันสุดท้าย 7 ธันวาคม 2555

วันนี้เป็นวันที่อากาศเช้าเย็นๆ ผมเดินออกไปเพื่อรดน้ำต้นไม้ตอนเช้า และพบตัวใหญ่นอนอยู่ทางในสวนที่บ้าน พบว่ามันผอมมาก หายใจลำบาก น้ำตาไหลซึม ร้องเสียงอ่อยๆตามประสาแมวป่วย ผมรับรู้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายของมันแล้ว ตามธรรมชาติของแมวนั้นก็จะมีบางตัวที่กลับมาลา แล้วก็ตาย หรือไม่ก็หายไปตายไกลๆอย่างสงบ กรณีตัวอย่างเป็นแมวที่มาลาตาย ผมและแม่มาลูบมัน ดูมัน ให้อาหารมันเป็นวันสุดท้าย ผมเองคงไม่ไปฝืนกฏธรรมชาติ และเชื่อว่าเกิดอย่างแมวก็ต้องตายอย่างแมว และไม่ใช้ความคิดของมนุษย์เข้าไปตัดสินการเป็นอยู่หรือตายของมัน

แต่ที่ดูจากอาการก็บอกกันอีกทีเลย จากประสบการณ์เลี้ยงแมวมาหลายตัว ฝังแมวมาก็น่าจะเกิน 10 แบบไม่รวมลูกแมว อาการแบบนี้ไม่รอดแน่นอน แต่ที่ดีใจคือมันเองได้พยายามกลับมาที่บ้าน กลับมาเพื่อสื่อสาร มารออะไรสักอย่าง แมวไม่ต้องการคุณหมอ เพราะมันไม่รู้จักหมอ ตามธรรมชาติแล้วสัตว์จะฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่ามนุษย์รวมถึงการหายาหรือสมุนไพรด้วย การจากไปของมันถือเป็นกฏของธรรมชาติ

การดำเนินชีวิตของผมเป็นไปอย่างปกติ แต่ก็ใช้เวลาลงไปดูมัน ไปลูบหัวมันเป็นระยะๆ จนกระทั่งตอนกลางคืนประมาณ 3 ทุ่มมันก็หายไปจากจุดที่เคยอยู่ตอนกลางวัน

แมวแก่ใกล้ตาย
แมวแก่ใกล้ตาย

8 ธันวาคม 2555

เช้านี้ผมรู้ดีว่าต้องออกไปตามหาศพแมวของตัวเองแน่นอน วันนี้อากาศไม่ร้อนไม่เย็นนัก เป็นเช้าที่เหงาๆตามประสาต้นหนาว ผมได้ยินแม่คุยกับเพื่อนบ้านและแม่ก็มาบอกว่า แมวเราไปตายหน้าบ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งมันก็นอนตายกลางถนน ซึ่งตำแหน่งนั้นในตอนกลางคืนก็จะมีรถไปจอดอยู่ คงจะไปในตายใต้รถละนะ แต่ก็ไม่ได้รับผลอะไรจากรถนะครับ นอนตายบนถนนเฉยๆ ตามสภาพแมวแก่ป่วยตายหรืออะไรก็ตาม สุดท้ายก็ไปจับมันใส่กล่องเพื่อเอาไปขุดฝังต่อไป

ซากแมวตัวใหญ่ ที่ตัวเล็กบนโลก นอนนิ่งบนถนน
ซากแมวตัวใหญ่ ที่ตัวเล็กบนโลก นอนนิ่งบนถนน

ตัวใหญ่เป็นหนึ่งในสามของแมวที่มีบทบาทในชีวิตของผมมากๆ และเป็นแมวตัวสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน จากนี้คงจะไม่หาเลี้ยงสัตว์ใดๆจนกว่าจะมีความพร้อมที่จะสร้างธรรมชาติที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของสัตว์นั้นๆก่อนจะเลี้ยงมัน เพื่อให้มันใช้ชีวิตในแบบของมันให้สมบูรณ์ที่สุด

สวัสดี

MonkiezGrove before 5th

ใกล้จะปีใหม่ ใกล้จะปีหน้า ใกล้จะครบรอบ 5 ปี มังกีซ์โกรฟกันอีกครั้ง ช่วงปีที่ 4 ถึงปีที่ 5 มานี้นั้น แทบจะเรียกได้ว่าไร้กิจกรรมใดๆกันเลยทีเดียว

เนื่องจากช่วงต้นปี 2555 ผมติดเรียน ค่อนข้างยุ่งมากจนกระทั่งกลางปีก็ยังไม่ลงตัวเท่าไรนัก พอปลายปีก็มีโปรเจคของ AIRA Garden เข้ามาอีก กว่าจะออกแบบกว่าจะทำเสร็จก็กินเวลากันเกือบ 3 เดือน ยังดีที่มีเวลาให้พอจินตนาการวาดรูปลงที่ MonkiezGrove Cartoon Book (facebook) กันบ้าง ทำให้ผู้สนใจหรือแฟนๆของมังกีซ์โกรฟพอหายคิดถึงกันได้บ้าง

MonkiezGrove ก่อนจะเข้าสู่ปีที่ 5

ก่อนจะเข้าสู่ปีที่ 5 นี้ก็ต้องยอมรับกันก่อนเลยว่าช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นแทบจะว่างเปล่า แต่ก่อนจะสิ้นปีนี้ ผมจะปรับปรุงเว็บไซต์มังกีซ์โกรฟอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่ปรับปรุงเพราะว่าจะทำให้มันใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิมอีก ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆ ง่ายทั้งคนดูและคนเขียน เพราะก่อนหน้านี้บอกตรงๆ เลยว่าทักษะเขียนเว็บไซต์นั้นค่อนข้างจะน้อย แต่ตอนนี้ก็พัฒนามาอยู่ในขั้นที่พอจะใช้งานได้นานและไม่ปรับเปลี่ยนกันบ่อยๆ และคิดว่าในปี 5 นี่แหละ ที่จะเป็นปีที่ได้มีโอกาสสร้างผลงานมากมายออกมาให้ทุกท่านชม ติดตามกันต่อไปนะครับ

MonkiezGroveMonkiezGrove Cartoon Book

Social network ที่เข้ามาช่วยให้หลายๆท่านสร้างเครือข่ายโดยไม่ต้องมีเว็บไซต์ให้ยุ่งยาก มังกีซ์โกรฟเองก็เช่นกัน หากเป็นช่องทางหนึ่งที่เราจะได้พบกับผู้ที่สนใจงานของเรา เราก็จะสร้างมันขึ้นมา

MonkiezGrove Cartoon Book

ปัจจุบันมังกีซ์โกรฟ มีแฟนเพจอยู่ประมาณ 700 ท่าน แม้จะเพิ่มขึ้นไม่มากมายจนผิดหูผิดตา แต่เราก็ยังดีใจทุกครั้งที่ผลงานของเราที่สร้างนั้น ได้ทำให้แฟนเพจหลายๆท่านมีความสุขที่ได้พบเห็นงานน่ารักๆของเรา ซึ่งผลงานของมังกีซ์โกรฟนั้นก็จะเน้นไปในทางน่ารักสดใส และเชิงสร้างสรรค์ เพราะต้องการจะแบ่งปันภาพสวยๆ อารมณ์ดีๆ แก่ผู้รับชม

สำหรับผู้สนใจที่ยังไม่เคยเข้าไปดู MonkiezGrove Cartoon Book ก็เข้าไปแวะชมได้ใน MonkiezGrove Cartoon Book (https://www.facebook.com/monkiezgrovecartoon) ถ้าท่านใดมีบัญชีของเฟสบุคก็สามารถติดตาม like&share ได้ตามอัธยาสัย

ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงทุกวันนี้

สวัสดี

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเรียนรู้และสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เคยเป็นเพียงคำพูด เรื่องเล่า หรือกลายเป็นเรื่องที่ถูกลืมไปแล้ว นั้นคือประเพณีของไทยอย่างการลงแขกเกี่ยวข้าว

เป็นอีกครั้งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับทางทีวีบูรพา และเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา ในกิจกรรมเรี่ยวแรงสู่เรียวรวง ตอน “ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา” ณ จังหวัด ยโสธร วันที่ 9-11 พฤษจิกายน 2555

ภาพประทับใจ จากเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา
ภาพประทับใจ จากเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา

สำหรับ กิจกรรมนี้จำเป็นต้องออกเดินทางกันตั้งแต่วันศุกร์เช้า เพราะว่าเราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนานทีเดียวครับสำหรับคน ทั่วไปอาจจะยากหน่อยเพราะต้องลาหยุดกันสักหนึ่งวัน แต่สำหรับบางคนก็ไม่ใช่ปัญหา และผมเองก็ชินแล้วครับ เพราะร่วมทางไปกับทีวีบูรพามาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ สวนลุงนิล และครั้งล่าสุด หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ และอีกหลายๆ กิจกรรมที่เคยร่วมกับทีวีบูรพาเช่น กินข้าวอย่างรู้แจ้ง ตนค้นตนอวอร์ด เป็นต้น ก็อ่านย้่อนกันได้่นะครับ

สำหรับบทความเหล่านี้คงจะเป็นการเล่าเรื่องประกอบประสบการณ์ต่างๆที่ได้มา มีน้ำมีเนื้อคละเคล้าปนกันไปเลยแล้วกันนะครับ

เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกและเรียบเรียงไว้ดังนี้…

ผมเคยคิดว่าจะพยายามบันทึกเรื่องราว รวมไว้ให้ได้ในบทความเดียว แต่พอมานั่งเรียบเรียงเอาเข้าจริงๆก็พบว่าแต่ละบทความนั้นมีความยาวมากเหลือเกิน จึงแบ่งส่วนให้ผู้อ่านได้เลือกอ่านได้ง่ายขึ้น

สำหรับเนื้อ ข้อมูล และรูปภาพเกี่ยวกับกิจกรรมนี้ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ : เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา